“เป็นอี้เฉินเฟยจริงๆ ข้าเคยเห็นรูปเหมือนของเขามาก่อน ข้ามั่นใจว่าใช่เขา”
“เซียนกวีเป็นเทพบุตรสุดรักของข้า ไม่กล้าจินตนาการเลยจริงๆว่าจะได้เห็นเขาในหอโคมเขียว”
“สตรีข้างกายเขาคือใคร? ดูเหมือนภูมิหลังจะไม่ธรรมดา”
“พวกเจ้าว่า ถ้าคุณสามกู้ประลองกับเซียนกวี ใครจะเหนือกว่ากัน? บทกวีที่คุณหนูสามกู้ประพันธ์ในงามชุมนุมแข่งขันประพันธ์บทกวี เวลานี้รู้กันถ้วนทั่วทั้งบ้านทั้งเมือง เกิดเป็นคัมภีร์แล้ว”
“นี่ก็พูดได้ยาก บทกวีของเซียนกวีดียิ่ง บทกวีของคุณหนูสามก็ก็ดีเช่นกัน”
กู้ชูหน่วนเคาะมือที่เห็นข้อกระดูกชัดเจนลงบนโต๊ะเล็กน้อย เอียงศีรษะยิ้มพูด “ถูกคนจำได้เสียแล้ว เจ้ายังจะดีดไหม?”
“ยากที่คุณหนูสามจะมีอารมณ์สุนทรีย์เช่นนี้ ข้าจะหักล้างความสนใจของเจ้าได้อย่างไร?
พูดจบ อี้เฉินเฟยก็ลุกขึ้น ไปยืมพิณจากนักดีดพิณคนหนึ่ง แล้วอุ้มพิณสีดำด้วยตนเองเดินขึ้นไปนั่งบนแท่นสูงอย่างสง่างาม
สิบนิ้วขาวผ่องวางอยู่บนพิณสีดำ แหงนหน้าขึ้น อี้เฉินเฟยแย้มยิ้มเอาใจ ในดวงตาใสสะอาดคู่นั้นสะท้อนใบหน้ายิ้มแย้มเกียจคร้านร้ายกาจของกู้ชูหน่วน
ทุกคนในหอโคมเขียวอู๋โยวล้วนให้ความสนใจ พากันมองดูอี้เฉินเฟยที่อยู่บนแท่นสูง
เห็นมือขาวของอี้เฉินเฟยยกขึ้นเบาๆ เสียงดังติ๊ง ปล่อยการทดลองเสียงดังไพเราะออกมา
เพียงการทดลองเสียงเพียงเสียงเดียวก็ทำให้ทุกคนเปิดหูเปิดตา
ไม่รอให้ทุกคนได้ตอบสนอง ท่วงทำนองอันงดงามก็รินไหลตามสายพิณเอื่อยเฉื่อย บางครั้งเสียงก็สูงดังฮึกเหิม เหมือนกองทัพหมื่นแสนควบม้าแกว่งไกวดาบสู้รบอย่างดุเดือด ส่งเสียงกู่ร้องดัง จนเลือดร้อนเดือดพล่าน
บางคราวก็เสียงทุ้มต่ำนิ่มนวล เหมือนคู่รักที่พลัดพรากนานได้พบกันอีกครั้งบอกเล่าความคิดถึงกันไม่จบสิ้น
บางเวลาก็แผ่วเบาสว่างไสว เหมือนสายลมพัดผ่านป่าไผ่เขียวชอุ่มอย่างช้าๆ ทำให้คนรู้สึกได้ชะล้างเหมือนฤดูใบไม้ผลิเดือนสาม
เสียงพิณของเขางดงามเหลือเกิน ทุกคนล้วนจมอยู่ในเสียงพิณ เปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกไม่หยุดหย่อนไปตามเสียงพิณของเขา
กู้ชูหน่วนดื่มสุราอย่างเกียจคร้านพลางมองไปทางอี้เฉินเฟย
เขาอยู่ในชุดสีขาว สง่างามเลิศล้ำ มือข่าวผ่องทั้งสองดีดสายพิณแผ่วเบา ประหนึ่งว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ไม่รู้ทำไม กู้ชูหน่วนได้ยินถึงความเศร้าโศก ความจนปัญญา รวมไปถึงความกังวลอันเบาบางจากเสียงพิณของเขา
เขา...
กำลังเป็นห่วงใครอยู่หรือ?
ทำไมฟังเสียงพิณของเขาแล้ว หัวใจของนางถึงหนักอึ้งเช่นนั้น?
อี้เฉินเฟย...
เขาเป็นคนอย่างไรกันแน่?
“ก็ไม่เท่าไหร่ หอโคมเขียวอู๋โยวยังมีนักดีดพิณคนหนึ่ง ดีดพิณได้ดีกว่าเขามาก” เซียวหยู่เซวียนริษยา อี้เฉินเฟยหน้าตาดีก็ช่างมันเถิด เหตุใดดีดพิณยังดีดได้ดีถึงเพียงนั้นอีก?
“เอ่อ...หอโคมเขียวอู๋โยวเล็กๆแห่งหนึ่ง ยังมีคนดีดพิณได้ดีกว่าเขาอีกหรือ?”
กู้ชูหน่วนไม่เชื่อ
เสียงพิณของอี้เฉินเฟย เรียกได้ว่าจนถึงตอนนี้ เป็นทำนองพิณที่ดีที่สุดที่นางเคยฟังมาแล้ว
“ทำไม เจ้าไม่เชื่อหรือ? ทั้งเมืองหลวงมีใครไม่รู้บ้างว่าไม่กี่เดือนก่อนหอโคมเขียวอู๋โยวมีนักดีดพิณคนใหม่คนหนึ่ง ทุกเพลงพิณที่ดีดล้วนทำให้ผู้คนตื่นตาตื่นใจ แต่น่าเสียดายนัก ที่ทุกๆคืนเขาจะดีดเพียงหนึ่งเพลงเท่านั้น”
พูดแล้ว เซียวหยู่เซวียนก็กวาดตามองไปทางนักดีดพิณผู้นั้น กลับเห็นเงาหลังเหยียดตรงที่คุ้นเคยผู้หนึ่ง
“เย่เฟิง เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
กู้ชูหน่วนมองตามสายตาของเขาไป จริงด้วย...
เย่เฟิงสวมชุดของนักดีดพิณ เหมือนกำลังจะจากไป
กู้ชูหน่วนรีบตะโกนบอก “เป่ามา ข้าต้องการให้ชายผู้นั้นมาดื่มสุราเป็นเพื่อนข้า”
“ แม่ทูลหัว ขออภัยอย่างยิ่ง เขา...เขาไม่ดื่มสุราเป็นเพื่อนเจ้าค่ะ”
“ปึก...”
กู้ชูหน่วนโยนเงินทั้งหมดแสนตำลึงออกไป “คืนนี้ข้าต้องการให้เขาดื่มสุราเป็นเพื่อนข้า”
เป่ามารีบเก็บเงินหนึ่งแสนตำลึงเข้ากระเป๋า ดวงตาทั้งสองยิ้มจนเป็นเส้นเล็กๆเส้นเดียว “ แม่ทูลหัววางใจได้เลย คืนนี้ข้าจะต้องให้เขามาอยู่เป็นเพื่อนท่านอย่างแน่นอน”
กู้ชูหน่วนพยักหน้า
ข้อนี้นางไม่ปฏิเสธ
เดิมทีนางคิดว่าชายงามในหอหน้าตาไม่เลวแล้ว แต่พอเย่เฟิงออกมา ก็สลัดพวกเขาไปห่างไกลเป็นโยชน์ทันที
ส่วนเรื่องความสามารถ...
ลำดับที่สองงานชุมนุมแข่งขันบทประพันธ์ ใช่ชื่อเสียงจอมปลอมเสียที่ไหน
เป่ามาผู้นี้ คงไม่รู้ว่าเย่เฟิงคือผู้ที่ได้ลำดับที่สองในงานชุมนุมแข่งขันบทประพันธ์
“เย่เฟิงของพวกเราปกติแล้วไม่ดื่มสุราเป็นเพื่อน แต่ แม่ทูลหัวทั้งใจดีใจกว้าง เย่เฟิงของเราถึง...”
“เอาละๆ อะไรของเราๆอยู่ได้ พูดเสียอย่างกับเป็นลูกชายของเจ้า เจ้าถอยไปเถิด”
“เจ้าค่ะ...” เป่ามาออกไปด้วยสีหน้าเหยเก
กู้ชูหน่วนชี้ที่นั่งข้างๆ หัวเราะคิกคักแล้วพูด “เสี่ยวเฟิงเฟิง แยกกันยังไม่ถึงวัน พวกเราก็พบกันอีกแล้ว รีบมานั่งเร็ว”
“คุณหนูสาม ท่านจะสั่งงานอะไรก็พูดมาตามตรงเถอะ”
“ข้าจะกล้าสั่งงานอะไรเจ้าได้อย่างไร เพียงแค่อยากเป็นเพื่อนกับเจ้าเท่านั้น”
“ขออภัย ข้าไม่เคยคบหาสหาย”
“อย่างนั้นเจ้าดื่มกับข้าสองสามจอก”
“ข้าไม่ดื่มสุรา”
“เมื่อครู่เป่ามารับเงินข้าไปแสนตำลึง หรือว่าเงินแสนตำลึงยังเชิญเจ้าดื่มสุราสักจอกไม่ได้”
เย่เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เจ้าไม่ดื่ม ข้าก็จะให้เป่ามาเอาเงินหนึ่งแสนตำลึงมาคืนข้า”
ริมฝีปากบางของเย่เฟิงขยับเล็กน้อย พูดอย่างขมขื่น “ข้าก็แค่คนยากจนคนหนึ่ง เหตุใดคุณหนูสามถึงต้องแกล้งข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม
อ่านๆ ไปแล้วก็รู้สึก ประสาท เว่อวัง คิดว่าอ่านจะซ่อนความอะไรไว้ แต่จนถึงตอนนี้ ยังไม่เจอเลย ลำไยมาก...
บางทีก็เบื่ออีนางเอกนี่ กำเริบเสิบสานกวนตีนได้สุดยอด ไล่ออกจากแคว้นก็ได้แล้ว...
ตอนที่1142-1190หายไปค่ะ...
ตอนที่ 1142-1190 หายไปค่ะ...