หินลดลงอยู่ที่กลางอากาศ ร่องลึกที่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำสีดำนั้นก็มีไม้เถาวัลย์ยาวยื่นออกมา แล้วแย่งกันขึ้นมาพันอยู่รอบๆ หิน
เพียงแต่ใช้ความพยายามชั่วพริบตา หินก้อนนั้นก็กลายเป็นเถ้าถ่าน
เสวียนหยวนป๋ายและคนอื่นตกใจจนถอยหลังไปหลายก้าว
โม่เสิ่นยวนก็กล่าวว่า :
"นี่คือเถาศพดำ มันจะกลืนกินเลือดของซากศพ มีพลังมหาศาล ไม่ว่ากระดูกของกะโหลกจะแข็งแรงสักแค่ไหนก็สามารถบดขยี้ได้ หากได้กลิ่นคาวเลือด ก็สามารถเติบโตได้อย่างบ้าคลั่ง พวกเจ้าจงจำไว้ ห้ามบาดเจ็บจนมีเลือดออก"
"นี่คือเถาศพดำเช่นนั้นหรือ? เคยได้ยินเพียงแค่ชื่อของมันเท่านั้น ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ไม่คิดเลยว่าจะมีอยู่ไหนนี้มากมายเช่นนี้! ลองคิดดูว่าตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้จะมีคนเคยตายอยู่ที่นี้มามากมายแค่ไหน!"
หนานกงจิ่นกล่าวด้วยท่าทางที่เคร่งขรึม
เดิมทีแล้วเถาศพดำเป็นสีเขียว มีเพียงแต่ได้เคยกลืนกินซากศพไปมากกว่าร้อยร่าง ถึงจะสามารถกลายเป็นสีดำได้
ภายในนี้มีเถาศพดำอยู่มากมายเช่นนี้ คนที่ตายอยู่ที่นี่ไม่น่าจะน้อยกว่าหมื่นคนได้แล้ว
เขายังคงชื่นชมโม่เสิ่นยวนเป็นอย่างมาก ไม่นึกเลยว่าแม้แต่เถาศพดำก็รู้จักมันด้วย
เย่จายซิงมองไปที่เสด็จอา แล้วกล่าวว่า : "เช่นนั้นพวกเราจะสามารถข้ามมันไปได้หรือไม่?"
"เถาศพดำกลัวไฟ เพียงแต่ว่าหากเผาเถาศพดำไปแล้ว เกรงว่าจะสร้างความปั่นป่วนอยู่ไม่น้อยเลย เช่นนั้นก็อาจจะดึงดูดเหล่าสัตว์ร้านผู้ดูแลให้ออกมาก็ได้"
โม่เสิ่นยวนกล่าวว่า
“ข้ามีวิธีแล้ว”
เย่จายซิงดีดนิ้วครึ่งหนึ่ง มีกลุ่มก้อนเปลวไฟที่ร้อนดั่งอยู่บนกองไฟปรากฏขึ้น เธอให้เปลวไฟกระจายออกไป สุดท้ายแล้วรูปแบบของลูกไฟก็ก่อตัวขึ้นเป็นม่านอาคม นางได้ปกคลุมเสด็จอารวมไปถึงหนานกงจิ่นและคนอื่นอีกสี่คนไว้ตรงกลาง
ความสามารถในการควบคุมไฟอย่างเชี่ยวชาญและละเอียดอ่อนเช่นนี้ ทำให้หนานกงจิ่น เสวียนหยวนป๋ายและพรรคพวกต่างก็จ้องมองอย่างตะลึงงัน
ถึงจะรู้ว่านางเป็นนักกลั่นยาที่แข็งแกร่ง แต่ก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า นางสามารถที่จะควบคุมเพลิงพิลึกให้เป็นเช่นนี้ได้
“ไป เหาะข้ามไป”
เสียงของโม่เสิ่นยวนเรียกคืนสติให้คนพรรคพวกเหล่านั้น แล้วก็เหาะข้ามร่องลึกไปด้วยกัน ไม่เพียงแต่เถาวัลย์ของเถาศพดำที่อยู่ด้านในไม่ยืนออกมาพันรอบพวกเขาเอาไว้ แต่กลับหดตัวรวมกันอยู่ด้วยความสั่นสะท้าน
เถาปีศาจแห่งความชั่วร้ายนี้ ก็มีวันเช่นนี้ได้
หลังจากผ่านร่องลึกที่หล่อเลี้ยงเถาศพดำไปได้แล้ว ก็มีเส้นทางในสุสานเพิ่มมากขึ้นอีกสองทางเป็นซ้ายและขวา
เย่จายซิงได้ปลดเพลิงพิลึกออกไป อีกด้านหนึ่งเฮ่อจี้ก็ใช้เข็มทิศพึมพำอย่างกำลังเสี่ยงทาย เพื่อดูว่าทางไหนถึงจะเป็นประตูแห่งชีวิต
โดยทั่วไปแล้วทุกสุสานโบราณต่างก็มีประตูแห่งชีวิตและประตูแห่งความตาย
ประตูแห่งความตายก็คือเส้นทางที่ไม่มีทางออก เมื่อเข้าไปแล้วก็ไม่สามารถที่จะออกมาได้อีกแล้ว
“ทางซ้ายประตูแห่งชีวิต ทางขวาประตูแห่งความตาย พวกเราไปทางซ้ายกันเถอะ”
ผ่านไปได้ครู่หนึ่ง เฮ่อจี้ก็ชี้ไปทางซ้ายแล้วกล่าวขึ้น
หนานกงจิ่นและเสวียนหยวนป๋ายต่างพากันพยักหน้า แล้วเตรียมตัวที่จะเดินไปทางซ้าย
“ช้าก่อน พวกเราจะไปทางขวากัน”
เย่จายซิงกล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
"ทำไมกัน? ทางขวาคือประตูแห่งความตายนะ มันเต็มไปด้วยความอันตราย"
เฮ่อจี้กล่าวขึ้น
"หากเกิดเหตุการณ์คาดไม่ถึงแล้วล่ะก็ ผู้อาวุโสของตระกูลหนานกงท่านนั้น ควรที่จะอยู่ทางนี้"
นางมองไปทางขวาของเส้นทางสุสานแล้วกล่าวขึ้น
เจ้าไป๋ได้บอกนางว่าสามารถมีได้สองเส้นทาง และประตูแห่งความตายที่อยู่ทางขวาอาจจะมีกับดักอยู่รอบทิศทาง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธีที่จะออกไปได้
ประตูแห่งชีวิตถึงจะดูว่าปลอดภัย แต่ก็อาจจะมีสัตว์ร้ายผู้ดูแลนอนจำศีลอยู่ก็เป็นได้
“จริงอย่างนั้นหรือ?”
หนานกงจิ่นถามขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น
เขามีความหวังที่จะได้ช่วยเหลือตระกูลของผู้อาวุโสมากขึ้นแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่านางมีความตั้งใจที่จะไปช่วยเหลือผู้อาวุโสจริงๆ ด้วย
"บนเส้นทางที่สิ้นหวัง เมื่อพบเจอสิ่งที่เลวร้ายที่สุด ก็จะประสพโชคดี ตะเกียงชีวิตของท่านผู้อาวุโสยังไม่มอดลง บางทีอาจจะเป็นมูลเหตุที่เมื่อตอนที่อยู่ในประตูแห่งความตายจะง่วงอยู่เสมอก็ได้ ไปช่วยเหลือท่านก่อน เรื่องที่ออกไปจากสุสานค่อยพูดกันทีหลัง"
เย่จายซิงกล่าวกับเขา
นางไม่มีวิธีที่จะพูดกับพวกเขาได้ ว่าเป็นสัญชาตญาณของเจ้าไป๋เทพแห่งการโชคลาภและหลีกเลี่ยงความโชคร้ายเป็นผู้บอกนางเอาไว้
“เช่นนั้นก็ไปกัน!”
เสวียนหยวนป๋ายและพรรคพวกต่างพยักหน้า ตัดสินใจที่จะเชื่อฟังนาง
โม่เสิ่นยวนมองไปโดยรอบ เมื่อได้ยินพวกเขาพยักหน้า ก็ได้ก้าวไปประคองน้องซิงเดินไปที่เส้นทางสุสานทางขวา
แววตาของเย่จายซิงต่างมีแต่รอยยิ้ม นางเหลือบมองเข้าไปข้างในหลายครั้ง แล้วได้หยิบยาออกมาจากอกขวดหนึ่ง
"นี่เป็นยาแก้พิษขั้นเจ็ดที่ข้ากลั่นออกมา พวกเจ้าทุกคนกินกันคนละหนึ่งเม็ด ภายในนี้มีทั้งอากาศพิษและเชื้อโรค ซึ่งมันจะส่งผลต่อสติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้"
ทุกต่างเทลงมาคนลงมาแล้วกลืนเข้าไปคนละเม็ด
เย่จายซิงได้ป้อนให้เสด็จอาด้วยตัวเองเม็ดหนึ่ง แล้วมองกันด้วยรอยยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็จับมือกันเดินเข้าไป
ที่นี่คือห้องหลุมสุสานทรงกลมขนาดใหญ่ ตรงกลางมีโลงศพหินตั้งอยู่โลงหนึ่ง แต่โลงศพถูกปิดผนึกเอาไว้
ไม่ จะให้พูดกันอย่างถูกต้องแล้วล่ะก็ มันก็คือหินรูปร่างเป็นโลงศพเท่านั้น แม้แต่ช่องว่างสักเส้นก็ไม่มี
มีเสาหินทรงกลมตั้งอยู่สี่ด้าน ด้านหลังของเสาหินมีสระบัวที่แห้งเหือดไปแล้ว ภายในสระบัวไม่มีอะไรอยู่เลยทั้งนั้น
ภายในมีสิ่งที่เป็นพิษอยู่ไม่น้อย แล้วยังมีกลิ่นฉุนและชื้นอยู่เล็กน้อย
เมื่อได้เข้ามาก็รู้สึกหนาวเหน็บไปถึงกระดูก ผนังโดยรอบต่างก็มีรอยน้ำที่เกิดขึ้นจากไอน้ำจับกันจนแข็งตัว ราวกับว่ามีพื้นที่เปียกชื้นบางแห่งเหมือนกำลังฟื้นคืนชีพกลับมา
"ข้ากำลังคิดว่า ใต้ดินสุสานโบราณแห่งนี้จะสามารถที่จะมีทะเลสาบหรือน้ำบาดาลอะไรพวกนี้อยู่บ้างไหม มิเช่นนั้นจะมีความชื้นขนาดนี้ได้เช่นไร"
นางพูดขึ้นมาด้วยความสงสัย
"อืม คำพูดของน้องซิงใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้"
โม่เสิ่นยวนพยักหน้า แล้วมองไปโดยรอบอีกครั้ง แล้วดึงมือของนางไปที่ตำแหน่งตั้งโลงศพที่อยู่ตรงกลาง
ทันใดนั้นเขาก็หมอบลงไป ชี้ไปที่ฐานของโลงศพแล้วพูดว่า :
"ตรงนี้มีคราบเลือด"
เย่จายซิงก้มลงไปดูด้วย ไม่คาดคิดเลยว่าที่จุดต่ำสุดของโลงศพจะสามารถเห็นคราบเลือดที่แห้งไปแล้วได้ และมันยังเป็นรอยเลือดที่เป็นรอยมือรอยหนึ่งอีกด้วย
"ดูเหมือนว่า ดูเหมือนว่ารอยเลือดรูปมือนี้จะเป็นรอยที่ถูกทิ้งเอาไว้เมื่อประมาณครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ มันจะสามารถมีความเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสหนานกงหรือไม่?"
เมื่อได้ยินนางกล่าวออกมาเช่นนี้ หนานกงจิ่นและพรรคพวกก็รีบร้อนเดินมาในทันที
“ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่เลือดของผู้อาวุโส”
หนานกงจิ่นถูไปบนคราบเลือดเล็กน้อย หลังจากที่มองดูแล้ว ก็พบว่านี่ไม่ใช่เลือกของผู้อาวุโสของตระกูล
"พวกเจ้ามาดูนี่เร็วเข้า! ทางนี้ ทางนี้ก็มีคราบเลือดรูปมือของเด็กทารกอยู่อีกสามรอย!"
ในเวลานี้ เสวียนหยวนป๋ายที่อยู่อีกด้านหนึ่งของโลงศพ ก็ส่งเสียงพูดอย่างสั่นเทาออกมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์ชายาหมอเทวดา
มาอ่านเรื่องนี้ต่อค่ะ หวังว่าจะลงเนื้อหาจนจบ...
115จนถึงถึง159ไม่มีเลยค่ะลงต่อให้ครบได้มั้ยค่ะ😂...
ตอนที่ 115-159 หายไปค่ะ อ่านต่อไม่ได้อ่ะค่ะ...
115-159หายไปไหนอ่าคะ...
อัพวันละหลายๆตอนได้มั้ยค่ะ ขอบคุณค่ะ...