บัลลังก์ชายาหมอเทวดา นิยาย บท 403

หินลดลงอยู่ที่กลางอากาศ ร่องลึกที่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำสีดำนั้นก็มีไม้เถาวัลย์ยาวยื่นออกมา แล้วแย่งกันขึ้นมาพันอยู่รอบๆ หิน

เพียงแต่ใช้ความพยายามชั่วพริบตา หินก้อนนั้นก็กลายเป็นเถ้าถ่าน

เสวียนหยวนป๋ายและคนอื่นตกใจจนถอยหลังไปหลายก้าว

โม่เสิ่นยวนก็กล่าวว่า :

"นี่คือเถาศพดำ มันจะกลืนกินเลือดของซากศพ มีพลังมหาศาล ไม่ว่ากระดูกของกะโหลกจะแข็งแรงสักแค่ไหนก็สามารถบดขยี้ได้ หากได้กลิ่นคาวเลือด ก็สามารถเติบโตได้อย่างบ้าคลั่ง พวกเจ้าจงจำไว้ ห้ามบาดเจ็บจนมีเลือดออก"

"นี่คือเถาศพดำเช่นนั้นหรือ? เคยได้ยินเพียงแค่ชื่อของมันเท่านั้น ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ไม่คิดเลยว่าจะมีอยู่ไหนนี้มากมายเช่นนี้! ลองคิดดูว่าตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้จะมีคนเคยตายอยู่ที่นี้มามากมายแค่ไหน!"

หนานกงจิ่นกล่าวด้วยท่าทางที่เคร่งขรึม

เดิมทีแล้วเถาศพดำเป็นสีเขียว มีเพียงแต่ได้เคยกลืนกินซากศพไปมากกว่าร้อยร่าง ถึงจะสามารถกลายเป็นสีดำได้

ภายในนี้มีเถาศพดำอยู่มากมายเช่นนี้ คนที่ตายอยู่ที่นี่ไม่น่าจะน้อยกว่าหมื่นคนได้แล้ว

เขายังคงชื่นชมโม่เสิ่นยวนเป็นอย่างมาก ไม่นึกเลยว่าแม้แต่เถาศพดำก็รู้จักมันด้วย

เย่จายซิงมองไปที่เสด็จอา แล้วกล่าวว่า : "เช่นนั้นพวกเราจะสามารถข้ามมันไปได้หรือไม่?"

"เถาศพดำกลัวไฟ เพียงแต่ว่าหากเผาเถาศพดำไปแล้ว เกรงว่าจะสร้างความปั่นป่วนอยู่ไม่น้อยเลย เช่นนั้นก็อาจจะดึงดูดเหล่าสัตว์ร้านผู้ดูแลให้ออกมาก็ได้"

โม่เสิ่นยวนกล่าวว่า

“ข้ามีวิธีแล้ว”

เย่จายซิงดีดนิ้วครึ่งหนึ่ง มีกลุ่มก้อนเปลวไฟที่ร้อนดั่งอยู่บนกองไฟปรากฏขึ้น เธอให้เปลวไฟกระจายออกไป สุดท้ายแล้วรูปแบบของลูกไฟก็ก่อตัวขึ้นเป็นม่านอาคม นางได้ปกคลุมเสด็จอารวมไปถึงหนานกงจิ่นและคนอื่นอีกสี่คนไว้ตรงกลาง

ความสามารถในการควบคุมไฟอย่างเชี่ยวชาญและละเอียดอ่อนเช่นนี้ ทำให้หนานกงจิ่น เสวียนหยวนป๋ายและพรรคพวกต่างก็จ้องมองอย่างตะลึงงัน

ถึงจะรู้ว่านางเป็นนักกลั่นยาที่แข็งแกร่ง แต่ก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า นางสามารถที่จะควบคุมเพลิงพิลึกให้เป็นเช่นนี้ได้

“ไป เหาะข้ามไป”

เสียงของโม่เสิ่นยวนเรียกคืนสติให้คนพรรคพวกเหล่านั้น แล้วก็เหาะข้ามร่องลึกไปด้วยกัน ไม่เพียงแต่เถาวัลย์ของเถาศพดำที่อยู่ด้านในไม่ยืนออกมาพันรอบพวกเขาเอาไว้ แต่กลับหดตัวรวมกันอยู่ด้วยความสั่นสะท้าน

เถาปีศาจแห่งความชั่วร้ายนี้ ก็มีวันเช่นนี้ได้

หลังจากผ่านร่องลึกที่หล่อเลี้ยงเถาศพดำไปได้แล้ว ก็มีเส้นทางในสุสานเพิ่มมากขึ้นอีกสองทางเป็นซ้ายและขวา

เย่จายซิงได้ปลดเพลิงพิลึกออกไป อีกด้านหนึ่งเฮ่อจี้ก็ใช้เข็มทิศพึมพำอย่างกำลังเสี่ยงทาย เพื่อดูว่าทางไหนถึงจะเป็นประตูแห่งชีวิต

โดยทั่วไปแล้วทุกสุสานโบราณต่างก็มีประตูแห่งชีวิตและประตูแห่งความตาย

ประตูแห่งความตายก็คือเส้นทางที่ไม่มีทางออก เมื่อเข้าไปแล้วก็ไม่สามารถที่จะออกมาได้อีกแล้ว

“ทางซ้ายประตูแห่งชีวิต ทางขวาประตูแห่งความตาย พวกเราไปทางซ้ายกันเถอะ”

ผ่านไปได้ครู่หนึ่ง เฮ่อจี้ก็ชี้ไปทางซ้ายแล้วกล่าวขึ้น

หนานกงจิ่นและเสวียนหยวนป๋ายต่างพากันพยักหน้า แล้วเตรียมตัวที่จะเดินไปทางซ้าย

“ช้าก่อน พวกเราจะไปทางขวากัน”

เย่จายซิงกล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน

"ทำไมกัน? ทางขวาคือประตูแห่งความตายนะ มันเต็มไปด้วยความอันตราย"

เฮ่อจี้กล่าวขึ้น

"หากเกิดเหตุการณ์คาดไม่ถึงแล้วล่ะก็ ผู้อาวุโสของตระกูลหนานกงท่านนั้น ควรที่จะอยู่ทางนี้"

นางมองไปทางขวาของเส้นทางสุสานแล้วกล่าวขึ้น

เจ้าไป๋ได้บอกนางว่าสามารถมีได้สองเส้นทาง และประตูแห่งความตายที่อยู่ทางขวาอาจจะมีกับดักอยู่รอบทิศทาง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธีที่จะออกไปได้

ประตูแห่งชีวิตถึงจะดูว่าปลอดภัย แต่ก็อาจจะมีสัตว์ร้ายผู้ดูแลนอนจำศีลอยู่ก็เป็นได้

“จริงอย่างนั้นหรือ?”

หนานกงจิ่นถามขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น

เขามีความหวังที่จะได้ช่วยเหลือตระกูลของผู้อาวุโสมากขึ้นแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่านางมีความตั้งใจที่จะไปช่วยเหลือผู้อาวุโสจริงๆ ด้วย

"บนเส้นทางที่สิ้นหวัง เมื่อพบเจอสิ่งที่เลวร้ายที่สุด ก็จะประสพโชคดี ตะเกียงชีวิตของท่านผู้อาวุโสยังไม่มอดลง บางทีอาจจะเป็นมูลเหตุที่เมื่อตอนที่อยู่ในประตูแห่งความตายจะง่วงอยู่เสมอก็ได้ ไปช่วยเหลือท่านก่อน เรื่องที่ออกไปจากสุสานค่อยพูดกันทีหลัง"

เย่จายซิงกล่าวกับเขา

นางไม่มีวิธีที่จะพูดกับพวกเขาได้ ว่าเป็นสัญชาตญาณของเจ้าไป๋เทพแห่งการโชคลาภและหลีกเลี่ยงความโชคร้ายเป็นผู้บอกนางเอาไว้

“เช่นนั้นก็ไปกัน!”

เสวียนหยวนป๋ายและพรรคพวกต่างพยักหน้า ตัดสินใจที่จะเชื่อฟังนาง

โม่เสิ่นยวนมองไปโดยรอบ เมื่อได้ยินพวกเขาพยักหน้า ก็ได้ก้าวไปประคองน้องซิงเดินไปที่เส้นทางสุสานทางขวา

แววตาของเย่จายซิงต่างมีแต่รอยยิ้ม นางเหลือบมองเข้าไปข้างในหลายครั้ง แล้วได้หยิบยาออกมาจากอกขวดหนึ่ง

"นี่เป็นยาแก้พิษขั้นเจ็ดที่ข้ากลั่นออกมา พวกเจ้าทุกคนกินกันคนละหนึ่งเม็ด ภายในนี้มีทั้งอากาศพิษและเชื้อโรค ซึ่งมันจะส่งผลต่อสติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้"

ทุกต่างเทลงมาคนลงมาแล้วกลืนเข้าไปคนละเม็ด

เย่จายซิงได้ป้อนให้เสด็จอาด้วยตัวเองเม็ดหนึ่ง แล้วมองกันด้วยรอยยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็จับมือกันเดินเข้าไป

ที่นี่คือห้องหลุมสุสานทรงกลมขนาดใหญ่ ตรงกลางมีโลงศพหินตั้งอยู่โลงหนึ่ง แต่โลงศพถูกปิดผนึกเอาไว้

ไม่ จะให้พูดกันอย่างถูกต้องแล้วล่ะก็ มันก็คือหินรูปร่างเป็นโลงศพเท่านั้น แม้แต่ช่องว่างสักเส้นก็ไม่มี

มีเสาหินทรงกลมตั้งอยู่สี่ด้าน ด้านหลังของเสาหินมีสระบัวที่แห้งเหือดไปแล้ว ภายในสระบัวไม่มีอะไรอยู่เลยทั้งนั้น

ภายในมีสิ่งที่เป็นพิษอยู่ไม่น้อย แล้วยังมีกลิ่นฉุนและชื้นอยู่เล็กน้อย

เมื่อได้เข้ามาก็รู้สึกหนาวเหน็บไปถึงกระดูก ผนังโดยรอบต่างก็มีรอยน้ำที่เกิดขึ้นจากไอน้ำจับกันจนแข็งตัว ราวกับว่ามีพื้นที่เปียกชื้นบางแห่งเหมือนกำลังฟื้นคืนชีพกลับมา

"ข้ากำลังคิดว่า ใต้ดินสุสานโบราณแห่งนี้จะสามารถที่จะมีทะเลสาบหรือน้ำบาดาลอะไรพวกนี้อยู่บ้างไหม มิเช่นนั้นจะมีความชื้นขนาดนี้ได้เช่นไร"

นางพูดขึ้นมาด้วยความสงสัย

"อืม คำพูดของน้องซิงใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้"

โม่เสิ่นยวนพยักหน้า แล้วมองไปโดยรอบอีกครั้ง แล้วดึงมือของนางไปที่ตำแหน่งตั้งโลงศพที่อยู่ตรงกลาง

ทันใดนั้นเขาก็หมอบลงไป ชี้ไปที่ฐานของโลงศพแล้วพูดว่า :

"ตรงนี้มีคราบเลือด"

เย่จายซิงก้มลงไปดูด้วย ไม่คาดคิดเลยว่าที่จุดต่ำสุดของโลงศพจะสามารถเห็นคราบเลือดที่แห้งไปแล้วได้ และมันยังเป็นรอยเลือดที่เป็นรอยมือรอยหนึ่งอีกด้วย

"ดูเหมือนว่า ดูเหมือนว่ารอยเลือดรูปมือนี้จะเป็นรอยที่ถูกทิ้งเอาไว้เมื่อประมาณครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ มันจะสามารถมีความเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสหนานกงหรือไม่?"

เมื่อได้ยินนางกล่าวออกมาเช่นนี้ หนานกงจิ่นและพรรคพวกก็รีบร้อนเดินมาในทันที

“ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่เลือดของผู้อาวุโส”

หนานกงจิ่นถูไปบนคราบเลือดเล็กน้อย หลังจากที่มองดูแล้ว ก็พบว่านี่ไม่ใช่เลือกของผู้อาวุโสของตระกูล

"พวกเจ้ามาดูนี่เร็วเข้า! ทางนี้ ทางนี้ก็มีคราบเลือดรูปมือของเด็กทารกอยู่อีกสามรอย!"

ในเวลานี้ เสวียนหยวนป๋ายที่อยู่อีกด้านหนึ่งของโลงศพ ก็ส่งเสียงพูดอย่างสั่นเทาออกมา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์ชายาหมอเทวดา