ความมืดแห่งยามราตรีเริ่มคืบคลานเข้ามาปกคลุมเมืองหมอกสน ในขณะที่ดวงตะวันคล้อยไปทางทิศตะวันตก
นับพันครั้งแล้วที่เฉินซีผลักประตูเปิดเข้าไปในร้านขายของสกุลจาง
ร้านขายของสกุลจางเป็นร้านค้าปลีกขนาดกลางที่ขายยันต์ซึ่งพวกเขาทำขึ้นเอง
สินค้าที่ขายได้มากที่สุด ได้แก่ ยันต์ระดับหนึ่งและระดับสอง ซึ่งเป็นรายได้สําคัญที่ทําให้ร้านค้าสกุลจางยังคงสามารถเลี้ยงตัวเองต่อไปได้แม้ยอดขายสินค้าอื่นไม่สู้ดีและส่วนต่างกำไรที่แม้จะไม่มากมายนัก
“กระดาษยันต์ พู่กันสําหรับเขียนยันต์ และหมึก มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างยันต์โดยปราศจากสิ่งของทั้งสามอย่างนี้ การสร้างยันต์มันดูเหมือนง่ายแต่ในความเป็นจริงมันซับซ้อนเป็นอย่างมาก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าจะได้เรียนรู้วิธีการจําแนกประเภทกระดาษยันต์ วิธีจับพู่กัน และทุกอย่างเกี่ยวกับหมึก เมื่อใดที่พวกเจ้าเข้าใจความรู้พื้นฐานเหล่านี้จนขึ้นใจแล้ว ข้าจึงจะสอนพวกเจ้าเกี่ยวกับการสร้างยันต์อักขระ”
ขณะนี้เองที่เฉินซีเพิ่งตระหนักได้ว่าร้านขายของสกุลจางเพิ่งรับสมัครคนรุ่นเยาว์หน้าใหม่มาเจ็ดแปดคนเพื่อนำมาฝึกสอนให้เป็นนักสร้างยันต์อักขระฝึกหัด ส่วนคำพูดเมื่อครู่นี้เป็นของเจ้าของร้านที่มีนามว่าจางต้าหยง
“ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งเดือน แต่หากผลงานที่พวกเจ้าทำออกมาไม่เป็นที่น่าพอใจสําหรับข้าเมื่อหนึ่งเดือนได้ผ่านไป พวกเจ้าจะต้องกลับบ้านตัวเองไปซะ และพวกเจ้าทั้งหมดจงจำใส่หัวเอาไว้ หนทางการเป็นปรมาจารย์ยันต์อักขระไม่มีทางลัด มีทางเดียวที่พวกเจ้าจะกลายเป็นปรมาจารย์ได้คือการทุ่มเทเรียนรู้และฝึกฝนให้หนักจนเลือดตากระเด็น ไม่มีปรมาจารย์ผู้ใดที่ไม่ทุ่มเทแล้วประสบความสำเร็จเลยสักคน!”
คนรุ่นเยาว์หน้าใหม่ทั้งหมดต่างจ้องมองกันเองด้วยความตื่นเต้นและกระตือรือร้น พวกเขารู้สึกคันไม้คันมืออยากจะลองสร้างยันต์อักขระด้วยตัวเองจนเต็มแก่
“หืม? เฉินซีเจ้ามาแล้วหรือ?” จางต้าหยงมองข้ามมายังหน้าประตูร้านและส่งยิ้มให้กับเฉินซี
“ลุงจาง นี่คือยันต์เมฆาอัคคีสามสิบแผ่นสําหรับวันนี้” พูดจบ เฉินซีก็หยิบยันต์สีครามปึกหนึ่งออกจากอกเสื้อและยื่นให้
จางต้าหยงโบกมือ “ยังไม่ต้องรีบร้อน ๆ ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่แล้วเช่นนั้นก็มาช่วยข้าสอนพวกเด็กน้อยเหล่านี้ที ส่วนค่าจ้างสำหรับการสอนข้าจะคิดต่างหากให้ เอาเป็นว่าข้าจ่ายศิลาวิญญาณสามก้อนต่อครึ่งชั่วยามเจ้าจะว่าอย่างไร?”
เฉินซีพยักหน้าหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ย่อมได้!”
ยันต์เมฆาอัคคีสามสิบแผ่นสามารถขายได้ศิลาวิญญาณสิบก้อน แต่ต้องใช้เวลาในการสร้างถึงสองชั่วยามครึ่ง ดังนั้น การได้รับค่าจ้างเป็นศิลาวิญญาณสามก่อนต่อครึ่งชั่วยามจึงนับว่าเหมาะสมแล้ว
จางต้าหยงยิ้มก่อนที่จะมองไปยังเหล่าวัยรุ่นทั้งหลายและพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าจริงจัง “เต๋าแห่งยันต์อักขระนั้นลึกล้ำและซับซ้อน ดังนั้นเพื่อช่วยให้พวกเจ้าเข้าใจพื้นฐานได้ภายในเร็ววัน รุ่นพี่ของพวกเจ้า เฉินซีจะแสดงให้พวกเจ้าได้เห็นว่ายันต์เมฆาอัคคีระดับหนึ่งถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร ข้าอาจจะไม่กล้ากล่าวยืนยันในเรื่องอื่น แต่ถ้ามีผู้ใดถามข้าว่าใครในเมืองของเราที่มีพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับยันต์อักขระมากที่สุด ข้ากล้าตอบได้อย่างเต็มปากชัดคำเลยว่าคนผู้นั้นคือเฉินซี!
ในเรื่องความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการสร้างยันต์อักขระ แม้กระทั่งตัวข้าเองก็ยังต้องยอมรับว่าตัวข้านั้นด้อยกว่าเฉินซีเช่นกัน ดังนั้นแล้วพวกเจ้าควรจับตาดูให้ดีและเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด อย่าได้ปล่อยโอกาสเรียนรู้อันดีงามนี้เสียเปล่า”
ควับ!
ชายหนุ่มเจ็ดแปดคนหันไปมองยังเฉินซีแทบจะพร้อมกัน แต่เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มที่อายุไม่น่าจะเยอะไปกว่าพวกเขามากนัก ความสงสัยจึงปรากฏขึ้นในดวงตาของพวกเขาทันที
สหายคนนี้วิเศษวิโสเหมือนที่ท่านลุงจางกล่าวเมื่อครู่จริงหรือ?
เฉินซีไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อยกับการถูกจับจ้อง เขาก้าวไปข้างหน้าและไปหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะสําหรับสร้างยันต์
จากนั้นเขาก็หยิบกระดาษยันต์สีครามที่วางอยู่ริมโต๊ะขึ้นมาหนึ่งแผ่นและวางมันลงตรงกลางโต๊ะ ก่อนที่จะหยิบพู่กันขึ้นมาและจุ่มปลายพู่กันลงไปในหมึก เขาขยับพู่กันในมือไปมากวนหมึกเหลวอย่างไหลลื่นท่าทางดูเชี่ยวชาญราวกับว่าเคยทำเช่นนี้มาแล้วนับหมื่นนับแสนครั้ง
เหล่าคนรุ่นเยาว์ต่างรีบมารุมล้อมดูเฉินซีอย่างรวดเร็วเมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้
ท่าทางของเฉินซียิ่งดูเหมือนมีมนต์ขลังเมื่อสีหน้าและแววตาของเขายิ่งจริงจังมากขึ้น ข้อมือของเขาเคลื่อนไหวไหลลื่นราวกับงูเลื้อย ปลายพู่กันดูคล่องแคล่วและสง่างาม ทุกการเคลื่อนไหวมีเสียงที่แผ่วเบาทว่าเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์… ลายเส้นดําแดงถูกวาดแต่งลงบนแผ่นยันต์อย่างเป็นธรรมชาติและราบรื่น คล้ายกับภาพมายาที่ไม่มีอยู่จริงแต่พอยิ่งนานไปมันเริ่มกลับกลายเป็นความเที่ยงแท้ที่สามารถจับต้องได้
เหล่าคนรุ่นเยาว์มองตามตาไม่กะพริบ ดวงตาของพวกเขาจ้องเขม็งไปที่ทุกขั้นตอนที่เฉินซีทำ และยิ่งเมื่อเห็นว่าลวดลายบนยันต์ค่อย ๆ เป็นรูปเป็นร่าง ความรู้สึกตะลึงในใจของพวกเขานั้นยิ่งมากขึ้นตามลำดับ
ยันต์ถูกแบ่งออกเป็นเก้าระดับ ยันต์เมฆาอัคคีเป็นยันต์ระดับแรก ซึ่งจัดว่าอยู่ในหมวดหมู่ยันต์พื้นฐานที่สุด เดิมทีพวกคนรุ่นเยาว์ไม่ได้สนใจเฉินซีที่เป็นคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขาเลย แต่ทว่าเมื่อพวกเขาได้เห็นความสามารถในการสร้างยันต์อันยอดเยี่ยมราวกับศิลปินเอกกำลังสร้างสรรค์ภาพวาด หัวใจของพวกเขากลับกลายเป็นถูกสยบไปโดยปริยาย
แววตาของเฉินซีขณะนี้จดจ่อและไม่สนใจสิ่งรอบข้างอย่างสิ้นเชิง เมื่อใดที่เขาสร้างยันต์ เขาจะจมเข้าสู่สภาวะใจสงบและจดจ่ออยู่เพียงแต่แผ่นยันต์ตรงหน้าเท่านั้น
จางต้าหยงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่เมื่อเขาเห็นสีหน้าตกตะลึงของบรรดาคนรุ่นเยาว์ อันที่จริงอย่าว่าแต่เด็กเหล่านี้เลย แม้แต่ตัวเขาเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึงทุกครั้งเมื่อเห็นเฉินซีสร้างยันต์ด้วยตาตนเอง
เฉินซีควบคุมปลายพู่กันของเขา สะบัด หมุนเป็นเกลียว ลากเป็นเส้นและปาดไปมาด้วยความเฉียบคมและแรงมือที่แม่นยํา ตามการเคลื่อนไหวของพู่กันในมือของเฉินซี ลวดลายที่ดูซับซ้อนค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างช้า ๆ บนกระดาษยันต์สีคราม
เวลาหนึ่งก้านธูปได้ผ่านไป
วิ้งงงง!
ทันใดนั้นกระดาษยันต์ส่องแสงเปล่งประกายเจิดจ้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนแสงจะหายวับกลับเข้าไปในยันต์ตามเดิมราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้
หลังจากที่วางยันต์ลงบนโต๊ะ เฉินซีรู้สึกว่าทั้งร่างเมื่อยล้าและไม่สบายตัว มันคล้ายกับทั้งร่างกําลังจะแตกสลาย ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเปลี่ยนเป็นซีดขาวคล้ายกับคนป่วย
ก่อนมาที่ร้านสกุลจาง เฉินซีได้ทําการสร้างยันต์เมฆาอัคคีไปแล้วสามสิบแผ่น ไม่ใช่เพียงแค่พลังแก่นแท้ของเขาใกล้จะหมด พลังจิตของเขาก็ใกล้จะหมดเช่นกัน ดังนั้นหลังจากสร้างยันต์นี้สําเร็จเขาจึงอยู่ในสภาพที่พลังทั้งหลายในร่างเหือดแห้งแทบหมด
ทว่าเหล่าคนรุ่นเยาว์ไม่ได้สังเกตเห็นเกี่ยวกับอาการนี้ของเฉินซีเพราะกำลังตกตะลึงกับวิธีที่เฉินซีสร้างยันต์ขึ้นมาด้วยความเชี่ยวชาญและคล่องแคล่ว
“น่าตื่นตาอะไรขนาดนี้! ทั้งความเร็ว ความคล่องแคล่ว และความแม่นยำในการใช้พู่กันทั้งหมดล้วนสุดแสนจะอัศจรรย์!”
“โว้ว! พี่เฉินซีสร้างยันต์สําเร็จในรวดเดียวโดยไม่พัก! ความสําเร็จขนาดนี้นับได้ว่าเชี่ยวชาญพอ ๆ กับปรมาจารย์!
“ต่อจากนี้ข้าจะขอคําชี้แนะจากพี่เฉินซีบ่อย ๆ! และอนาคตข้าจะต้องเชี่ยวชาญในการใช้พู่กันให้ได้แบบพี่เฉินซี!”
ไม่นานหลังจากที่เฉินซีจากไป จางต้าหยงมองอย่างดุร้ายไปที่ชายหนุ่มตรงทางเข้าร้านก่อนจะตวาดดังลั่น “อวิ๋นหง เจ้ามากับข้า!”
ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัว “ล…ลุงจาง ข้า…” ก่อนที่เขาจะทันได้อธิบาย จางต้าหยงผู้เป็นลุงของเขาก็ได้เดินเข้าไปในห้องด้านหลังแล้ว อวิ๋นหงรีบวิ่งตามไปอย่างรวดเร็วพลางพึมพำด้วยความรู้สึกขุ่นเคือง “ไม่อาจเข้าใจเลยจริง ๆ เหตุใดต้องโกรธเคืองข้าขนาดนี้? ข้าก็แค่พูดเรื่องจริงเกี่ยวกับไอ้เฉินหน้าตายเท่านั้น เหตุใดเขาต้องจริงจังขนาดนี้ด้วย?”
หลังจากที่ทั้งสองหายลับไปหลังร้าน กลุ่มของคนรุ่นเยาว์ผู้ซึ่งกำลังจะเข้ารับการฝึกเป็นนักสร้างยันต์ฝึกหัด อดไม่ได้ที่จะสบถกันเองจากสิ่งที่พวกเขาเพิ่งประสบ
“เฮ้อ…นั่นคือเฉินหน้าตาย ถ้าข้ารู้ก่อนหน้านี้ข้าจะไม่มาที่นี่แน่นอน ข้าสงสัยว่าหลังจากที่ข้าได้เห็นวิธีเขาสร้างยันต์แล้วข้าจะได้รับความโชคร้ายเกี่ยวกับเส้นทางการเป็นนักสร้างยันต์หรือไม่”
“บัดซบ! เฉินหน้าตายผู้นี้เป็นคนที่ไม่ควรยุ่งเกี่ยวด้วยมากที่สุดแต่เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งชมเชยเขาไป! ไม่ได้การแล้ว! ข้าต้องรีบกลับบ้านไปชําระล้างร่างกายเดี๋ยวนี้เพื่อล้างซวย!”
“ฮ่า ๆ พวกเจ้านี่มันใจเสาะกันเสียจริง พ่อของข้าเคยกล่าวว่าเฉินหน้าตายจะนําภัยพิบัติมาสู่ตระกูลเฉินเท่านั้น มันไม่ส่งผลอันใดกับเราหรอก”
…
ท้องฟ้ายามค่ำคืนนั้นมืดมิดประหนึ่งหมึก หมู่ดาราเหลือคณานับส่องแสงพร่างพราว
ภายใต้สายลมอันหนาวเหน็บไปถึงกระดูก เฉินซีคลายกําปั้นของเขาออกอย่างเงียบ ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้เขากำแน่นจนข้อนิ้วกลายเป็นสีซีดขาว ขณะนี้เขากำลังเดินมุ่งหน้ากลับไปที่บ้านของเขาอย่างรวดเร็ว
ทว่าเมื่อเฉินซีมาถึงหน้าประตูบ้าน เขาเห็นชายหนุ่มร่างกายผอมแห้งกำลังนั่งอยู่หน้าประตู ต้องขอบคุณแสงของหมู่ดาว เฉินซีจึงสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่านั่นคือน้องชายของเขา เฉินฮ่าว
“ท่านพี่ ท่านกลับมาแล้ว!” เฉินฮ่าวอายุเพียงสิบสองปี เขายืนขึ้นและตะโกนด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสุข ก่อนที่จะพบว่ามีบางสิ่งผิดปกติซึ่งทําให้เขารีบก้มศีรษะลง
เฉินซีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยโทสะ “เงยหน้าของเจ้าขึ้นมา!”
เฉินฮ่าวแสดงท่าทางราวกับเด็กที่เพิ่งสร้างวีรกรรมแย่ เขาไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวล “ท่านพี่ ท่านปู่กําลังรอท่านกินอาหารเย็น พวกเราเข้าไปด้านในกันก่อนเถอะ…”
หลังจากที่พูดจบประโยค เฉินฮ่าวก็ลุกอย่างรวดเร็วและรีบหันหลังกลับ เด็กน้อยต้องการจะเข้าไปในบ้าน แต่เขากลับถูกหยุดไว้ด้วยมือของเฉินซีจากด้านหลัง
“เจ้าไปมีเรื่องกับใครมาอีกแล้วใช่หรือไม่?” เฉินซีหมุนร่างของเฉินฮ่าวให้เผชิญหน้ากับตนก่อนจะเชิดคางอีกฝ่าย คิ้วของเขาขมวดหลังจากที่เห็นรอยฟกช้ำสีแดงปูดบวมบนใบหน้าเล็ก ๆ ของน้องชาย
เฉินฮ่าวพยายามอย่างหนักเพื่อที่ขยับศีรษะออกจากมือของเฉินซีพลางกล่าวด้วยเสียงดัง พร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยความดื้อรั้น “ไอ้พวกบัดซบนั่นมันเรียกข้าว่าเด็กกำพร้าและเรียกท่านว่าเป็นตัวซวยนำพาความโชคร้ายมาสู่ตระกูลของเรา และพวกมันบอกอีกว่าพวกเราทั้งหมดจะตายในเร็ว ๆ นี้ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่อาจยอมรับคำพูดของพวกมันได้ ข้าจำเป็นต้องสั่งสอนพวกมันทั้งหมด!”
เฉินซีมองไปที่น้องชายของตนเองอย่างเพ่งพินิจ เขามองเห็นความโกรธเกรี้ยวและความเจ็บปวดในแววตาของน้องชาย สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดรุนแรงอย่างฉับพลันจนแทบควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่
…………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
ทำไมตอนที่ 1631-1637 อ่านไม่ได้ครับ...
อยากซื้อหนังสือเรื่องนี้จบรึยังมีขายรึยัง ราคาเท่าไหร่...
กำลังสนุกเลยจ้า1407...
1...
รออ่าน1296...
รออ่าน1184จ้า...
ตอนที่1111รออ่านยุ...
ตอน1109รออ่านยุ...
กำลังมันเลยครับ...
กำลังมันเลยครับ...