บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1057

บทที่ 1057 จงใจ

บทที่ 1057 จงใจ

ในฐานะหนึ่งในตระกูลเก่าที่มีชื่อเสียงในเต๋าแห่งยันต์อักขระ ทรัพยากร และทุนทรัพย์ของตระกูลเหลียงนั้นย่อมลึกล้ำอย่างถึงที่สุด

ในคืนเดียวกันนั้น เหลียงปิงกลับมาพร้อมกับวัตถุดิบเซียนกองใหญ่ พวกมันเป็นวัตถุดิบเซียนที่จำเป็นต่อการขัดเกลาคุณภาพของยันต์ศัสตรา

ซึ่งในช่วงที่ยังอยู่ในเมืองรัศมีเมฆา เฉินซีได้รวบรวมวัตถุดิบเซียนส่วนใหญ่ที่ต้องการมาจากศาลาเซียนคลื่นทองคำ เมื่อรวมกับวัตถุดิบเซียนที่เหลียงปิงนำมา ก็เพียงพอสำหรับการยกระดับคุณภาพของยันต์ศัสตรา

ยามนี้ ยันต์ศัสตราอาจด้อยกว่าสมบัติอมตะระดับวิญญาณทมิฬเพียงเล็กน้อย หากสามารถขัดเกลาสำเร็จ มันจะต้องเหนือกว่าสมบัติอมตะระดับวิญญาณทมิฬทั่วไปอย่างแน่นอน!

อย่างไรก็ตาม สิ่งเดียวที่เฉินซีรู้สึกเสียใจก็คือศิลาโลหิตจ้าววิญญาณเซียนที่เหลียงปิงนำกลับมามีน้อยเกินไป เพียงสิบกว่าก้อนเท่านั้น พวกมันยังห่างไกลที่จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ในการขัดเกลากายา

เหลียงปิงค่อนข้างกระอักกระอ่วน “สมบัติชิ้นนี้หายากเหลือเกิน ข้าค้นคลังสมบัติทั้งหมดแล้ว แต่พบเพียงแค่นี้ ข้าจะส่งคนไปซื้อจากหอการค้าขนาดใหญ่หลายแห่งในวันพรุ่งนี้ ข้าจะรวบรวมให้ได้หนึ่งพันก้อน ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม”

เฉินซีทราบดีว่า หลังจากเทพอสูรที่แท้จริงได้ตายจนสิ้น ศิลาโลหิตจ้าววิญญาณเซียนก็แทบหาไม่ได้อีกต่อไป เพราะสมบัติชิ้นนี้กลั่นมาจากโลหิตของเทพอสูร เมื่อไม่มีเทพอสูร จึงเป็นการยากที่ศิลาโลหิตวิญญาณจะปรากฏมากขึ้น

สมบัติชิ้นนี้จึงกลายเป็นของหายาก และมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถ้าเดาไม่ผิด ศิลาโลหิตจ้าววิญญาณเซียนสิบกว่าก้อนที่เหลียงปิงนำมา จะต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าศิลาอมตะหมื่นก้อน!

เหลียงปิงกล่าวลาและจากไปหลังจากที่พูดคุยเล็กน้อยอยู่อีกพักใหญ่

ทั้งสองตกลงที่จะพบกันทุกเดือน ในช่วงเวลานี้ เฉินซีจะบ่มเพาะในห้องลับ และจะไม่มีใครรบกวนเขา

ทันทีที่เหลียงปิงจากไป เฉินซีก็เข้าสู่โลกแห่งดาราทันที

ห้องลับนี้มีชีพจรเซียนที่ยอดเยี่ยมซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการบ่มเพาะ แต่ในความเห็นของเฉินซี ประโยชน์จากการปิดด่านบ่มเพาะภายในโลกแห่งดารานั้นกลับมากกว่า

เนื่องจากเฉินซีมีต้นอ่อนเงาทมิฬอยู่ภายในร่างกาย ดังนั้นเขาจึงไม่ขาดปราณเซียนใด ๆ ยิ่งกว่านั้นกฎแห่งเวลาในโลกแห่งดารานั้นเชื่องช้า หนึ่งวันในโลกภายนอกนั้นเทียบเท่ากับห้าวันในโลกแห่งดารา

เฉินซีตกอยู่ในภวังค์ เมื่อเห็นร่างอวตารของตนนั่งสมาธิอยู่ใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว

เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งปีก่อนจะถึงช่วงรับสมัครสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ดังนั้นเขาต้องวางแผนอย่างเหมาะสมเพื่อใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด

ในไม่ช้า เฉินซีได้ตัดสินใจที่จะให้ร่างอวตารของตนหยุดการบ่มเพาะ และช่วยจัดการกับวัตถุดิบเซียนเพื่อขัดเกลายันต์ศัสตรา ก่อนที่ร่างหลักจะทำการขัดเกลามัน

ระหว่างนี้ ร่างหลักจะทำการบ่มเพาะและควบแน่นพลังของกฎ จากนั้นมุ่งหน้าไปยังดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้เพื่อต่อสู้และขัดเกลาความแข็งแกร่ง ด้วยวิธีนี้ หากเป็นไปตามแผนที่วางไว้ เขาจะสามารถติดอันดับหนึ่งในพันอันดับแรกของเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าภายในหนึ่งปีได้อย่างแน่นอน

ใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว

ร่างหลักของเฉินซีกำลังนั่งสมาธิด้วยจิตใจที่จดจ่อและกระจ่าง

พลังชีวิตเดือดพล่าน ไหลเวียนผ่านเส้นลมปราณไปทั่วร่างกาย และต้นอ่อนเงาทมิฬในแดนฮุ่นตุ้นก็ปล่อยปราณเซียนอันบริสุทธิ์ไหลบ่าออกมาราวกับมหาสมุทร

ขอบเขตเซียนสวรรค์ถูกแบ่งออกเป็นขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นสูง และขั้นสมบูรณ์แบบ พวกมันจึงถูกเรียกว่าสี่สระต้นกำเนิดสวรรค์ ทุกครั้งที่บรรลุในขอบเขตเซียนสวรรค์ มหาสมุทรพลังเซียนแห่งใหม่จะเปิดขึ้น ณ ตำแหน่งของสี่สัญลักษณ์ในแดนฮุ่นตุ้น

พื้นที่ทางเหนือในแดนฮุ่นตุ้นของเฉินซีมีมหาสมุทรพลังเซียนอยู่แล้ว มันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ในขณะที่ภาพของเต่าดำลอยอยู่ในนั้น มันจึงถูกเรียกว่ามหาสมุทรเต่าดำ

มหาสมุทรนี้เป็นเหมือนมหาสมุทรแห่งมวลพลัง สะสมปราณเซียนพิสุทธิ์ของเฉินซี

ในทางกลับกัน ทางตะวันออก ใต้ และตะวันตกของแดนฮุ่นตุ้น ก็เผยให้เห็นแสงจาง ๆ เช่นกัน เหมือนกับรูปแบบเริ่มต้นของมหาสมุทร

ทิศทางทั้งสามนี้เป็นตัวแทนของมังกรฟ้า หงส์แดง และพยัคฆ์ขาวที่สอดคล้องกับเต่าดำตามลำดับ

เต่าดำเป็นรากฐาน มังกรฟ้าเข้ารับตำแหน่งเสริม หงส์แดงเป็นตัวแทนของความมีชีวิตชีวา และเสือขาวเป็นตัวแทนของการขจัดโรคภัยทั้งปวง! นี่คือคำอธิบายของสี่ขั้นในขอบเขตเซียนสวรรค์

ปัจจุบัน เฉินซีได้พัฒนามหาสมุทรเต่าดำ และอยู่ที่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้น แต่แตกต่างจากเซียนสวรรค์คนอื่น ๆ เพราะรากฐานของเขาลึกล้ำมากกว่า จึงเพียงพอที่จะกวาดล้างศัตรูในการต่อสู้

แต่รากฐานที่ลึกเช่นนี้ ทำให้ยากที่จะบรรลุในการบ่มเพาะเช่นกัน

โชคดีที่เฉินซีมีต้นอ่อนเงาทมิฬอยู่ในครอบครอง จึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับศิลาอมตะ นอกจากนั้น กฎแห่งเวลาในโลกแห่งดาราก็ทำให้เขาไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา

อีกด้านหนึ่ง ร่างอวตารของเฉินซีที่สวมชุดพรตเต๋าสีเหลืองอมส้มกำลังยุ่งอยู่ ทั้งสร้างผนึก และขัดเกลาวัตถุดิบเซียนกองเล็ก ๆ ตรงหน้า

ทั้งหมดนี้เป็นวัตถุดิบเซียนที่เตรียมไว้เพื่อขัดเกลายันต์ศัสตรา และแม้ว่าร่างอวตารจะอยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปดในการขัดเกลากายา แต่ก็ยังสามารถขัดเกลาวัตถุดิบเซียนบางอย่างได้

ร่างหลักจะลงมือก็ต่อเมื่อถึงเวลาขัดเกลายันต์ศัสตราเท่านั้น

สิบวันต่อมา ซึ่งเท่ากับห้าสิบวันในโลกแห่งดารา

สีหน้าของเฉินซียังคงไม่เปลี่ยนแปลง และไม่ได้กังวลเลยสักนิด เขายังคงเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง และลอบพินิจสนามประลองระหว่างทาง

สิ่งเหล่านี้คือสนามประลองในชั้นแรก ผู้คนส่วนใหญ่เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้นที่ประลองกันอยู่ เฉินซีส่ายศีรษะหลังจากสังเกตสนามประลองเหล่านี้อยู่ชั่วครู่ การต่อสู้ระดับนี้ไร้ความหมายอย่างแท้จริง เขารู้สึกเหมือนพยัคฆ์กำลังมองดูฝูงหมาป่าต่อสู้กัน ไม่สามารถกระตุ้นความสนใจของเขาได้เลยแม้แต่น้อย

แม้จะเข้าร่วมต่อสู้ ก็ไม่ได้ขัดเกลาความแข็งแกร่งได้เลย

ไม่รอช้า ร่างของเฉินซีก็พุ่งตรงไปยังสนามประลองที่ลอยอยู่ชั้นสอง และมีผู้เยี่ยมยุทธ์หลายคนติดตามมาโดยไม่รู้ตัว

แม้สนามประลองในชั้นที่สองจะน้อยกว่าชั้นแรก แต่ก็ยังเต็มไปด้วยผู้คนเสียงดังจอแจ และเกิดการต่อสู้ที่รุนแรงปะทุขึ้นอยู่โดยรอบ

สำหรับความประหลาดใจของเฉินซี มันไม่ได้มีแค่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นกลางเท่านั้นที่อยู่ในชั้นสอง แต่มีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้นมากมายเช่นกัน

เฉินซีครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เนื่องจากเขาสามารถพิชิตขอบเขตและทำลายเซียนลึกลับได้ ดังนั้นจึงมีผู้เยี่ยมยุทธ์ที่สามารถพิชิตขอบเขตท้าประลองกับผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่น ไม่ต้องกล่าวถึงพวกเขาที่ถึงเป็นบุคคลชั้นยอดในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปทักษิณา ดังนั้นพวกเขาจึงมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา และมีพลังต่อสู้อันน่าตกใจ

ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีกฎใดในดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ ที่ห้ามไม่ให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีการบ่มเพาะที่ต่ำกว่าท้าประลองผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีการบ่มเพาะสูงกว่า

เฉินซีส่ายศีรษะ สนามประลองในชั้นที่สองยังไม่เหมาะกับตัวเขา ชายหนุ่มจึงบินตรงไปยังสนามประลองในชั้นที่สามทันที

“อืม? ชายคนนี้ตั้งใจจะทำสิ่งใดกัน? เป็นไปได้ไหมว่าเขาจงใจหลอกล่อพวกเราไปเรื่อย ๆ?” ท่าทางของชายหนุ่มชุดเหลืองในกลุ่มคนที่ตามหลังของเฉินซีกลายเป็นเคร่งขรึม และกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

“ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ คนผู้นี้อยู่ที่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้นเท่านั้น เขาจะกล้าท้าประลองกับผู้เยี่ยมยุทธ์ในชั้นที่สามได้อย่างไร เขาจะต้องเห็นเราอย่างแน่นอน และจงใจวนไปรอบ ๆ!” อีกคนกล่าวด้วยน้ำเสียงอันดุดัน

“ถ้าเด็กคนนี้ไม่ขึ้นสนามประลอง แล้วเราจะช่วยคุณหนูอินเฟิงเอ๋อร์แก้แค้นได้อย่างไร” คนอื่นขมวดคิ้วแน่น

กฎของดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้นั้นชัดเจน ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะหยิ่งผยองเพียงใดในโลกภายนอก พวกเขาไม่กล้าสร้างปัญหาที่นี่โดยผลีผลาม

“เร็วเข้า! เด็กนั่นไปอีกแล้ว!” ระหว่างการสนทนา ก็มีคนสังเกตเห็นร่างของเฉินซีได้ออกจากชั้นที่สามและบินไปยังชั้นที่สี่แล้ว

สีหน้าของทุกคนดูไม่น่าดูเล็กน้อย “เจ้าเด็กนั่นน่ารังเกียจเกินไปแล้ว มันแค่พาเราไปเดินเล่นเหมือนสุนัขบ้า! หากเป็นเช่นนี้อีกต่อไป หากผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่นเห็นเข้า เราจะไม่อับอายจนตายหรือ?”

หนึ่งในนั้นอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกไป “ไอ้หนู หยุดตรงนั้นซะ!”

โชคไม่ดีที่ดูเหมือนเฉินซีจะไม่ได้ยิน เขาทะยานขึ้นไปยังชั้นที่สี่โดยเอามือไพล่หลังไว้ในลักษณะผ่อนคลาย

ความรู้สึกเหมือนถูกเมินเช่นนี้ ทำให้สีหน้าของชายหนุ่มในชุดเหลืองและคนอื่น ๆ ดูมืดหม่นไปหมด “มันจงใจ! เจ้าเด็กนี้จงใจอย่างแน่นอน!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]