บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1116

บทที่ 1116 สายลมและเมฆารวมตัวในเมืองเซียนสัประยุทธ์

บทที่ 1116 สายลมและเมฆารวมตัวในเมืองเซียนสัประยุทธ์

เมืองเซียนสัประยุทธ์ถูกแบ่งออกเป็นเมืองชั้นในและเมืองชั้นนอก

เมืองชั้นในคือที่ที่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าตั้งอยู่ หากไม่ใช่สมาชิกของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ย่อมไม่สามารถก้าวเข้าไปได้

เมืองชั้นนอกไม่แตกต่างจากเมืองแห่งอื่น มีทั้งภัตตาคาร โรงน้ำชา ร้านค้าตั้งเรียงรายกัน มีอยู่ทุกหนแห่ง เต็มไปด้วยของสวยสดงดงาม ดูมั่งคั่งละลานตา

เรียกได้ว่า แม้แต่เมืองชั้นนอกของเมืองเซียนสัประยุทธ์ ใช่ว่าทุกคนจะสามารถตั้งรกรากได้ ยกตัวอย่างเช่นภูมิหลังของภัตตาคาร รวมถึงร้านค้าเหล่านั้น ล้วนได้รับการหนุนหลังโดยยอดฝีมือในสี่มหาทวีป

เจ็ดวันต่อมา คือวันที่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าจะเริ่มรับสมัครศิษย์ ยามนั้น เมืองชั้นในของเมืองเซียนสัประยุทธ์ที่ปิดอย่างแน่นหนา จะทำการเปิดประตู เพื่อต้อนรับผู้มีพรสวรรค์จากทั่วทุกหนแห่ง ก่อนทำการเข้าร่วมการทดสอบ

ผู้ที่ผ่านการทดสอบเหล่านั้น จะถูกนับว่าเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าอย่างเป็นทางการ

แน่นอนว่า ก่อนทำการสมัครยอดฝีมือรุ่นใหม่จากมหาทวีปทั้งหลาย จะต้องเข้าโถงวิญญาณยุทธ์ของทวีปตนเอง เพื่อตามหาผู้ชี้แนะ

หลังจากได้รับการชี้แนะแล้ว จึงค่อยมารับการทดสอบที่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า

เฉินซีและเหลี่ยปิงหานไม่รีรอ เร่งเดินไปตามถนนพลุกพล่าน โถงวิญญาณยุทธ์ที่เป็นของมหาทวีปทั้งหลายตั้งอยู่ระหว่างเมืองชั้นนอกและเมืองชั้นใน มันเป็นของกองกำลังศาลเซียน มีสถานะพิเศษอย่างยิ่ง

ดังนั้นพื้นที่ดังกล่าว จึงถูกเรียกว่า ‘เขตวิญญาณยุทธ์’

แม้หนทางยังอีกยาวไกลก่อนจะถึงเขตวิญญาณยุทธ์ แต่ก็สามารถมองเห็นได้ว่า สัตว์ร้ายทั้งหลายกำลังทะยานอยู่ในอากาศธาตุ วิหคเซียนกำลังโผบิน พวกมันคือพาหนะศักดิ์สิทธิ์ที่แบกยอดฝีมือเอาไว้คนแล้วคนเล่า

“โอ้สวรรค์! นั่นเหมือนจะเป็นมังกรคชสารทองคำในตำนาน! ทั่วร่างราวถูกหล่อด้วยทอง แสงสว่างพุทธองค์สาดส่องทุกหนแห่ง กลิ่นอายของมันน่าหวั่นเกรงไม่น้อย!”

“ว่ากันว่า มังกรคชสารทองคำคือสัตว์เทวะของภพพุทธองค์ เทียบเท่ากับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ในภพเซียนของพวกเรา ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเห็นที่นี่!”

“ดูนั่นสิ บนมังกรคชสารทองคำ มีผู้บ่มเพาะวิถีพุทธคล้องลูกประคำที่คอ ท่าทางผึ่งผาย มองปราดเดียวก็บอกได้เลยว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดา พวกเขาต้องมาสมัครเข้าร่วมสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเป็นแน่”

“ใช่แล้ว สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเป็นศูนย์รวมของกลุ่มทั้งหลาย ทั้งเซียน มาร พุทธองค์ แม้กระทั่งเผ่ามังกรก็ด้วย… ไม่ว่าผู้สืบทอดเต๋าและสิ่งมีชีวิตใดก็สามารถเข้าร่วมการทดสอบได้ ขอเพียงผ่านการทดสอบก็สามารถกลายเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าได้”

“ช่างอ่อนด้อยนัก เจ้ายังไม่รู้อีกหรือว่า ศิษย์พุทธองค์โดยกำเนิดในภพพุทธองค์อย่างเจิ่นลู่ก็เข้าร่วมการสมัครสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าในครั้งนี้ด้วย? ถ้าข้าเดาไม่ผิด พุทธองค์เจิ่นลู่จะต้องอยู่บนมังกรคชสารทองคำแน่นอน”

“ศิษย์พุทธองค์ เจิ่นลู่ เป็นเขาจริงด้วย!”

บนท้องนภา มังกรคชสารที่แผ่แสงสว่างสีทองหนึ่งหมื่นจั้งทะยานผ่าน ทำให้เกิดความโกลาหลไปทั่ว

“คนจากภพพุทธองค์หรือ?”

เฉินซีเงยหน้าขึ้น ชายหนุ่มนึกถึงโคมเขียวปัดเป่าภัยพิบัติ รวมถึงเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ที่ได้รับมา …พวกมันต่างเป็นสมบัติจากภพพุทธองค์

“หากมีโอกาส ข้าต้องไปตามหาคัมภีร์โบราณพุทธองค์บางเล่ม แล้วทำการขัดเกลาสมบัติพุทธองค์สองชิ้นนี้…”

ขณะครุ่นคิดกับตัวเอง หัวใจของเฉินซีสั่นไหว ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงสายตาที่จับจ้องมา ก่อนจะหันกลับไปมอง บนมังกรคชสารทองคำ มีชายหนุ่มในชุดคลุมสีจันทร์เสี้ยวนั่งอยู่ สายตาของเขาสดใสเป็นประกาย ขณะจ้องมองมาด้วยความลึกล้ำประหนึ่งท้องทะเล

สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือ ตรงหว่างคิ้วของนักบวชหนุ่ม มีลวดลายดอกบัวสีทองอยู่ มันแผ่กลิ่นอายบริสุทธิ์และยอดเยี่ยมออกมา

แต่ยามเฉินซีมองกลับ นักพรตหนุ่มกลับถอนสายตากลับ มังกรคชสารทองคำพาชายผู้นั้นหายไปในท้องนภา

‘หมอนี่หรือว่าจะเป็นศิษย์พุทธองค์ เจิ่นลู่? แต่ทำไมถึงให้ความสนใจข้ากันล่ะ หรือเป็นเพราะโคมเขียวปัดเป่าภัยพิบัติ?’

ชายหนุ่มคิ้วขมวด เขาสับสนเล็กน้อย

ทันใดนั้น มวลคลื่นน่าสะพรึงแผ่อยู่ในอากาศธาตุ วิหคเซียนปีกเจิดจ้า รูปลักษณ์ไร้ใครเทียบข้ามผ่านท้องนภา บนหลังของมันแบกหญิงสาวเอาไว้มากกว่าสิบคน

“วิหคเพลิง! โอ้สวรรค์ นี่คือสัตว์เทวะบรรพกาลสายเลือดบริสุทธิ์ มันเกิดมาพร้อมกับวิญญาณเทวะแห่งเพลิง!”

โฮกกก!

เสียงคำรามประหนึ่งฟ้าร้องสั่นสะเทือนท้องนภา ไม่นานหลังจากวิหคเพลิงจากไป สัตว์เทวะที่มีร่างสีขาวพิสุทธิ์ กีบทั้งสี่ประหนึ่งน้ำหมึก หัวเป็นราชสีห์เคราเป็นมังกร และแผ่กลิ่นอายกระจายไปทั่วท้องนภา

“นะ ๆ… นี่มันกิเลนน้ำ!” มีเสียงโกลาหลดังขึ้นในถนน

มันคือสัตว์มงคล เป็นสัญลักษณ์แห่งความมงคล สามารถสะกดตัวตนของเหตุต้นผลกรรมของสำนักได้ บัดนี้ มันกลับกลายเป็นพาหนะ หนุ่มสาวจำนวนมากกำลังขี่มันเพื่อมาที่นี่

เฉินซีตกตะลึง ก่อนลอบประหลาดใจ ฉากนี้ช่างน่าตกตะลึง การจะครอบครองสัตว์เทวะเช่นนั้นได้ ต้องเป็นกองกำลังแก่กล้าที่มีสถานะสูงส่งอย่างแน่นอน

‘ไม่สงสัยเลยว่ายอดฝีมือจากทุกหนแห่งในภพเซียนถึงตะเกียกตะกายกันมาที่เมืองเซียนสัประยุทธ์แห่งนี้ โอกาสยิ่งใหญ่เช่นนี้ สามารถพบได้เพียงในเมืองเซียนสัประยุทธ์เท่านั้น…’

เฉินซีถอนสายตากลับ ก่อนถอนหายใจออกมา

ตลอดทาง มีวิหคเซียนและสัตว์เทวะจำนวนมาก พวกมันทั้งหมดน่าเกรงขาม บางส่วนแค่แผ่กลิ่นอายออกมาก็น่ายำเกรง ทำให้ผู้คนสั่นสะท้าน

เทียบกับผู้ที่ขี่สัตว์ร้ายและวิหคเซียนแปลกประหลาด เฉินซี และเหลี่ยปิงหานคล้ายเล็กจ้อย พวกเขาไม่มีแม้แต่สัตว์เทวะเป็นพาหนะแม้แต่ตัวเดียว

“ที่จริง อสูรวิญญาณดาราของเจ้าก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกมันนะ” เหลี่ยปิงหานป้องปากเอ่ยแผ่วเบา

เฉินซีคลี่ยิ้ม เสี่ยวชิงชิงยังเยาว์ หากให้มันออกมา ย่อมดูโดดเด่นมากเกินไป พอต้องตาบุคคลใหญ่โตเข้า เขาก็อาจไม่สามารถปกป้องมันได้

แน่นอนว่า หลังจากเข้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าแล้ว เขาอาจจะสามารถพาเสี่ยวชิงชิงไปไหนมาไหนได้ ขอเพียงเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า แค่ตัวตนนี้ก็มากพอจะทำลายความละโมบของผู้อื่นได้

“พี่เฉิน ข้าจะไปโถงวิญญาณยุทธ์ของทวีปเมฆาพำนัก”

หลังจากมาถึง ‘เขตวิญญาณยุทธ์’ เหลี่ยปิงหานปรับอารมณ์ของตัวเอง แล้วกล่าวว่า “เรื่องที่เจ้าช่วยชีวิตเอาไว้ในตอนนั้น ข้าเหลี่ยปิงหานจะจำไว้ให้ขึ้นใจ ไม่ว่าอย่างไร…”

ชายหนุ่มคลี่ยิ้มก่อนเอ่ยขัดอีกฝ่าย “เรื่องเล็กน้อย ไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึง อีกอย่างข้าอยากไปโถงวิญญาณยุทธ์ที่เป็นของทวีปทักษิณาเหมือนกัน”

เหลี่ยปิงหานสูดหายใจเข้า ก่อนประสานมือให้กับเฉินซีอย่างซื่อตรง ก่อนเอ่ยผ่านกระแสปราณ “หากภายภาคหน้าพี่เฉินอยากแก้แค้นตระกูลจั่วชิว มาหาข้าได้เลย!”

สิ้นคำ ชายหนุ่มหันหลังแล้วหายไปท่ามกลางฝูงชน

น่าเสียดาย ด้วยความบังเอิญ ช่วงเวลาที่ทั้งสองคลาดกัน ห่างเพียงไม่กี่ลมหายใจ

“เหอะ อย่าว่าแต่จั่วชิวเคอเลย วันนี้ข้าไม่อยากเห็นหน้าใครทั้งนั้น!” มู่หลิงหลงหงุดหงิดเล็กน้อย ขณะเม้มริมฝีปากอวบอิ่ม

“ถึงอย่างไรนางก็มาหาเจ้าแล้ว ยิ่งกว่านั้น หากภายภาคหน้าเข้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เจ้าอาจจะกลายเป็นเพื่อนร่วมรุ่น เพราะงั้นควรดูแลซึ่งกันและกันไว้”

ชายหนุ่มร่างสูงเดินตามมู่หลิงหลง เขามีคิ้วกว้าง ใบหน้าหล่อเหลา ทุกท่วงท่าเต็มไปด้วยความเย้ยหยันและเย็นชา เป็นมู่จวินหลิน! หนึ่งในหกสุริยันอันเจิดจ้าของภพเซียน!

ชายหนุ่มมองหญิงสาวแสดงความเกรี้ยวกราดตรงหน้า ก่อนเผยสีหน้าจนใจออกมา

“ญาติผู้พี่รีบไปเถอะ เซียวหลิวกำลังมาไม่ใช่หรือ? หากมีเขาอยู่ข้างกาย ย่อมไม่มีใครในเมืองเซียนสัประยุทธ์กล้ากลั่นแกล้งข้าอีก”

มู่หลิงหลงชำเลืองมองมู่จวินหลิน ด้วยสีหน้าหงุดหงิด

มู่จวินหลินยิ้มเจื่อน

“ศิษย์พี่จวินหลิน ท่านไปก่อนได้เลย ข้าจะดูแลศิษย์พี่หลิงหลงให้เอง”

ชายหนุ่มผู้หนึ่งวิ่งออกมา ก่อนเอ่ยอย่างเรียบเฉย เป็นชายหนุ่มผู้อยู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสมบูรณ์แบบที่เฉินซีพบเมื่อครู่

มู่จวินหลินครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้า “ก็ได้ มีผู้อาวุโสจำนวนมากในตระกูลมู่ที่สอนอยู่ในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า หากเจ้ามีปัญหาอะไร สามารถไปหาพวกเขาได้”

สิ้นคำ เขามองชายหนุ่ม ก่อนพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชา “เจ้าหนูเซียวหลิว ถ้าเจ้าไม่ได้สิบอันดับแรกในการทดสอบครั้งนี้ อย่าโผล่หน้ามาให้ข้าอีก!”

ชายหนุ่มพลันคิ้วขมวด ก่อนเอ่ยอย่างขมขื่น “ยี่สิบอันดับแรกไม่ได้หรือ ครั้งนี้มีพวกประหลาดมากมายในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า…”

แต่มู่จวินหลินไม่คิดจะสนทนาอีก ชายหนุ่มหันหลังแล้วจากไปทันที

“ไปได้เสียที…”

เมื่อร่างของมู่จวินหลินหายไป มู่หลิงหลงที่เดิมเกรี้ยวกราดกะพริบตา ก่อนคลี่ยิ้มอย่างมีเลศนัย นางดีดนิ้ว แล้วเอ่ยว่า “เซียวหลิว! ไป พาข้าไปหาคนที่ชื่อเฉินซี! อืม… จากทวีปสันติบูรพา เจ้าลองไล่ดู… ”

“เฉินซีหรือ? เขาเป็นใครกัน? ทำไมข้าเซียวหลิว ถึงต้องไปหาเขาด้วยเล่า?” เซียวหลิว ยิ้มอย่างถือดี

มู่หลิงหลงมองอีกฝ่ายด้วยสายตาชั่วร้าย “จะไปหรือไม่ไป?”

ริมฝีปากของเซียวหลิวกระตุก ก่อนถอนหายใจอย่างแผ่วเบา “ไปสิ ทำไมจะไม่ไป? ในตระกูล ข้ามู่เซียวหลิว เป็นเพียงที่ระบายอารมณ์ของทุกคนสินะ เฮ้อ…”

“ไปเร็ว! อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าตอนเจ้าอยู่ในทวีปรัตติกาล ผู้คนต่างเรียกขานว่ามารน้อย!” มู่หลิงหลงชำเลืองมองอีกฝ่ายด้วยสายตาดูถูก

“ถ้าข้าเป็นมารน้อย เจ้าก็เป็นราชินีมาร!”

เซียวหลิวหัวเราะ เมื่อมู่หลิงหลงกำลังจะเดือดดาล ร่างของชายหนุ่มก็วูบไหว แล้วหายไปในพริบตา

———————————-

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]