บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1209

บทที่ 1209 เริ่มต้น

บทที่ 1209 เริ่มต้น

แดนเซียนสวรรค์มายา

มันเป็นพื้นที่กว้างใหญ่และลึกลับ ซึ่งจักรพรรดิเต๋าสร้างเองกับมือ มันถูกเตรียมไว้โดยเฉพาะ เพื่อให้เหล่าศิษย์ของสำนักได้ขัดเกลาตนเอง

ฟิ่ว!

ร่างสูงโปร่งพุ่งทะยานผ่านท้องฟ้า และมาถึงทางเข้าของสถานที่แห่งนี้ในพริบตา

มีแท่นบวงสรวงเต๋าเก่าแก่และกว้างใหญ่ลอยอยู่ที่นั่น อีกทั้งยังมีร่างมากมายยืนอยู่บนนั้น นอกจากนี้ ร่างจำนวนมากกำลังทะยานมาจากทุกทิศทุกทางไม่หยุดหย่อน

เบื้องหน้าแท่นบวงสรวงเต๋า เป็นห้วงมิติสีดำสนิท ซึ่งบิดเบี้ยวและพลุ่งพล่านด้วยคลื่นพลัง มันคือทางเข้าสู่แดนเซียนสวรรค์มายา

“นี่คือทางเข้าของแดนเซียนสวรรค์มายาหรือ?” เฉินซีมองไปที่ห้วงมิติบิดเบี้ยวเหมือนวังวน ชายหนุ่มรู้สึกทึ่งอยู่ในใจ ขณะสัมผัสได้ถึงความผันผวนอันน่าสะพรึงกลัวที่เกิดขึ้นจากมัน เพราะนี่คือภพเซียน และกฎแห่งเต๋าสวรรค์นั้นแข็งแกร่งมาก แต่จักรพรรดิเต๋าได้เปิดห้วงมิติอันกว้างใหญ่ภายในนั้นอย่างแข็งขัน ซึ่งเตรียมไว้เป็นพิเศษสำหรับการขัดเกลาเหล่าศิษย์ของสำนัก ความสามารถที่ไม่ธรรมชาเช่นนี้ เป็นเรื่องที่เหนือจินตนการสำหรับคนธรรมดาทั่วไป

“ลูกพี่ลูกน้อง นี่เป็นครั้งแรกของเจ้าที่แดนเซียนสวรรค์มายา ดังนั้นมีบางสิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องรู้ แดนเซียนสวรรค์มายาถูกแบ่งออกเป็น 108 ด่าน โดยที่ 36 ด่านแรกเตรียมไว้สำหรับขอบเขตเซียนลึกลับ ส่วน 36 ด่านต่อมาเตรียมไว้สำหรับขอบเขตเซียนทองคำ และ 36 ด่านสุดท้ายเตรียมไว้สำหรับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปราชญ์

“ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับจะต้องจ่ายแปดแสนแต้มดารา ในขณะที่เซียนทองคำต้องจ่าย 1,800,000 แต้มดารา และเซียนปราชญ์ต้องจ่ายห้าล้านแต้มดารา สำหรับการเข้าแต่ละครั้ง”

“แต้มดาราแปดแสนแต้ม ถือได้ว่าเป็นจำนวนมหาศาลสำหรับเจ้าในตอนนี้ ดังนั้นเมื่อเจ้าเข้าไปข้างใน จงทุ่มเทอย่างเต็มที่ และไม่จำเป็นต้องทำลายสถิติใด ๆ ทั้งหมดที่ข้าคาดหวังจากเจ้าคือการตะลุยจนถึงด่านที่ 18”

เมื่อเฉินซีหยุดที่ด้านข้าง ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังอธิบายสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับแดนเซียนสวรรค์มายาให้ลูกพี่ลูกน้องของตนฟัง

เฉินซีได้ค้นพบจากการอ่านตำราหลายเล่มว่าการขัดเกลาตนเองภายในแดนเซียนสวรรค์มายา เป็นวิธีที่จะลวงขีดจำกัดของตนเอง ตัวอย่างเช่น ที่ด่านหนึ่ง ศัตรูหนึ่งคนมีความแข็งแกร่งพอ ๆ กับตนเองจะปรากฏตัวขึ้น ด่านที่สอง ศัตรูจะกลายเป็นสองคน ในด่านที่สาม ศัตรูจะกลายเป็นสามคน…

จนถึงด่านที่ 36 ความแข็งแกร่งของคน ๆ หนึ่งจะสามารถเปลี่ยนไปสู่สถานะที่สมบูรณ์ที่สุดได้ และมันจะส่งผลกระทบอย่างคาดไม่ถึง ต่อการจัดการปัญหาคอขวดในการบ่มเพาะ

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานับไม่ถ้วน ศิษย์ของสำนักฝ่ายนอกจำนวนมากได้ท้าทายตัวเองด้วยวิธีนี้ เพื่อประสบการณ์มากมายในการขัดเกลาตนเอง ก่อนจะก้าวเท้าเข้าสู่ขอบเขตเซียนทองคำ

ยิ่งกว่านั้น เฉินซียังทราบด้วยว่า แม้การทดสอบของแดนเซียนสวรรค์มายาจะรวมเอาเคล็ดวิชาต่อสู้และ ‘เจตจำนงเต๋าแห่งการต่อสู้’ ไว้ด้วยกัน แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ การเผยศักยภาพของศิษย์เมื่อถูกกดดันจนถึงขีดจำกัด ในขณะที่การบ่มเพาะ และพลังยังไม่เพียงพอ ดังนั้นความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้จะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับบุคคลนั้น

“กลายเป็นว่าศิษย์ใหม่ผู้ครองอันดับหนึ่งก็มาเช่นกัน เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาตั้งใจจะท้าทายแดนเซียนสวรรค์มายา เพื่อทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนทองคำ?” เสียงประชดประชันเสียงหนึ่งดังก้อง น้ำเสียงทั้งดูถูกและเย้ยหยัน

ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกมา เฉินซีรู้สึกได้ทันทีว่า มีสายตามากมายจับจ้องมาที่ตน ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง เป็นอ๋าวอู๋หมิงผู้มีร่างกำยำ กำลังมองมาจากระยะไกลด้วยท่าทางประหลาดใจ

“ข้าได้ยินมาว่า ศิษย์ใหม่อันดับหนึ่งของพวกเรามักจะรับภารกิจในเต๋าแห่งยันต์อักขระเมื่อเร็ว ๆ นี้ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังเตรียมเข้าสู่แดนเซียนสวรรค์มายา และเราต้องใช้แปดแสนแต้มดาราเพื่อเข้าไปในแต่ละครั้ง”

เจี้ยงฉางไฮ่ยืนอยู่ด้านข้างของอ๋าวอู๋หมิงยิ้มบาง ๆ ขณะที่กล่าว “แต้มดาราเล็กน้อยนี้ หาได้สำคัญกับเราไม่ แต่สำหรับเฉินซี มันกลับมากเสียเหลือเกิน ปัจจุบันเขาเป็นผู้นำของพันธมิตรดารา และมีผู้ใต้บังคับบัญชากว่าสิบคนที่ต้องดูแล ดังนั้นจึงไม่แปลกที่การเงินจะค่อนข้างตึงมือ”

คำพูดนี้ค่อนข้างสมเหตุสมผล แต่น้ำเสียงจงใจเปิดเผยความหยิ่งยโสและเยาะเย้ย เมื่อได้ยินเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าต้องการเยาะเย้ยเฉินซี

หลายคนรู้สึกว่าอ๋าวอู๋หมิงและเจี้ยงฉางไฮ่นั้นทำเกินไป แต่ไม่มีใครกล้ากล่าวและประณามแม้แต่คนเดียว ช่วยไม่ได้ คนหนึ่งเป็นลูกหลานของมังกรฟ้าจากภพมังกร อีกคนเป็นศิษย์จากหนึ่งในเจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่อย่างตระกูลเจี้ยง ภูมิหลังของทั้งสองนั้นน่ากลัวมาก ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าต่อต้านพวกเขา

เมื่อต้องเผชิญกับสิ่งนี้ เฉินซีเพียงแค่เหลือบมองด้วยหางตา ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าหวังว่าเจ้าทั้งสองจะอยู่ที่นั่นในระหว่างการสอบของสำนักฝ่ายใน มิฉะนั้น มันคงน่าเบื่อเกินไป”

จ้าวเมิ่งหลีเคยกล่าวคำเหล่านี้กับตนในอดีต ตอนนี้เขากลับกล่าวประโยคเดียวกันต่ออ๋าวอู๋หมิงและเจี้ยงฉางไฮ่ ความตั้งใจของชายหนุ่มจึงย่อมเป็นที่ประจักษ์อย่างชัดเจน

สิ้นคำ ชายหนุ่มหันกลับมาและพุ่งไปยังห้วงมิติสีดำเบื้องหน้าของแท่นบวงสรวงเต๋าทันที

สภาพแวดล้อมของห้วงมิติสีดำสนิท ดูเหมือจะถูกปกคลุมด้วยชั้นของข้อจำกัดเบาบาง เมื่อร่างของเฉินซีเข้าไปในนั้น ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงฉวัดเฉวียน แล้วแต้มดาราแปดแสนแต้มก็ถูกหักออกจากตราดาราม่วง ก่อนที่ร่างจะหายเข้าไปในส่วนลึกของห้วงมิติ

“ฮึ่ม! ช่างโอ้อวดไร้ยางอาย! เขายังคิดจะประลองกับเรา ในตอนเข้าร่วมการสอบของสำนักฝ่ายในอีกหรือ? ให้ข้าดูว่าเจ้าจะสามารถบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำได้หรือไม่ ในเมื่อเหลือเวลาอีกไม่ถึงห้าเดือน!” อ๋าวอู๋หมิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา เมื่อได้ยินสิ่งที่เฉินซีกล่าวก่อนจะจากไป

“ฮ่าฮ่า! อย่าลืมว่าแม้เขาจะบรรลุขอบเขตเซียนทองคำ เขาก็จะไม่สามารถเข้าร่วมการสอบของสำนักฝ่ายในได้ หากไม่ได้เป็นหนึ่งในห้าสิบอันดับแรกของเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์” เจี้ยงฉางไฮ่กล่าวอย่างเฉยเมย รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้า

โอม~

ทันใดนั้นแสงอันศักดิ์สิทธิ์ก็แวบเข้ามาปรากฏบนแท่นหินที่ลอยอยู่ด้านข้างของแท่นบวงสรวงเต๋า

“อะไรกัน? จงหลีสวินทำลายสถิติและอยู่ในอันดับที่สิบ!”

ฝูงชนแตกตื่น เสียงอุทานด้วยความตกใจดังขึ้นเซ็งแซ่

มันคือศิลาวิถี และมีเพียงบุคคลที่บุกตะลุยจนถึงด่านที่ 36 ของแดนเซียนสวรรค์มายาในระยะเวลาที่สั้นที่สุดเท่านั้น จึงสามารถจะจัดลำดับได้ ยิ่งกว่านั้น ศิลาจารึกเพียงแสดงชื่อสิบอันดับแรกเท่านั้น

มันเป็นเสียงกึกก้องของกฎ เฉินซีเงยหน้าขึ้นและเห็นว่าพื้นที่กว้างใหญ่นั้น ไร้กลิ่นอายของสิ่งมีชีวิต มันทั้งรกร้างและเงียบสงัด ในทางกลับกัน ท้องฟ้าก็ม้วนตัวเป็นชั้น ๆ ทับซ้อนด้วยพลังงานของกฎแห่งมหาเต๋า และมีแรงกระตุ้นที่น่าตกใจ ประหนึ่งเสียงฟ้าลั่น ทำให้มันดูน่าพิศวงอย่างยิ่ง

‘ตามสิ่งที่บันทึกไว้ในตำรามุมมองล้ำลึกเกี่ยวกับการทะลวงขอบเขตที่เขียนโดยอวิ๋นฝูเซิง ทุกสิ่งภายในแดนเซียนสวรรค์มายา คือรูปลักษณ์ของความแข็งแกร่งของข้าเอง คู่ต่อสู้ที่ปรากฎตัว แท้จริงแล้วเป็นการสะท้อนเจตจำนงต่อการบ่มเพาะของข้าเอง ดังนั้นการเอาชนะคู่ต่อสู้ ก็ไม่ต่างอะไรจากการเอาชนะตัวเอง…’ เฉินซีครุ่นคิดอยู่ในใจ

“การทดสอบจะเริ่มในอีกสิบลมหายใจนับจากนี้” น้ำเสียงเฉยเมย ไร้คลื่นอารมณ์ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน

หัวใจของเฉินซีสั่นไหว ชายหนุ่มหายใจเข้าลึก ดวงตาทอประกายเย็นชาและเต็มไปด้วยจิตสังหาร

ในช่วงเวลาที่อยู่ในหอคัมภีร์ เขาอ่านตำราไปไม่ต่ำกว่าร้อยเล่ม ตอนนี้จึงมีความคิดและความเข้าใจถ่องแท้อยู่มากมาย ในการบุกทะลวงขอบเขตเซียนทองคำ และการที่เข้ามาแดนเซียนสวรรค์มายา ก็เพื่อใช้มันขัดเกลาและก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเอง เขาต้องการที่จะคว้าทุกสิ่ง และเปลี่ยนทุกอย่างที่เข้าใจในหอคัมภีร์ให้กลายเป็นความแข็งแกร่งของตนเอง

ความแข็งแกร่งนี้เป็นกุญแจสำคัญในการทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนทองคำ!

โอม!

สิบลมหายใจผ่านไปในพริบตา เสียงคำรามดังก้อง เงาร่างหนึ่งก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างห่างจากเฉินซีเกือบสองลี้ มันเป็นคนในชุดสีดำที่มีการบ่มเพาะ เจตจำนง พลังชีวิต และแม้กระทั่งกลิ่นอายที่น่าเกรงขาม หรือแม้แต่รูปร่างหน้าตาก็คล้ายกับเฉินซีอย่างยิ่ง

ชิ้ง!

กระบี่อมตะปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของชายสวมชุดดำ จากนั้นร่างก็สว่างวาบ ร่างนั้นพุ่งเข้ามาพร้อมกับกระบี่ในมือ ใช้กระบวนท่าทรงพลังทันทีที่เริ่มโจมตี ประกายกระบี่นั้นรุนแรงและรวดเร็วราวสายฟ้าฟาด เมื่อมันเคลื่อนผ่านขอบฟ้า

นี่เป็นกระบวนท่ากระบี่ที่ไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง มันรวดเร็ว รุนแรง และน่าเกรงขามอย่างไร้ข้อกังขา ยิ่งกว่านั้น มันยังมีความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าระดับปรมาจารย์ชั้นยอดในเต๋าแห่งกระบี่… เช่นเดียวกับเฉินซี

ชู่ว!

ในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มก็เคลื่อนไหว กระบี่ตะขอดาราลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า และเปลี่ยนเป็นลำแสง สาดส่องเข้าใกล้ปราณกระบี่ของร่างที่สวมชุดสีดำ ในขณะที่ทั้งสองร่างพุ่งผ่านกันไป

ฟุ่บ!

ศีรษะลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ในขณะที่ร่างของชายชุดดำเปลี่ยนเป็นดวงแสงเล็ก ๆ หายไปในความว่างเปล่า

ศีรษะหลุดลอยด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]