บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1223

บทที่ 1223 เจ้ายังเด็กเกินไป

บทที่ 1223 เจ้ายังเด็กเกินไป

ในทางเดินที่มืดสนิทและเงียบงัน บรรยากาศน่าสยดสยองและหนาวเหน็บ สาดกระทบใบหน้า

ร่างของจั่วชิวจวินปรากฏตัวขึ้นที่ทางเดิน ทันใดนั้นเสียงหวีดแหลมก็ดังก้องไปทั่วบริเวณ

“ฮ่า ฮ่า! ไอ้คนทรยศ! เจ้าและจั่วชิวเฟิงคือคนบาปชั่วนิรันดร์ของตระกูลจั่วชิว! เจ้าจะไม่มีวันได้ตายดีแน่!”

“นายน้อยคง ได้โปรดปล่อยข้าออกไปเถิด ข้าสำนึกแล้ว ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่ ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่!”

“สังหารคนในตระกูลเพื่อแย่งชิงอำนาจ พวกเจ้าทั้งพ่อทั้งลูกจะต้องรับผลกรรม!”

คำขู่ คำวิงวอน คำสาปแช่งอย่างขุ่นเคือง และบ้าคลั่ง พุ่งมาเกี่ยวพัน ราวกับกำลังเดินลงนรก

จั่วชิวคงไม่สนใจ เขาสวมเสื้อผ้าสีขาวราวหิมะ ขณะก้าวย่างผ่านความมืดไปช้า ๆ ในทางเดินลึกและดูไร้ที่สิ้นสุดพร้อมกับความสงบเต็มหว่างคิ้ว

นี่คือคุกเนตรเซียน หลายปีที่ผ่านมา มีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนถูกคุมขัง มีทั้งคนบาปภายในตระกูลจั่วชิว และศัตรูจากกองกำลังอื่นนอกตระกูล

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จั่วชิวคงมาที่นี่ ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับมันยิ่ง เสียงคำขู่ คำวิงวอน คำสาปแช่ง เหล่านั้นจึงไม่ส่งผลกระทบกับอารมณ์แต่อย่างใด

หลังจากผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง เสียงดังอึกทึกครึกโครมรอบข้างก็ค่อย ๆ เงียบลง เมื่อจั่วชิวคงมาถึงจุดสิ้นสุดของทางเดิน

ที่ปลายสุดของทางเดินมีประตูทองสัมฤทธิ์ขึ้นสนิม ที่ดูเหมือนถูกผนึกไว้เป็นเวลานาน รอยแตกระหว่างประตู และกรอบถูกกัดกร่อนด้วยบรรยากาศที่ชื้นจนแทบมองไม่เห็น

“ชั่วพริบตา ก็ผ่านมาหลายร้อยปีแล้วตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ข้ามาที่นี่…” จั่วชิวคงจ้องมองไปที่ประตูทองสัมฤทธิ์เป็นเวลานาน ก่อนจะหัวเราะแผ่วเบา จากนั้นจึงยกมือผลักประตูให้เปิดออก

เอี๊ยด~

พร้อมกับเสียงบดทื่อ ประตูทองสัมฤทธิ์ที่ถูกผนึกมาเป็นเวลานานก็ถูกเปิดออก แสงอันอ่อนโยนก็สาดออกมาจากภายใน ตัดผ่านความมืดส่องสว่างไปยังจั่วชิวคง

ดวงตาของจั่วชิวคง หรี่ลงเล็กน้อย เขาหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเดินเข้าไปอย่างสงบ

ด้านหลังประตูทองสัมฤทธิ์นั้นเปรียบเสมือนแดนสวรรค์ ท้องฟ้าสีฟ้าใส เมฆขาวลอยสูง เต็มไปด้วยภูเขาสีเขียว แม่น้ำใสไหลเอื่อย พืชพรรณอุดมสมบูรณ์อยู่ทุกหนทุกแห่ง ราวกับภาพวาดทิวทัศน์อันเงียบสงบ ประณีต และสวยงาม

แต่มีข้อบกพร่องเพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจเป็นเพราะท่ามกลางภูเขาสีเขียว สายน้ำใสนั้นไร้ซึ่งจิตวิญญาณ และไม่มีร่องรอยของปราณเซียน

ปัง!

ประตูทองสัมฤทธิ์ปิดลง จั่วชิวคงจับจ้องไปที่บ้านหินที่อยู่ห่างออกไป

บ้านหินเตี้ยและเรียบง่าย ตั้งอยู่ริมฝั่งลำธาร มีลานเล็ก ๆ และรั้วไม้ไผ่ล้อมรอบตัวบ้าน แปลงเพาะด้านในเต็มไปด้วยผักสีเขียวสด เมื่อมองจากระยะไกล มันก็ไม่ต่างจากบ้านของชาวนาในโลกมนุษย์

เวลานี้ มีสตรีผู้หนึ่งในชุดเรียบง่ายกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะหินหน้าลานบ้าน แผ่นหลังอันสง่างามของนางหันไปทางจั่วชิวคง

เมื่อได้เห็นด้านหลังของร่างนี้ ดวงตาของจั่วชิวคงก็เต็มไปด้วยความซับซ้อน ความเกลียดชัง ความสงสาร และความเห็นอกเห็นใจผสมปนเปกันไปมากมาย

เขาส่ายหัว แล้วตรงไปที่บ้านหิน เข้าไปในลานเล็ก ๆ ที่ล้อมรอบด้วยรั้วไผ่ จากนั้นก็สังเกตเห็นว่า หลังจากผ่านไปหลายร้อยปีรูปร่างหน้าตาของนางแก่ชราลงมากจริง ๆ

ผมสีดำสนิทที่ทิ้งตัวลงมาราวกับน้ำตก รูปร่างหน้าตางดงาม อ่อนโยน ผิวขาวบอบบาง นุ่มนิ่ม ยามนี้ประหนึ่งว่าได้สูญเสียชีวิตชีวาไป รอยย่นที่หางตาเริ่มปรากฏให้เห็น

นางยังคงงดงาม แต่รัศมีของนางก็ถูกกัดกร่อนไปตามกาลเวลา

นางคือจั่วชิวเสวี่ย ผู้เป็นทายาทสายตรงของตระกูลจั่วชิว และอัจฉริยะที่ทำให้ตระกูลจั่วชิวเกือบแตกแยกเมื่อหลายร้อยปีก่อน

“อาหญิง” จั่วชิวคงพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูสงบ จึงทำให้คนอื่นไม่สามารถแยกแยะอารมณ์ที่แท้จริงของเขาได้

“นั่ง” จั่วชิวเสวี่ยไม่ได้เงยหน้าขึ้น นางสั่งอย่างไม่ใส่ใจ เข็มที่ทำจากกระดูกอยู่ในมือ กำลังทำการซ่อมแซมรองเท้าสีดำจนเกือบเสร็จแล้ว นิ้วของนางว่องไว การเคลื่อนไหวเองก็ดูเชี่ยวชาญไม่น้อย

แต่ในสายตาของจั่วชิวคง มันกลับทำให้เขาตกตะลึงเล็กน้อย ไม่คาดคิดว่าจั่วชิวเสวี่ยจะทำสิ่งธรรมดาเช่นนี้ได้

แต่เขาไม่ได้หัวเราะ และยังคงสีหน้าสงบไว้ พลางนั่งลงที่อีกฟากหนึ่งของโต๊ะหิน

“นี่ดูเหมือนจะเป็นของผู้ชาย?” จั่วชิวคงเหลือบมองรองเท้าสีดำแล้วพูดอย่างครุ่นคิด

จั่วชิวเสวี่ยยิ้มแต่ก็ไม่ตอบคำ คิ้วและดวงตาของนางเต็มไปด้วยความจริงจัง ดูมีสมาธิและละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง นางไม่ต่างจากหญิงธรรมดาที่มีความเฉลียวฉลาด

“ประการที่สาม ปกติแล้วเจ้าย่อมจะไม่มาพบข้า เพียงเพื่อชมเชยลูกพี่ลูกน้องของเจ้าอยู่แล้ว เจ้าน่าจะตั้งใจให้ข้าได้รู้ทุกอย่าง และใช้มันเพื่อรบกวนสภาพจิตใจของข้า ยิ่งข้าว้าวุ่นมากเท่าไร เจ้าก็จะมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น ด้วยวิธีนี้เท่านั้น จึงจะทำให้ซีเอ๋อร์ได้รู้สึกว่าสถานการณ์ของข้าน่าสังเวช และสิ้นหวังเพียงใด”

จั่วชิวเสวี่ยพูดอย่างค่อยเป็นค่อยไปในท่าทีสบาย ๆ แสงแห่งปัญญาส่องประกายอยู่ในระหว่างคิ้วอันเรียบเนียนของนาง

เมื่อพูดถึงจุดนี่ นางก็มองไปที่จั่วชิวคง “ข้าเดาว่าเจ้าคงมีสมบัติเช่นแผ่นหยกเงาอยู่กับตัวเจ้า และได้บันทึกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่เราพบกันแล้ว เจ้าคงใช้สิ่งนี้เพื่อคุกคามซีเอ๋อร์ เมื่อเจ้าต้องจัดการกับเขาถูกหรือไม่?”

แม้จะได้ฟังการวิเคราะห์อย่างละเอียดเช่นนี้ แต่การแสดงออกของจั่วชิวคงยังคงดูนิ่งเฉย แต่เขากลับลอบกำมือแน่นใต้แขนเสื้อ ความหวาดกลัวสายหนึ่งวาบขึ้นมาภายในใจ

“ไม่น่าแปลกใจเลยที่ท่านพ่อมักจะพูดเสมอว่าอาหญิงเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ และมีสติปัญญาไร้ขอบเขต ไม่มีอะไรสามารถหนีรอดสายตาท่านไปได้เลยจริง ๆ ” หลังจากนั้นไม่นาน จั่วชิวคงก็ถอนหายใจด้วยอารมณ์

“คงเอ๋อร์ หยุดซ่อนอารมณ์ของเจ้าได้แล้ว ข้าเพียงแค่เปิดเผยความคิดของเจ้า ไม่มีสิ่งใดให้ต้องโกรธเคือง ข้าได้เฝ้าดูเจ้าเติบโตขึ้น เมื่อพูดถึงความหน้าซื่อใจคด เจ้ายังด้อยกว่าพ่อของเจ้ามาก อย่างน้อยที่สุด เมื่อหลายปีก่อนเขาก็สามารถหลอกลวงข้าได้ แต่เจ้ายังคงตามหลังเขาอยู่เล็กน้อย”

จั่วชิวเสวี่ยยิ้มบาง ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงของผู้อาวุโสที่ให้คำชี้แนะแก่ผู้เยาว์

จั่วชิวคงจ้องมองจั่วชิวเสวี่ยอย่างว่างเปล่า เท่านี้ก็มีเหตุผลที่จะจากไปทันทีเพราะกังวลว่าหากพูดอีกแม้เพียงคำเดียว จั่วชิวเสวี่ยก็จะเห็นทุกสิ่งในใจของเขา

ความรู้สึกเช่นนี้น่าอึดอัดอย่างยิ่ง มันไม่ใช่การแข่งขันระหว่างความแข็งแกร่ง แต่เป็นการแข่งขันระหว่างสติปัญญา ความรู้สึก และความเฉลียว

เห็นได้ชัดว่าตั้งแต่เริ่มพูดจนถึงตอนนี้ เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบอยู่เสมอ

“ท่านอาหญิง ท่านไม่กังวลบ้างเลยหรือว่า ข้ามาที่นี่ครั้งนี้ก็เพื่อสังหารท่าน?”

ทันใดนั้นจั่วชิวคงก็เงยหน้าขึ้น มองตรงไปที่จั่วชิวเสวี่ยด้วยสีหน้าสงบ และจริงจังอย่างยิ่ง ทำให้ผู้คนไม่อาจคิดได้เลยว่าคนผู้นี้กำลังล้อเล่น

ในที่สุดการแสดงออกของจั่วชิวเสวี่ยก็เปลี่ยนไป แต่มันก็ไม่ใช่การตื่นตระหนกหรือกังวล กลับเป็นความรู้สึกสงสาร และความเห็นอกเห็นใจจากใจจริงแทน

“ความเป็นเด็กไม่ใช่เรื่องน่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคือเจ้ายังไม่เต็มใจที่จะยอมรับมัน”

จั่วชิวเสวี่ยถอนหายใจ “จากสิ่งที่เจ้าพูดเมื่อครู่เพียงอย่างเดียว มันก็เผยให้เห็นแล้วว่า เจ้าไม่ได้ตระหนักถึงผลที่จะตามมาหลังจากการสังหารข้าไปแม้แต่น้อย เป็นเพราะเจ้าไม่รู้ว่า ตัวเจ้าไม่ได้กล้าพอจะเคลื่อนไหวไปมากกว่านี้”

“เด็กน้อย จงจำไว้ว่า เมื่อเจ้าต้องการสังหารใครสักคน และไม่แน่ใจว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ทางที่ดีควรสอบหาข้อมูลก่อน ไม่เช่นนั้น เมื่อเจ้าพูดสิ่งเหล่านั้นออกมามันจะดูไร้เดียงสายิ่ง”

เมื่อนางพูดจบลง จั่วชิวเสวี่ยก็ถอนสายตากลับ และหยิบเข็มกระดูกขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นเริ่มเย็บรองเท้าสีดำต่อ ก่อนที่จะพูดอย่างเชื่องช้า “สรุปก็คือ เจ้ายังเด็กเกินไป หากเจ้าต้องการควบคุมตระกูลจั่วชิวโดยอาศัยความสามารถเล็กน้อยที่มีอยู่ในตอนนี้ เจ้าอาจจะจบลงเหมือนข้าเมื่อหลายปีก่อน และถูกใครบางคนจะแย่งชิงตำแหน่งไป”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]