บทที่ 1259 ศิษย์อาจารย์พานพบ
บทที่ 1259 ศิษย์อาจารย์พานพบ
เหมืองหลอมวิญญาณ
ร่างในชุดนักโทษขาดวิ่น เดินเรียงแถวผ่านถ้ำเหมืองอันมืดมิด ที่มีช่องทางมากมายราวกับรวงผึ้ง เมื่อใดที่ก้าวเดินช้าลง พวกเขาก็จะถูกทหารยามที่อยู่ใกล้ ๆ ทุบตีอย่างไร้ความปรานีด้วยแส้เหล็ก
เพียะ! เพียะ! เพียะ!
ทุกครั้งที่แส้เหล็กฟาดลงมา เสียงบาดหูของแส้ปะทะผิวอย่างแรงจนเนื้อปริแตกจะดังขึ้น ตามด้วยคร่ำครวญจากความเจ็บปวด พร้อมกับเสียงหัวเราะดังลั่น
เสียงต่าง ๆ เหล่านี้ปะปนกัน เต็มไปทั่วอากาศอยู่ตลอดเวลา ทำให้พื้นที่เหมืองแห่งนี้ไม่ต่างจากนรกอันโหดร้าย
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นทุกวัน และไม่มีใครรู้สึกสงสารพวกเขา เพราะผู้ที่ถูกคุมขังเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ละทิ้งสวรรค์จากภพมนุษย์
แม้ว่าที่ภพเบื้องล่าง ผู้ละทิ้งสวรรค์อาจมีสถานะสูงส่งมากพอที่จะทำให้นิกายใหญ่ ๆ บูชาเชิดชูในฐานะผู้อาวุโสได้ แต่ในเหมืองหลอมวิญญาณที่ภพเซียนแห่งนี้ พวกเขาก็ไม่ต่างจากนักโทษที่ต่ำที่สุด
เพราะในสายตาของภพเซียน ผู้ละทิ้งสวรรค์เหล่านี้คือผู้ดูหมิ่นกฎของภพเซียน และต้องรับโทษสถานเดียว!
…
ณ หน้าบ้านหินที่ทรุดโทรมและสกปรกแห่งหนึ่งในเหมืองหลอมวิญญาณ
“พวกเจ้า… ขายเสี่ยวอวี่ไปแล้วจริง ๆ!” ชายชราที่ผอมแห้งและหลังค่อมโกรธจัด เสียงแหบดูราวกับถูกเค้นออกมาจากหน้าอกผอมแห้ง เผยให้เห็นถึงความโกรธและความเจ็บปวดอย่างที่สุด
ใบหน้าสีคล้ำแสดงถึงความยากลำบากที่เขาต้องเผชิญ ทั้งบิดเบี้ยวและน่ากลัวยิ่งขึ้น ดวงตาแดงก่ำ เคราและผมสีเทายุ่งฟูสั่นไหว ราวกับกำลังจะเป็นบ้าในไม่กี่ลมหายใจข้างหน้า
ด้านหน้าคือร่างในชุดดำห้าหกคนยืนอยู่ พวกเขาทั้งหมดกอดอกเยาะเย้ยและดูถูกเหยียดหยามชายชราขี้โมโห ประหนึ่งกำลังดูเรื่องขบขัน
“ใช่แล้ว เราขายนาง สาวน้อยนั้นยังเด็ก ย่อมขายได้ในราคางาม หากอายุมากกว่านี้ นางก็คงจะสูญเสียเสน่ห์ของหญิงสาวไปหมดแล้ว”
ยามในชุดดำลูบคางพลางหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ ดวงตาวาวแสงน่าเกลียด “น่าเสียดาย เพื่อให้ได้ราคาสูง เราจึงไม่สามารถลิ้มรสสาวน้อยคนนั้นก่อนขายไปได้”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ยามคนอื่น ๆ ก็หัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ ใบหน้าดุร้ายเต็มไปด้วยสีหน้าเยาะเย้ย
“พวกเจ้า… มันเลวยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน!” ชายชรายิ่งโกรธมากขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนี้ ร่างกายสั่นเทาด้วยความโกรธและคำรามเสียงดัง ก่อนจะพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายด้วยความตั้งใจที่จะสู้โดยเอาชีวิตเข้าแลก
เพียะ!
ยามที่เป็นผู้นำเหวี่ยงแส้เหล็กในมือ ฉีกผ่านท้องฟ้าก่อนจะโจมตีไปที่ร่างผอมแห้งของชายชรา ส่งเขากระเด็นไปเหมือนกระดาษแผ่นหนึ่งในทันที ชายชรากระแทกเข้ากับกำแพงหินก่อนที่จะกระอักเลือดจำนวนหนึ่ง ผมสีขาวกระเซิงยิ่งกว่าเก่า
“เพ้ย! เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว เจ้ายังไม่เข้าใจสถานการณ์ของตัวเองเลยหรือ? จำไว้! สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ภพมนุษย์ที่เจ้าจะทำอะไรก็ได้ แต่เป็นภพเซียน! และตอนนี้เจ้าก็เป็นแค่นักโทษ!” ยามที่เป็นผู้นำถ่มน้ำลายใส่ พลางแสดงสีหน้าดูถูกเหยียดหยามมากยิ่งขึ้น
ร่างกายของชายชรานอนอยู่บนพื้นสั่นเทาด้วยความโกรธ เสียงแหบห้าวเต็มไปด้วยความคับข้องใจ “ข้า หลิ่วเจี้ยนเหิง รับโทษจำคุกมาสิบปีและควรจะถูกปล่อยตัวออกไปได้แล้ว แต่พวกเจ้ากลับเพิกเฉยต่อกฎของศาลเซียนและกักขังข้าไว้ พวกเจ้าไม่เกรงกลัวที่จะต้องพบกับความพิโรธของสวรรค์เลยหรือ!?”
“ความพิโรธของสวรรค์?” เมื่อทหารยามได้ยินสิ่งนี้ พวกเขาก็หัวเราะราวกับว่าได้ยินเรื่องตลกไร้สาระ
“ผู้ละทิ้งสวรรค์อย่างเจ้า กล้าพูดเรื่องการลงโทษของสวรรค์ด้วยหรือ?”
“เจ้าควรจะรู้ถึงเหตุผลที่เราขังเจ้าไว้จนถึงตอนนี้ดี หากเจ้ายอมรับเงื่อนไขของท่านหวงหลงและบอกทุกสิ่งที่รู้ เราย่อมยินดีปล่อยตัวเจ้าไปในทันที มิฉะนั้นครั้งหน้าเรื่องมันคงจะไม่ง่ายเช่นการขายลูกสาวบุญธรรมของเจ้าออกไปแน่…”
“เป็นอย่างไร? เจ้าคิดได้แล้วหรือยัง?”
เหล่ายามเยาะเย้ยชายชราที่นอนบาดเจ็บสาหัสอยู่บนพื้น พวกมันก้มมองราวกับจ้องแมลงที่กำลังจะตาย
“ฝันไปเถอะ!” ชายชราเงยหน้าขึ้นด้วยความยากลำบาก แก้มซูบตอบเต็มไปด้วยคราบเลือด เสียงของเขาฟังดูเหมือนราวกับว่ามันถูกบีบออกมาจากไรฟันอย่างเด็ดเดี่ยวทีละคำ
“แพะเฒ่า! เจ้ามันเป็นคนปากดีจริง ๆ ! ฟาดมัน! ตีมันแรง ๆ !” การแสดงออกของหัวหน้ายามมืดลง และโบกมือสั่งทันที
เพียะ! เพียะ! เพียะ!
ครู่ต่อมา เสียงเหล็กหนาทึบฉีกผ่านอากาศดังก้อง พวกมันโจมตีชายชราอย่างต่อเนื่อง จนร่างผอมแห้งต้องกลิ้งไปรอบ ๆ เพื่อหลีกหนีแส้ แต่ก็ไม่อาจหลบพ้น เสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ เผยให้เห็นรอยแผลเปื้อนเลือดมากมาย
นักโทษบางคนในบริเวณใกล้เคียงรู้สึกสั่นสะท้าน เมื่อได้เห็นเหตุการณ์นี้ พวกเขาต่างตัวสั่นและเห็นอกเห็นใจชายชรา
ในความทรงจำของพวกเขา ผู้ละทิ้งสวรรค์ผู้นี้ถูกเรียกว่า หลิ่วเจี้ยนเหิง นับแต่ถูกจับมา ชายชราก็ถูกทุบตีอย่างโหดร้ายแทบทุกวัน การที่ยังคงสามารถยืนหยัดและอยู่รอดมาได้ เรียกได้ว่าปาฏิหาริย์มากแล้ว
แน่นอนว่าไม่มีใครอยากประสบกับปาฏิหาริย์เช่นนี้ เพราะมันเจ็บปวดเกินไป ถ้าเป็นคนอื่น ก็คงไม่มีใครสามารถทนได้ไหว และคงเลือกที่จะฆ่าตัวตายไปแล้ว
“ซีเอ๋อร์! เป็นเจ้าจริง ๆ …”
เสียงของวิปลาสหลิ่วแหบแห้ง เพราะอาการบาดเจ็บนั้นแสนสาหัส ทุกคำพูดจึงเค้นออกมาอย่างยากลำบากยิ่ง แต่ใบหน้าผอมแห้งและเปื้อนเลือดกลับเผยให้เห็นรอยยิ้มแห่งความโล่งใจและความสุข
คนที่อยู่ตรงหน้าคือเฉินซี
ชายหนุ่มมองดูร่างผอมแห้งของชายชรา ที่อาบไปด้วยเลือดและเต็มไปด้วยบาดแผลตรงหน้า เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง สกปรก ผมขาวกระเซิง รัศมีมัวหมองราวกับคนใกล้สิ้นใจ…
ทันใดนั้น ความเจ็บปวดที่อธิบายไม่ได้แล่นเข้ามาในหัวใจของเฉินซี
ความเจ็บปวดนั้นผสมผสานกับความโกรธ ความเสียใจ ความเกลียดชัง และความรู้สึกผิด… เหมือนกับกระแสหินหลอมเหลวร้อนระอุที่โหมกระหน่ำ แผ่กระจายไปทั่วผิวหนังของเฉินซี และกำลังจะแผดเผาให้ลุกเป็นไฟ!
“อาาา!!!”
เฉินซีในตอนนี้ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป ผมสีดำสนิทปลิวไสว ทันใดนั้นชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นฟ้าและคำรามเสียงดัง เสียงนั้นราวกับฟ้าลั่นดังก้องไปทั่วสวรรค์ทั้งเก้าและโลกทั้งสิบ มันเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความโกรธแค้นอย่างสุดพรรณนา ทำให้แม้แต่สวรรค์และโลกยังต้องยอมเปลี่ยนสี!
โครม!
คลื่นเสียงที่น่าสะพรึงกลัว กลายเป็นพายุไร้รูปร่างกวาดออกไปอย่างรวดเร็วโดยมีเฉินซีเป็นศูนย์กลาง ทุกที่ที่มันพัดผ่าน ล้วนพังทลาย หินแตกเป็นผง ภูเขาถล่ม แผ่นดินแยกออก แทบไม่มีสิ่งใดสามารถทนต่อคลื่นเสียงอันน่าสะพรึงกลัวนี้ได้เลย
แม้แต่ผู้คุมและนักโทษภายในเหมืองหลอมวิญญาณเอง ก็ยังรู้สึกราวกับว่ากำลังถูกโจมตี ทำให้เลือดลมปั่นป่วน พวกเขาล้มลงกับพื้นกรีดร้องอย่างน่าสังเวช ในขณะที่เลือดไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ด
บริเวณโดยรอบ มีเพียงวิปลาสหลิ่ว เซวียนหยวนอวิ่น และชีเซียวอวี่ที่อยู่ใกล้ ๆ เท่านั้นที่ไม่ได้รับอันตรายใด ๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาเห็นท่าทีโศกเศร้าและเกรี้ยวโกรธของเฉินซี เซวียนหยวนอวิ่นและชีเซียวอวี่ต่างรู้สึกสะเทือนใจและหวาดกลัว ในขณะที่ความตกตะลึงอย่างไม่อาจบรรยายได้เกิดขึ้นในใจของพวกเขา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเซวียนหยวนอวิ่น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเฉินซีสูญเสียการควบคุมและโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ สิ่งนี้ทำให้เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าวิปลาสหลิ่ว มีความสำคัญต่อเฉินซีมากเพียงใด!
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง คลื่นเสียงอันน่าสะพรึงกลัวที่พุ่งผ่านสวรรค์และโลกก็ค่อย ๆ หายไป ทุกสิ่งกลับมาสงบอีกครั้ง ทว่าเหมืองหลอมวิญญาณทั้งหมดกลับตกอยู่ในความยุ่งเหยิง มันถูกปกคลุมไปด้วยรอยแยกและเศษซากที่น่าสะพรึงกลัว ประหนึ่งผ่านการบดขยี้อย่างรุนแรง
การแสดงออกของเฉินซีกลับมาสงบอีกครั้ง ยกเว้นดวงตาคู่นั้นที่เย็นชาราวกับว่าพวกมันไม่เหลืออารมณ์ความรู้สึกใด ๆ อีกต่อไป
“อาจารย์ หลายปีก่อน ท่านคือคนที่พาข้าออกจากแดนภวังค์ทมิฬในสมรภูมิบรรพกาล วันนี้ให้ข้าจะพาท่านออกไปจากสถานที่สกปรกนี้” เฉินซีไม่ได้มองไปที่วิปลาสหลิ่ว เพราะกลัวว่าตนจะสูญเสียการควบคุมอีกครั้ง สายตาคมจ้องมองทหารยามชุดดำที่อยู่ตรงหน้าอย่างสงบและไม่แยแส
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
ทำไมตอนที่ 1631-1637 อ่านไม่ได้ครับ...
อยากซื้อหนังสือเรื่องนี้จบรึยังมีขายรึยัง ราคาเท่าไหร่...
กำลังสนุกเลยจ้า1407...
1...
รออ่าน1296...
รออ่าน1184จ้า...
ตอนที่1111รออ่านยุ...
ตอน1109รออ่านยุ...
กำลังมันเลยครับ...
กำลังมันเลยครับ...