บทที่ 128 ทะเลสาบสีครามบนยอดเขาอันเงียบสงบ
ฟิ้ว!
เงาร่างพุ่งผ่านท้องฟ้าราวกับดาวตกที่ส่องแสงแพรวพราว
เฉินซีได้ใช้เคล็ดวาตะเหินทะยานอย่างสุดกำลัง ทว่ากลับทำได้เพียงติดตามอยู่ข้างหลังเหวินเสวี่ยนเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้เขาตึงเครียดยิ่งนัก อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นอีกฝ่ายเหินห่างออกไปสองลี้ในทุกย่างก้าว ความตกตะลึงก็ปะทุภายในใจเขา
‘แม้ว่าระดับการบ่มเพาะของข้าจะไม่อาจเทียบกับเหวินเสวี่ยนได้ แต่ด้วยการเข้าใจเต๋าแห่งสายลมอย่างลึกซึ้งรวมกับเคล็ดวาตะเหินทะยานที่มีอยู่ อย่างน้อยข้าก็ควรไล่ตามเขาทันได้บ้าง แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความแข็งแกร่งหรือความเร็ว ข้ากลับไม่มีโอกาสเอาชนะเลยแม้แต่น้อย!’ เฉินซีแอบถอนหายใจ
“เฉินซี เจ้าต้องระวังตัว ถ้าข้าเดาไม่ผิด เขาน่าจะเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา” หลิงไป๋กล่าวผ่านกระแสปราณจากภายในแหวนมิติของเขา
‘เจ้าว่าอะไรนะ ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา? นั่นไม่ใช่ผู้บ่มเพาะที่เหนือกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติอีกหรอกหรือ?’ เฉินซีตกตะลึงเมื่อได้ยิน
เส้นทางของการบ่มเพาะถูกจัดลำดับเป็นขอบเขตใหญ่แปดลำดับ อันได้แก่ ขอบเขตสร้างรากฐาน ขอบเขตก่อกำเนิด ขอบเขตตำหนักอินทนิล ขอบเขตเคหาทองคำ ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ขอบเขตจุติ ขอบเขตสถิตกายาและขอบเขตเซียนปฐพี และเหนือไปกว่านั้นคือการก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งความเป็นอมตะ ขอบเขตเซียนสวรรค์
อย่างไรก็ตาม แค่แปดลำดับขอบเขตแรกก็มีเพียงไม่กี่คนในโลกนี้ที่สามารถบรรลุได้
ในบรรดาผู้บ่มเพาะนับล้านคนของเมืองหมอกสน ระดับการบ่มเพาะที่สูงที่สุดอยู่ที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลเท่านั้น
ในบรรดาผู้บ่มเพาะสิบล้านคนของเมืองทะเลสาบมังกร ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางได้รับการนับถือว่าเป็นตัวตนชั้นแนวหน้าแล้ว
ส่วนภายในอาณาเขตดินแดนทางใต้ถือว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตจุตินั้นอยู่ในจุดสูงสุดแล้ว พวกเขาสามารถสยบทุกสิ่งด้วยพลังของพวกเขา และคนอื่น ๆ ต่างก็เรียกพวกเขาด้วยความเคารพว่าเป็นบรรพจารย์
นี่เป็นเพียงขอบเขตจุติเท่านั้น ความยากในการบรรลุสู่ขอบเขตถัดไปในเส้นทางแห่งการบ่มเพาะสามารถทราบได้จากสิ่งนี้
ในตอนนี้ ตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติได้อยู่เบื้องหน้าเขาแล้ว แม้เฉินซีจะรู้ว่ามรดกและทรัพยากรของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรที่ซ่อนอยู่นั้นเก่าแก่และลึกล้ำ เขาก็อดไม่ได้ที่จะต้องตกใจ
การบ่มเพาะปราณภายในของเฉินซีในปัจจุบันอยู่ที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นหกดาราเท่านั้น ส่วนการขัดเกลากายายังคงอยู่ในขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสองดารา แม้ว่าเขาจะสามารถต่อสู้ข้ามขอบเขตบ่มเพาะและสังหารผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำได้ แต่การสู้กับตัวตนที่อยู่เหนือกว่าเขาถึงสามขอบเขต มันไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตายอย่างแน่นอน
“หลิงไป๋ เจ้าคิดว่าเขาจะพาข้าไปพบใคร?” เฉินซีกล่าวผ่านกระแสปราณ เขาสงสัยเป็นอย่างมากเพราะนอกจากเฉินฮ่าวแล้ว เขาแทบไม่รู้จักใครในนิกายกระบี่เมฆาพเนจรเลย ดังนั้นเหวินเสวี่ยนจะพาเขาไปพบใครกัน?
“ใครจะรู้? คนผู้นี้ลึกลับมาก ถ้าเขาอยากฆ่าเจ้า เจ้าก็ไม่อาจต่อต้านได้ ดังนั้นเจ้าควรวางตัวไปตามสถานการณ์” หลิงไป๋ส่ายศีรษะไม่หยุด
หลังจากผ่านไปประมาณชั่วก้านธูป เหวินเสวี่ยนก็หยุดอยู่เบื้องหน้าภูเขาที่เงียบสงบ เมื่อเฉินซีมองขึ้นไป เขาก็เห็นป่าเขียวขจีอยู่บนภูเขา น้ำตกในหุบเขาลึก น้ำพุที่ไหลในหุบผา และหมอกปกคลุมทั่วภูเขา ราวกับสวรรค์ของเซียนในโลกมนุษย์และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต
“ภูเขาลูกนี้เป็นภูเขาด้านหลังของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร มีชื่อว่า ‘ยอดเขาสวรรค์’ หากไม่มีผู้นำทางก็ไม่มีใครสามารถเข้าไปได้” เหวินเสวี่ยนยิ้มขณะที่เขาอธิบาย จากนั้นควงพัดขนนกในมือ หมอกสีฟ้าจำนวนมหาศาลลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าเหนือยอดเขาสวรรค์ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นแสงสีฟ้าโปรยปรายลงมาราวกับฝน
วิ้ง!
จู่ ๆ ก็มีบันไดทอดยาวลงมาจากยอดเขาสวรรค์ และปรากฏขึ้นใต้เท้าของเหวินเสวี่ยนในพริบตา ราวกับสะพานรุ้งที่ทอดผ่านกลางอากาศ ภาพที่เห็นมันช่างงดงามยิ่งนัก
“มาเถอะ” เหวินเสวี่ยนก้าวเท้าเดินขึ้นบันไดไป จากนั้นเขาก็แย้มยิ้มขณะกวักมือเรียกเฉินซี
เฉินซีอยากรู้มากว่าเป็นผู้ใดที่ต้องการพบเขา จึงก้าวขึ้นบันไดไปอย่างไม่ลังเล
ฮึ่ม!
บันไดที่ทอดตัวยาวพลันหดลงทันควัน จากนั้นก็นำพาเหวินเสวี่ยนและเฉินซีหายเข้าไปในยอดเขาสวรรค์
…
บนยอดเขาสวรรค์มีทะเลสาบสีฟ้า ใบบัวมากมายลอยเหนือน้ำใสในทะเลสาบ พวกมันหมุนไปรอบอย่างช้า ๆ ภายใต้สายลมอ่อน ๆ และดอกบัวที่บานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมอบอวลโชยมากระทบใบหน้าและทำให้จิตใจสดชื่น
ที่ด้านข้างของทะเลสาบ ฝูงนกนางนวลสีขาวราวกับหิมะมากมายกำลังบินไปมา เหล่าสัตว์น้ำต่างนอนพักผ่อนอย่างเกียจคร้านอยู่บนหาดทรายสีเงินและฝูงเพียงพอนสามหางที่มีขนเรียบลื่นกำลังคาบปลาตัวใหญ่เนื้อแน่นไว้ในปากอย่างมีความสุข
ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเขาสามารถกล่าวได้ว่าเป็นทิวทัศน์ในภาพวาดที่เต็มไปด้วยพลังและความมีชีวิตชีวาราวกับแดนสวรรค์
คนผู้นี้คือชายหนุ่มรูปงามในชุดปักลายหรูหรา เห็นได้ชัดว่าเป็นสตรีที่ปลอมตัวเป็นบุรุษ แต่นางก็มีเสน่ห์ตามธรรมชาติเป็นของตัวเอง นางสวย มีเสน่ห์ สง่างาม บุคลิกที่สง่างามของนางไม่มีใครเทียบได้
ในขณะนี้ ผู้เยาว์คนนั้นนั่งเท้าเปล่าอยู่ที่ริมศาลา เท้าคู่เล็ก ๆ ที่แวววาวราวกับหยกขาวของนางจุ่มอยู่ในน้ำของทะเลสาบสีฟ้า เท้าของนางสั่นและกระพือเมื่อฝูงปลาหลากสีล้อมรอบอย่างมีความสุขและจุมพิตที่เท้าขาวและบอบบางเหมือนหยก
เมื่อพวกเขาเห็นภาพนี้ ไม่ว่าจะเป็นเฉินซี เป่ยเหิงหรือเหวินเสวี่ยน พวกเขาทั้งหมดต่างเผยรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว และความคิดยุ่งเหยิงทั้งหมดในใจของพวกเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้จิตใจของพวกเขาเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศธรรมชาติที่ยอดเยี่ยมสุดจะพรรณนา
สิ่งนี่ไม่ใช่เคล็ดวิชาการบ่มเพาะเสน่ห์ที่ดึงล่อลวงวิญญาณของผู้คน แต่มันเป็นกลิ่นอายตามธรรมชาติที่แผ่ออกจากร่างของหญิงสาวผู้นี้ ซึ่งดึงดูดให้พวกเขาเวียนว่ายเข้าสู่ธรรมชาติและหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับโลก มันเป็นความรู้สึกมหัศจรรย์ที่ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด
เฉินซีไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังเวียนว่ายอยู่ในโลกอันกว้างใหญ่ไพศาล เขาราวกับเปลี่ยนร่างเป็นสายลมที่มีอิสระ มีความสุข มีชีวิตชีวา ปราศจากพันธะ ไร้ความแค้น ตัณหาและอารมณ์เชิงลบทั้งมวล…
เขาไม่ทันสังเกตว่าภายในจิตสำนึกของเขา พลังของดวงวิญญาณของเขาได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีชีวิตชีวา บริสุทธิ์ ควบแน่น ตกผลึก และโปร่งแสงอีกด้วย
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าไร
หญิงสาวในคราบชายหนุ่มรูปงามถอนเท้าออกจากทะเลสาบและค่อยสวมรองเท้า เมื่อนางลุกขึ้นยืน เป่ยเหิงก็ได้สติในทันที แต่ร่องรอยความปรารถนาก็ยังคงอยู่ในสายตาของเขา เขาประสานมือและกำลังจะกล่าว แต่กลับถูกหยุดโดยหญิงสาวสง่างามผู้นั้น นางชี้ไปที่เหวินเสวี่ยนและเฉินซีที่อยู่ใกล้เคียง
ผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป เหวินเสวี่ยนก็ตื่นจากบรรยากาศอันน่าอัศจรรย์ สีหน้าของเขางุนงง และดูเหมือนเขาจะคลั่งไคล้ราวกับว่าเขาเป็นบ้า ทันใดนั้น ดวงตาของเขาพลันสว่างขึ้น และเขาก็นั่งสมาธิบนพื้นทันทีก่อนที่จะหลับตาและโคจรเคล็ดวิชาการบ่มเพาะของเขา
เมื่อเป่ยเหิงที่อยู่ใกล้เคียงเห็นฉากนี้ แม้ว่าหัวใจของเขาจะเป็นปกติ แต่ความอิจฉาก็ปรากฏขึ้นในแววตา และเขากล่าวกับตัวเองว่า ในตอนนี้ เสวี่ยนเอ๋อร์ได้พบกับโอกาสครั้งใหญ่โดยบังเอิญจากการที่ข้าพาเขามายังที่แห่งนี้
“ฮ่า!” ในสภาพที่ยุ่งเหยิง เฉินซีก็รู้สึกได้ถึงการสั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่างกาย ประหนึ่งระฆังยามเช้าดังก้องอยู่ในห้วงสำนึกของเขา ทำให้การรับรู้ ประสาทสัมผัสทั้งหก และจิตวิญญาณได้รับการชำระล้างให้บริสุทธิ์และแหลมคมยิ่งขึ้น เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายทั้งหมดที่อยู่รอบตัวเขาได้อย่างชัดเจน เช่น ลมจากภูเขา น้ำในทะเลสาบ ปลาที่แหวกว่ายอยู่ในทะเลสาบ… ทุกอย่างล้วนมีชีวิตชีวา ชัดเจนและน่าหลงใหลมาก
ความรู้สึกนี้ราวกับว่าเขามีตาทิพย์ ดวงตานี้สามารถมองเห็นทุกสิ่งรอบตัวเขาได้อย่างชัดเจนและสามารถมองลงมายังทุกสิ่งจากฟากฟ้า ทำให้แม้แต่สิ่งเล็กน้อยที่สุดก็ดูเหมือนราวกับว่ามันอยู่ต่อหน้าต่อตาเขา
ญาณรับรู้เซียนหรือก็คือขั้นญาณศักดิ์สิทธิ์!
ในขณะนี้ การรู้แจ้งปรากฏขึ้นในใจของเฉินซีอย่างเงียบงัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
ทำไมตอนที่ 1631-1637 อ่านไม่ได้ครับ...
อยากซื้อหนังสือเรื่องนี้จบรึยังมีขายรึยัง ราคาเท่าไหร่...
กำลังสนุกเลยจ้า1407...
1...
รออ่าน1296...
รออ่าน1184จ้า...
ตอนที่1111รออ่านยุ...
ตอน1109รออ่านยุ...
กำลังมันเลยครับ...
กำลังมันเลยครับ...