บทที่ 135 เมฆาสีชาดประกายแสงโลหิต
บทที่ 135 เมฆาสีชาดประกายแสงโลหิต
ในป่าลึก บนต้นไม้ใหญ่เก่าแก่ขนาดสิบคนโอบ เฉินซีซ่อนตัวเงียบอยู่บนกิ่งที่มีพุ่มใบหนาทึบ ขณะเดียวกันญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาซึ่งเทียบได้กับคนที่มีการบ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแผ่กระจายออกไปทั่วพื้นที่โดยรอบเกือบหนึ่งร้อยลี้
ต่อมาไม่นานเป้าหมายจึงปรากฏตัว
ชายหนุ่มสวมผ้าคลุมสีแดงเข้มผมถักเปีย ท่าทางบอกชัดถึงความร้ายกาจ ขณะนั้นเขาพุ่งวาบตรงมาทางเฉินซีอย่างรวดเร็ว ยามที่เขาก้าวไปแต่ละก้าวยาวกว่าหนึ่งร้อยจั้ง อีกทั้งความรวดเร็วก็ยากจะหาผู้เสมอเหมือน ราวกับความเร็วของสายฟ้าฟาด
หลัวซิ่วแห่งหุบเขาดาวตกอย่างนั้นหรือ?
ชั่วขณะหนึ่งข้อมูลของคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดพลันวาบขึ้นในใจของเฉินซี ยอดอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดแห่งหุบเขาดาวตกมีอายุสิบเก้าปี บรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นเก้าดารา สำเร็จเต๋ารู้แจ้ง ศัสตราวิเศษขวานวงจันทร์ระดับมนุษย์ขั้นสูงสุด ทั้งเหี้ยมโหดและไร้ความปรานี ลีลาการต่อสู้ที่รวดเร็วและรุนแรง…
‘เจ้าคนนี้นั่นเอง… ทว่าข้าและเขาไม่ใช่มิตรหรือศัตรู เหตุใดจึงไล่ตามข้าอย่างไม่ยอมเลิกลาเช่นนี้?’
หัวคิ้วของเฉินซีขมวดแน่น หลังจากขับไล่นายน้อยแห่งตระกูลเซี่ย…เซี่ยจ้านออกไป ชายหนุ่มซึ่งลอบเคลื่อนไหวไปในป่ามาตลอด ทว่ากลับรู้สึกเหมือนมีคนกำลังติดตามมา ตอนนี้เขาปลดปล่อยญาณศักดิ์สิทธิ์พุ่งกวาดออกไปจึงพบกับหลัวซิ่วแห่งหุบเขาดาวตก เฉินซีจึงประจักษ์ในทันทีว่าตนกำลังตกเป็นเป้าของใครบางคน แต่ยังคิดไม่ออกว่าเหตุใดคนคนนี้จึงต้องไล่ตามเขาอย่างไม่ลดละ
ทันใดนั้นหลัวซิ่วเองก็ดูเหมือนจะสังเกตเห็นบางอย่างเช่นกัน จากนั้นเขาพลันเงยหน้าขึ้นมา เงาสลัวและเย็นเยียบทว่าวาวโรจน์ด้วยแสงสีฟ้าประหลาดพุ่งวาบออกมาจากลูกนัยน์ตา และเพียงมองแวบเดียวนั้น เขาก็สังเกตเห็นเฉินซีซึ่งหลบซ่อนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ห่างออกไปราวสิบลี้แล้ว
วิธีมองของคนผู้นี้แปลกประหลาดนัก!
ในหัวใจของเฉินซีเต็มไปด้วยความขัดเคืองทันใดนั้นเขาก็กระโดดผลุงลงจากต้นไม้ทันที และพุ่งเข้าป่าลึกไปอย่างรวดเร็ว ใช่ว่าเขาจะกลัวอีกฝ่าย เพียงแต่ชายหนุ่มไม่อยากสนใจหลัวซิ่วซึ่งตามหลังมา ก่อนที่ตนจะพบกับเฉินฮ่าว
ผ่านไปชั่วไม่ถึงหนึ่งก้านธูป เฉินซีตั้งใจว่าจะสัญจรผ่านพื้นที่โล่งในป่าเพียงครู่เดียวเท่านั้น ทว่าเขากลับสังเกตเห็นกลุ่มผู้บ่มเพาะสองกลุ่มกำลังเผชิญหน้ากันอยู่ในบริเวณลานโล่ง
ฝั่งหนึ่งเป็นคนหนุ่มสาวรวมสิบสามคน พวกเขาสวมชุดสีเงินเรียบร้อย ที่แขนเสื้อปักสัญลักษณ์กระบี่เหินสีเขียวเข้ม ที่น่าตกตะลึงคือพวกเขาคือกลุ่มศิษย์ของหนึ่งในหกตระกูลใหญ่…ตระกูลฉาง
ส่วนอีกฝั่งหนึ่งมีเพียงห้าคนเท่านั้น แม้ว่าพวกเขาจะสวมเครื่องแต่งกายแตกต่างกัน แต่บนแขนเสื้อของทุกคนมีตัวอักษรปักอย่างงดงามว่า ‘ตู้’ ซึ่งแน่นอนว่าคนเหล่านี้คือคนของตระกูลตู้
ขณะนั้นศิษย์ตระกูลฉางทั้งสิบสามคนได้เข้ามาล้อมฝ่ายตระกูลตู้ทั้งห้าไว้ตรงกลาง และทุกคนมีศัสตราวิเศษอยู่ในมือ สีหน้าท่าทีเผยให้เห็นความเหี้ยมเกรียม ซึ่งแสดงให้เห็นชัดว่าหากเกิดความขัดแย้งขึ้นเมื่อใด พวกเขาก็จะจู่โจมเข้าหากันอย่างรุนแรง
การที่จู่ ๆ เฉินซีก็โผล่เข้ามาทำให้ทั้งสองฝ่ายตกใจอย่างเห็นได้ชัด ทุกสายตาหันขวับมามองเขาเป็นตาเดียว และเมื่อเห็นหน้าคนที่เข้ามา คนทั้งสองฝ่ายพลันแสดงออกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เห็นได้ชัดว่าแววตาที่ศิษย์ของตระกูลตู้มองเฉินซีเปี่ยมด้วยความหวังในฐานะที่เขาเป็นมิตรกับตู้ชิงซีซึ่งเป็นศิษย์พี่ใหญ่ พวกเขาจึงต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในขณะที่ศิษย์ของตระกูลฉางกลับจ้องมองมาอย่างดุร้าย แววตาขุ่นเคืองแฝงความข้องใจ
เฉินซีมองผ่านคนทั้งสองฝ่าย แต่เขาสังเกตเห็นว่ากระแสรังสีที่แผ่ออกมาของศิษย์ตระกูลตู้ทั้งห้านั้นออกจะสับสนอลหม่านอย่างมาก ทั้งสีหน้าก็เผือดซีด แสดงว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บไม่น้อย คงเพราะทั้งสองฝ่ายเกิดการปะทะกันมาก่อนหน้านี้
ชายหนุ่มมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างใจเย็น ในช่วงที่มีงานเทียบอันดับมังกรซ่อน บางคนอาจรวมกันเป็นกลุ่มสหายเพื่อต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับศิษย์จากกองกำลังใหญ่แห่งอื่นได้อยู่ดี และเมื่อทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันจึงไม่มีใครคิดจะยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้อง
สำหรับเฉินซีไม่ได้ตั้งใจจะหยุดช่วยเหลือแต่อย่างใด ขณะนั้นชายหนุ่มขยับทำท่าจะไปต่อ เขาเป็นมิตรกับตู้ชิงซีก็จริง แต่ไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือคนตระกูลตู้ทุกคน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ฝ่ายตระกูลตู้ดูเป็นรองศิษย์ของตระกูลฉางอย่างรุนแรง ท้ายที่สุดแค่พวกเขาทำลายยันต์เคลื่อนย้ายก็จะสามารถหนีไปได้โดยไม่มีอันตรายถึงแก่ชีวิต
เหนือสิ่งอื่นใด แม้ว่าเขาจะเข้าไปช่วยคนพวกนั้นให้ผ่านวิฤตในครั้งนี้แล้วต่อไปพวกเขาจะทำอย่างไร จะสามารถก้าวขึ้นสู่เจดีย์ชั้นที่สองได้หรือไม่ หรือจะขึ้นสู่ชั้นที่สามได้หรือ? เมื่อพลังไม่แข็งแกร่งพอ การรู้ว่าเมื่อใดควรถอยดูจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
เมื่อกลุ่มคนพวกนั้นเห็นท่าทางของเฉินซี สายตาของศิษย์ตระกูลตู้ทั้งห้าก็ดูจะผิดหวังขึ้นมา ในขณะที่ฝั่งศิษย์ของตระกูลฉางแอบดีใจเงียบ ๆ
ฉับพลันที่เฉินซีขยับตัวพุ่งออกไกลกว่าสิบจั้งก็มีเสียงของใครคนหนึ่งตะโกนมาจากข้างหลัง “สหายเต๋าเฉินซี ห่างออกไปร้อยลี้ บริเวณนั้นมีผู้บ่มเพาะตระกูลซูรวมตัวกันอยู่กลุ่มใหญ่ เจ้าต้องระมัดระวังให้ดี”
เฉินซีชะงักฝีเท้าหยุดทันที และเมื่อหันไปมองจึงได้พบกับเจ้าของเสียงเตือน ซึ่งก็คือเป็นหนุ่มน้อยที่ได้รับบาดเจ็บจนใบหน้าซีดเซียว เขาเป็นหนึ่งในห้าของศิษย์ตระกูลตู้
ชายหนุ่มสามารถแยกแยะความจริงใจในคำพูดเหล่านั้นได้ จึงเงียบงันไปชั่วขณะก่อนที่จะหมุนตัวหันกลับมา “เจ้าชื่ออะไร เหตุใดจึงบาดเจ็บถึงเพียงนี้”
‘เมื่อมีคนแสดงน้ำใจต่อข้า ข้าก็จะตอบแทนคืนให้เป็นสิบเท่า!’
หากไม่มีใครเตือน เฉินซีคงรีบไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย และแม้ว่าต่อไปตู้ชิงซีจะถามไถ่เขาเรื่องนี้ เขาก็จะไม่รู้สึกเสียใจเลยสักนิด ทว่าตอนนี้ศิษย์ตระกูลตู้กลับเอ่ยเตือนเขาด้วยความสุจริตใจ อีกทั้งยังไม่รีรอที่จะบอกข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่เขาด้วย ถ้าเขายังไปเสียโดยไม่สนใจคำเตือนนั้น หากเกิดอะไรขึ้นก็ยากจะหาข้ออ้าง
ศิษย์ตระกูลตู้เมื่อเห็นเฉินซีย้อนกลับมาแม้จะตกใจไม่น้อย หากสีหน้าของพวกเขาได้เผยความยินดีออกมาวูบหนึ่ง เจ้าหนุ่มน้อยหน้าซีดสูดลมหายใจ ขณะที่เจ้าตัวพยายามข่มความตื่นเต้นที่พุ่งขึ้นมาในใจ “ข้า…ตู้อวี่ บาดเจ็บเพราะศิษย์ของตระกูลซูขอรับ”
เฉินซีนิ่งงัน จากนั้นสายตาข้องใจได้เบนไปยังกลุ่มตระกูลฉางทั้งสิบสามทันที
“สหายเต๋าเฉินซี บางทีเจ้าอาจจะยังไม่รู้ว่าตระกูลซูกับตระกูลฉางได้ผนึกกำลังกัน โดยพุ่งเป้าไปที่เจ้าและตระกูลต้วนมู่ ตระกูลซ่งและตระกูลตู้ของเรา”
“ยิ่งกว่านั้นตอนนี้ ทางพระราชวังข่ายดาราและสำนักเมฆาอนันต์ก็เข้าร่วมกับฝ่ายตระกูลซูแล้วด้วย พวกมันผนึกกำลังกันถ้าเห็นศิษย์ของเราสามตระกูล พวกมันจะไม่ละเว้นเลย” เมื่อเห็นว่าท่าทีของเฉินซีตั้งใจที่จะยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว ศิษย์ของตระกูลตู้ก็รีบพูดออกมา เข้าทำนองน้ำขึ้นให้รีบตัก
ใครคือเฉินซี? คนที่น่าเกรงขามสร้างวีรกรรมสังหารผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำหกคนกับผู้ฝึกขอบเขตแกนทองคำหยินหยางอีกหนึ่งคน! หากพวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากคนคนนี้ สถานการณ์ย่ำแย่นี้คงได้รับการแก้ไขในไม่ช้า!
‘อาจเป็นไปได้ว่าตอนนี้พระราชวังข่ายดาราและสำนักเมฆาอนันต์ต่างก็รู้เรื่องที่ข้าสังหารไฉ่เล่อเทียนกับอวี้ฮ่าวไป๋แล้วสินะ? แต่พวกตระกูลฉางเล่า? ใช่แล้ว! ฉางปินตายด้วยคมกระบี่ของตู้ชิงซีในดินแดนของราชาอีกาทมิฬ…หากเป็นเช่นนี้จริง สถานการณ์ของข้ากับเฉินฮ่าวเห็นทีจะยิ่งแย่ลงไปใหญ่…’
ในหัวของเฉินซีเกิดความคิดผุดวาบขึ้นมามากมายนับไม่ถ้วน พลันทำให้สีหน้าท่าทีของเขากลายเป็นเย็นชา ชายหนุ่มหันไปมองกลุ่มศิษย์ตระกูลฉางก่อนจะเอ่ยกับคนเหล่านั้น “ถ้าพวกเจ้ามีคนมากกว่านี้ ก็คงไม่ปล่อยข้าไปแต่โดยดีกระมัง?”
‘ไอ้คนนี้เหมือนภูตผีที่คอยตามหลอกหลอนไม่ยอมเลิกราแท้!’
ชายหนุ่มนึกสบถในใจ จากนั้นเขาก็ขยับตัวตั้งท่าจะหันหลังกลับไป หากไม่ทันไรเสียงหัวเราะหวีดแหลมชวนขนหัวลุกได้ดังออกมาจากป่าทึบทางด้านหลัง “เฉินซี ถ้ายังหนีไปอีก ข้าจะฆ่าคนที่เจ้าเพิ่งช่วยไว้ให้หมดทุกคน!”
คนที่ได้ยินหันขวับไปทางที่มาของเสียงอย่างรวดเร็วพร้อมด้วยสีหน้าเย็นเยียบ เจ้านี่มันกล้าขู่ข้า ฉะนั้นมันก็สมควรตาย!
หลัวซิ่วแห่งหุบเขาดาวตก!
ส่วนพวกตู้อวี่กลับมีสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างกะทันหันทันทีที่ได้ยินแบบนั้น พวกเขาไม่อาจเดาได้ว่าเสียงที่ฟังน่าสลดหดหู่อย่างไม่เหมือนใครเช่นนี้เป็นของผู้ใด
“พวกเจ้าไปเสีย พวกเจ้าช่วยข้าไม่ได้ มิหนำซ้ำจะกลายเป็นภาระของข้าเสียเปล่า ๆ” เฉินซีออกคำสั่ง
สีหน้าของพวกตู้อวี่เหยเกไม่สู้ดีในทันที และมีสองสามคนทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าทันใดนั้น ทุกคนจึงได้เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่ไว้ผมถักเปียสวมชุดฮั่นฝูสีแดงสดทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“เฉินซีพูดถูกแล้ว หากพวกเจ้ารั้งอยู่ที่นี่เท่ากับรนหาที่ตายอย่างแท้จริง!” หลัวซิ่วในชุดฮั่นฝูสีแดงสดยิ่งทำให้เขาดูเหมือนอสูรกระหายเลือด เมื่อรวมกับเสียงแหลมน่าขนลุกของเขาก็ยิ่งกระตุ้นความกลัวให้ใครต่อใครโดยไม่ได้ตั้งใจ
ใบหน้าของพวกตู้อวี่แดงก่ำทั้งโกรธและอับอาย แต่ท้ายสุดพวกเขาก็ไม่กล้ารั้งรออยู่ที่นี่อีกต่อไป จากนั้นจึงพากันรีบร้อนหลีกไปอย่างรวดเร็ว
“หนีไปกันหมดรวดเร็วแท้ ถ้าข้าไม่ใช้ชีวิตของพวกมันขึ้นมาขู่ เห็นทีเจ้าจะคงไม่ยอมพบหน้าข้าสินะ ใช่ไหม” หลัวซิ่วหัวเราะเอื่อย ๆ ลูกนัยน์ตาสีฟ้าหม่นของคนพูดจ้องเขม็งมายังเฉินซีดุจอสรพิษกำลังจ้องที่จะตะครุบเหยื่อ ดูราวกับปีศาจชั่วร้าย
“เจ้ากำลังทำให้ข้าโมโห” ใบหน้าของเฉินซีขณะนี้เรียบเฉยอย่างยิ่ง แต่ทันใดนั้นกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดได้ออกทะยานไปรอบตัวพร้อมกับสาดแสงกะพริบวูบวาบด้วยปราณกระบี่อันร้อนแรง
“ไม่รีรอที่จะลงมือ เจ้าคงไม่อยากรู้จุดประสงค์ในการมาของข้าครั้งนี้สินะ?” เสียงพูดอย่างใจเย็นของหลัวซิ่วดังมา
“ข้ารู้แค่ว่าต้องการจะฆ่าเจ้ามากที่สุดในตอนนี้!” หลังพูดจบ เฉินซีก็ยกมือขึ้นและชี้ออกไป ฉับพลันเสียงกระหึ่มดังออกมาจากแปดกระบี่ท่องปรภพ ก่อนที่พวกมันจะพุ่งตรงเข้าหาหลัวซิ่วประหนึ่งสายฟ้าฟาด
“ได้เลย! ในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นข้าก็จะเอาชนะเจ้าเสียก่อน” หลัวซิ่วหรี่ตาสีฟ้าหม่นเล็กน้อย ขณะที่ประกายแสงแดงฉานกระจายออกจากร่างนั้น ก่อนจะพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าและเปลี่ยนเป็นมวลเมฆสีแดงก่ำแผ่ปกคลุมอาณาบริเวณกว้างกว่าสิบจั้ง และแสงโลหิตได้แผ่ปกคลุมบริเวณโดยรอบอย่างแน่นหนาทันที จากนั้นจึงเริ่มจู่โจมเฉินซี พื้นที่โดยรอบไม่ว่าจะเป็นต้นไม้โบราณขนาดใหญ่ เถาวัลย์ สุมทุมพุ่มไม้หรือแม้แต่พงหญ้า… เมื่อใดที่ถูกอาบด้วยแสงโลหิต ต้นไม้เหล่านี้จะสึกกร่อนลง เมื่อถึงจุดหนึ่งมันจะแหลกสลายกลายกลุ่มควันสีเขียวหายไปทันที เป็นที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ทันทีที่แปดกระบี่ท่องปรภพของเฉินซีสัมผัสเจ้าก้อนเมฆแดงฉานกลุ่มนั้น พวกมันเหมือนจมหายเข้าไปในก้อนสำลีจนเป็นเหตุให้พลังที่สถิตอยู่ในกระบี่ถูกต้านทานกระทั่งแปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า อีกทั้งกระบี่เองก็ถูกแสงโลหิตอันชั่วร้ายกัดกร่อนจนกระทั่งเกิดเสียงดังกึกก้อง
ขณะนั้นเฉินซีรีบบังคับกระบี่ออกมาอย่างรวดเร็ว และเมื่อเห็นสภาพกระบี่บินของตนเองชายหนุ่มสะดุ้งด้วยความตกใจ เมื่อพบว่าเวลานี้แสงบนกระบี่หรี่ลงไปเป็นอันมาก นี่มันพลังอะไรกันแน่? เหตุใดจึงมีพลังกัดกร่อนหนักหน่วงเหลือเกิน!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
ทำไมตอนที่ 1631-1637 อ่านไม่ได้ครับ...
อยากซื้อหนังสือเรื่องนี้จบรึยังมีขายรึยัง ราคาเท่าไหร่...
กำลังสนุกเลยจ้า1407...
1...
รออ่าน1296...
รออ่าน1184จ้า...
ตอนที่1111รออ่านยุ...
ตอน1109รออ่านยุ...
กำลังมันเลยครับ...
กำลังมันเลยครับ...