บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 288

บทที่ 288 การเปลี่ยนแปลงของดวงจิตแห่งเต๋า

บทที่ 288 การเปลี่ยนแปลงของดวงจิตแห่งเต๋า

เฉินซียังคงครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งอยู่ในห้องพักของโรงเตี๊ยม ถึงแม้ว่าเขาจะวางแผนที่จะอยู่ในเมืองเฟิงเย่เพียงชั่วคราวและพยายามพัฒนาการบ่มเพาะ แต่เขาก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ราวกับว่าการตัดสินใจครั้งนี้ขัดต่อความตั้งใจของเขาเอง และมันทำให้เขารู้สึกหดหู่จากภายในสู่ภายนอก

นั่นสินะ! มันเป็นความรู้สึกท้อแท้…

ตั้งแต่ตอนที่เขาตัดสินใจจะหนีเมื่อเผชิญกับการคุกคามของตระกูลซือคง ในใจของเขาก็ปราศจากความสงบและความแน่วแน่อีกต่อไป เขาเริ่มรู้สึกท้อแท้ วิตกกังวล และรู้สึกหนักใจ เป็นเพราะเขากำลังคิดหาวิธีหลีกเลี่ยงและหลบหนีอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับมันอย่างห้าวหาญ

‘ข้าสูญเสียความตั้งใจที่จะก้าวไปข้างหน้าและความห้าวหาญที่ไร้ความกลัวของข้าไปหรือไม่?’

‘ไม่!’

‘ทั้งหมดนี้เป็นเพราะข้ากำลังต่อต้านดวงจิตแห่งเต๋าของตัวเองต่างหาก!’

เต๋าของข้าคือการแผดเผาอุปสรรคทั้งหมดอย่างกล้าหาญและปราศจากความเกรงกลัว เพียงใช้กระบี่ของข้าต่อสู้กับโลกทั้งใบด้วยความเที่ยงธรรม มันคือการควบคุมมหาเต๋า เพื่อทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า!

‘เต๋าของข้าไม่เคยรู้สึกท้อแท้หรือหดหู่ใจและไม่เคยหลบเลี่ยงหรือหวาดกลัว…’

‘ท้องฟ้าไม่อาจบดบังดวงตาของข้า’

‘ผืนดินไม่อาจเหนี่ยวรั้งร่างข้าไว้ได้’

‘โลกมนุษย์ที่ไร้ขอบเขตและสรรพสิ่งในจักรวาลไม่อาจครอบงำหัวใจของข้าได้’

‘ความชั่วร้ายและภยันตรายทั้งหมดในโลกนี้ ไม่อาจขัดขวางฝีเท้าที่แสวงหามหาเต๋าของข้าได้’

‘นี่คือเต๋าของข้า!’

ปัง!

ในขณะนี้ แม้แต่จิตวิญญาณของเขาก็ดูเหมือนจะสั่นสะท้านและเริงร่า ราวกับว่าเขาได้รู้แจ้งจากคำเตือนที่เฉียบคมในทันที จิตใจของเขาจึงปลอดโปร่ง ความคิดของเขาไม่มีสิ่งกีดขวาง ดวงตาของเขากลับมาแน่วแน่อีกครั้ง ความคิดของเขากลับมาบริสุทธิ์และไร้ที่ติ ถึงแม้ว่าลมทั้งแปดทิศจะโหมกระหน่ำเข้ามา ดวงจิตแห่งเต๋าของเขาก็ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย

แสงแห่งปัญญาที่ริบหรี่และเป็นประกายที่หว่างคิ้วของเขา อาจมองเห็นได้อย่างรางเลือน

“มู่ขุย เราจะไม่หลบหนีอีกต่อไปแล้ว เนื่องจากตระกูลซือคงกำลังข่มเหงรังแกเราเช่นนี้ เราจะเล่นกับพวกมันสักตั้ง” เฉินซีส่งเสียงผ่านกระแสปราณเพื่อเรียกมู่ขุยไปที่ห้องของเขา ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย

“นายท่าน ท่านควรทำสิ่งนี้ตั้งแต่แรก!” มู่ขุยกำหมัดของเขาด้วยความตื่นเต้น เนื่องจากในฐานะสัตว์อสูรที่ครอบครองสายเลือดของหมาป่าจันทรคราส ซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แห่งบรรพกาล เขาจึงเกิดมาพร้อมจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ และไม่ได้คำนึงถึงชีวิตหรือความตายเลยแม้แต่น้อย

“หืม? นายท่าน ดูเหมือนท่านจะเปลี่ยนไปนะขอรับ ท่านแตกต่างจากเมื่อก่อนเล็กน้อย” มู่ขุยเงยหน้าขึ้นมองเฉินซี เขารู้สึกว่านายท่านของเขาคนนี้ดูเหมือนจะได้เกิดใหม่ กลิ่นอายอันสูงส่งและไม่ธรรมดาของเฉินซีมีร่องรอยของแสงแห่งปัญญาที่ลึกล้ำเหมือนมหาสมุทรและสูงตระหง่านเหมือนขุนเขา ราวกับว่าไม่มีใครในโลกนี้สามารถทำให้หัวใจของเฉินซีต้องสั่นคลอนได้อีกต่อไป

“ข้าเพิ่งนึกบางอย่างออก” เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจึงหยิบกระบองหนามสมบัติวิเศษที่เขาได้มาจากการประมูลในวันนี้และส่งต่อให้มู่ขุย “ความลับบางอย่างถูกเก็บไว้ในสมบัติวิเศษนี้ และมันเกี่ยวข้องกับมรดกของนิกายป้ายเหล็กในแดนภวังค์ทมิฬ เจ้าต้องดูแลมันให้ดีเพราะนี่อาจเป็นโชคก้อนโตสำหรับพวกเราทั้งคู่”

หลังจากที่เขากลับมาจากหอขุมทรัพย์สวรรค์ เฉินซีได้ตรวจสอบสมบัติวิเศษระดับปฐพีขั้นสุดยอดนี้อย่างระมัดระวัง แน่นอนว่าเขาสังเกตเห็นกลิ่นอายแปลกประหลาดที่อยู่ภายในกระบองหนาม และสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในนั้น แท้จริงแล้วคือแผนที่ขุมทรัพย์ บนพื้นผิวของแผนที่สมบัตินี้สะท้อนอักขระยันต์สีแดงเลือดที่ก่อตัวเป็นคำว่า ‘ภวังค์แห่งความมืด ภูเขาหลางหยา สมบัติของป้ายเหล็กกำลังรอโชคชะตาอยู่!’

ด้วยสิ่งนี้ ทำให้เขาตระหนักได้ทันทีว่า เหตุผลที่ซือคงเหินสนใจสมบัตินี้เป็นอย่างมากในระหว่างการประมูล อาจเป็นเพราะแผนที่สมบัติที่ถูกซุกซ่อนอยู่นี้

“แดนภวังค์ทมิฬ? เป็นโลกที่งดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ กล่าวกันว่ามันเป็นทวีปที่ใกล้กับมิติเซียนมากที่สุด ไม่น่าเชื่อนิกายว่าป้ายเหล็กนี้จะอยู่ในแดนภวังค์ทมิฬจริง ๆ!” มู่ขุยตกตะลึงเป็นอย่างมาก และน้ำเสียงของเขาก็สั่นเครืออย่างช่วยไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าเขาเคยได้ยินตำนานมากมายของแดนภวังค์ทมิฬเช่นกัน

“ใช่แล้ว แต่ความลับทั้งหมดนี้จะสามารถรู้ได้ ก็ต่อเมื่อเราเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬแล้ว” เฉินซีกล่าว

“ไม่ ข้าไม่สามารถรับสมบัติเช่นนี้ได้ขอรับ หากข้าทำมันสูญหาย มันจะไม่ทำให้เรื่องสำคัญนายท่านต้องล่าช้าหรือขอรับ?” สีหน้าของมู่ขุยจริงจังขณะที่เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม

“ข้าบอกให้เจ้ารับมัน ก็จงรับมันซะ มันเป็นเพียงแผนที่สมบัติลวงตาเท่านั้น ถ้าเกิดมันสูญหาย เจ้าก็แค่สูญเสียมันไป ตราบใดที่เจ้าชอบสมบัติชิ้นนี้ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องสนใจสิ่งอื่นใดอีก” เฉินซียิ้ม

ในท้ายที่สุด มู่ขุยก็ยอมรับอาวุธที่ทรงพลังและดุร้ายนี้ หลังจากนั้น เขาก็ไม่ได้คิดจะรบกวนเฉินซีอีกต่อไป จึงกลับไปที่ห้องของเขาด้วยความตื่นเต้นและเริ่มสร้างพันธะกับสมบัติชิ้นนี้

ตุ้บ!

เมื่อมู่ขุยจากไป เฉินซีจึงหยิบกองวัตถุออกจากเจดีย์บำเพ็ญทุกข์อย่างสบาย ๆ เมื่อพวกมันถูกกองกันจนสูงเป็นเนินเล็ก ๆ อยู่บนพื้น มันก็ถูกปกคลุมไปด้วยประกายสมบัติหลากสีสัน พวกมันล้วนเป็นวัตถุล้ำค่าและหายาก ซึ่งไม่อาจประเมินมูลค่าที่แท้จริงได้

นี่คือเปลวเพลิงชนิดหนึ่งที่เขาควบแน่นโดยใช้โครงสร้างอักขระยันต์ในยันต์เทวะไฟโลกันต์และมันก็คือเปลวเพลิงวิญญาณน้ำแข็งยมโลกที่แสนเยือกเย็น การใช้มันเพื่อกลั่นหญ้าสายรุ้งเจ็ดใบจะช่วยรักษาคุณสมบัติทางจิตวิญญาณ ความเหนียว และความยืดหยุ่นของมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้จะไม่สร้างความเสียหายให้แก่มันเลยแม้แต่น้อย

อันที่จริง มีโครงสร้างอักขระยันต์มากมายอยู่ภายในยันต์เทวะไฟโลกันต์ และมันก็กว้างใหญ่ไพศาล ยิ่งไปกว่านั้น โครงสร้างอักขระยันต์ทุกชนิดที่ดึงออกมาคือยันต์อัคคีประเภทหนึ่ง และเมื่อมันถูกจารึกลงบนกระดาษยันต์ มันจะสามารถสร้างเปลวเพลิงหยิน เปลวเพลิงหยาง เปลวเพลิงน้ำแข็ง เปลวเพลิงยมโลก และอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ มันยังสามารถสร้างเปลวเพลิงที่มีคุณลักษณะแตกต่างกันได้ และเปลวเพลิงวิญญาณน้ำแข็งยมโลกก็เป็นหนึ่งในนั้น

แน่นอนว่าเปลวเพลิงเหล่านี้ไม่ใช่วัตถุและมันถูกสร้างจากอักขระยันต์แทน ด้วยความเข้าใจต่อเต๋าแห่งยันต์อักขระของเฉินซีในตอนนี้ เขาสามารถใช้งานมันได้โดยไม่จำเป็นต้องจารึกมันลงบนกระดาษยันต์เลย

ในเวลาไม่นาน ความชื้นของหญ้าสายรุ้งเจ็ดใบก็ระเหยไปภายใต้กระบวนการทำให้แห้งของเปลวเพลิงวิญญาณน้ำแข็งยมโลก กิ่งก้านและใบที่ละเอียดเหมือนเส้นขนของมันก็กลายเป็นเส้นขนาดเล็กที่มีความยืดหยุ่นและเรียบเนียนเป็นมันเงา ทำให้มันดูคล้ายกับขนนกของสัตว์เป็นอย่างมาก

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม

เฉินซีได้กลั่นหญ้าสายรุ้งเจ็ดใบกว่าร้อยใบ จึงสามารถรวบเส้นขนที่เพียงพอต่อการสร้างแปรงพู่กันยันต์อักขระ จากนั้นเขาจึงมัดหญ้าสายรุ้งเจ็ดใบเป็นพวงอย่างระมัดระวัง ก่อนที่จะเริ่มสร้างด้ามพู่กันยันต์อักขระ

ว่ากันว่า ปลายพู่กันที่สร้างจากหญ้าสายรุ้งเจ็ดใบนั้นสามารถดูดซับน้ำหมึกได้เต็มจนเหมือนมีหยดน้ำอยู่ภายในและไม่ทำให้เกิดการชนกันระหว่างคุณสมบัติของอักขระยันต์ ส่วนหน้าที่ของก้านของแปรงนั้น จะต้องกักเก็บปราณแท้และจิตสัมผัสเทพที่ถ่ายทอดเข้าไปข้างในได้อย่างราบรื่นและไม่ติดขัด

แก่นไม้สนหมื่นปีชิ้นนี้เหมาะที่จะสร้างเป็นด้ามพู่กันยันต์อักขระมาก มันมีสีเขียวเข้มอย่างหมดจดและเปี่ยมด้วยพลัง พื้นผิวของมันมีลายไม้ที่แข็ง เรียบเนียน อีกทั้งยังสามารถปล่อยให้ปราณแท้และจิตสัมผัสเทพไหลเวียนได้อย่างไม่มีที่ติ เพื่อไม่ให้ปราณโลหะทำอันตรายต่อคุณภาพของแก่นไม้สน เฉินซีจึงใช้ปราณจ้าววิญญาณดาราพฤกษาที่สองของเขา เพื่อควบแน่นเป็นใบมีดสีเขียวขนาดเล็ก ก่อนที่จะแกะสลักแก่นไม้สนหมื่นปีอย่างระมัดระวัง ในที่สุด มันก็กลายเป็นด้ามแปรงยาวหกชุ่นที่หนาเท่านิ้วชี้ มันมีสีเขียวเข้ม เป็นมันวาว กลมเกลี้ยง และมีลวดลายแต้มเต็มไปหมด

ในที่สุด เขาก็เริ่มผสานปลายพู่กันที่สร้างจากหญ้าสายรุ้งเจ็ดใบและด้ามที่สร้างจากแก่นไม้สนหมื่นปีกับน้ำยาโมราสีฟ้า

น้ำยาโมราสีฟ้าเป็นวัสดุที่ใช้ในการปรับแต่งอุปกรณ์กันทั่วไป และมันสามารถทำให้วัสดุที่แตกต่างกันสองชนิดผสมผสานกันอย่างลงตัว ทำให้สิ่งของที่กลั่นออกมาสามารถดึงเอาพลังที่แท้จริงออกมาได้

ผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป เฉินซีถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ในขณะที่เขาวางพู่กันยันต์อักขระที่สร้างเสร็จไว้ที่เบื้องหน้าของเขา เมื่อถือแปรงยันต์อักขระสีเขียวเข้มที่มีลายเนื้อไม้เรียบเนียนอยู่ในมือ มันมีเนื้อสัมผัสเป็นเม็ด ๆ ขนที่ปลายแปรงมีสีขาวราวกับหิมะสีเงินในตอนนี้ โดยเฉพาะเมื่อถ่ายปราณแท้ลงไป ประกายแสงเจ็ดสีจะปรากฏออกมาจากรอบ ๆ ซึ่งมันเผยให้เห็นความรู้สึกปราดเปรียวและว่องไวเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อเขาถ่ายจิตสัมผัสเทพและปราณแท้เล็กน้อยลงไปในพู่กันยันต์อักขระ ความรู้สึกแปลกประหลาดก็พรั่งพรูเข้ามาในหัวใจของเขา เขารู้สึกราวกับว่า ปราณแท้และจิตสัมผัสเทพของเขากำลังไหลเวียนอยู่ในพู่กันยันต์อักขระเหมือนสายน้ำ และมันไหลอย่างราบรื่นจนมาบรรจบที่ปลายพู่กันในตอนท้าย ความรู้สึกนี้ราวกับว่าเขากำลังขยับแขนของตัวเอง และดูเหมือนว่าแปรงยันต์อักขระได้กลายเป็นมือของปราณแท้และจิตสัมผัสเทพของเขา ทำให้พวกมันสามารถเชื่องโยงกันอย่างใกล้ชิด

‘พู่กันนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อต่อต้านตระกูลซือคง ดังนั้นข้าจะเรียกมันว่าพู่กันผลาญนภา*[1]’ หลังจากที่เฉินซีตรวจสอบมันเสร็จสิ้น เขาก็วางพู่กันผลาญนภาลงและเริ่มสร้างกระดาษยันต์อักขระ

อย่างไรก็ตาม เฉินซีกลับไม่เคยคาดคิดมาก่อน ว่าแปรงผลาญนภาที่เขาตั้งชื่ออย่างลวก ๆ นี้ จะทำให้โลกแห่งค่ายกลยันต์อักขระต้องปั่นป่วนไปชั่วนิรันดร์

[1]ตัวอักษร ‘空’ ในนามสกุลซือคง ซึ่งใช้ในชื่อของพู่กัน เพื่อเน้นย้ำถึงเหตุผลที่ถูกสร้างขึ้นในการทำลายล้างตระกูลซือคง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]