บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 293

บทที่ 293 พายุกำลังก่อตัว

บทที่ 293 พายุกำลังก่อตัว

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ร่างสองร่างกระโจนออกมาจากกำแพงเมืองและพุ่งเข้าใส่พายุฝนที่โหมกระหน่ำก่อนจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในทันที

หลังจากบินเป็นระยะทางสองร้อยห้าสิบลี้ เฉินซีกับมู่ขุยก็มาถึงเทือกเขาที่กว้างใหญ่ จากนั้นพวกเขาก็ค้นหาถ้ำธรรมชาติที่ซ่อนอยู่ภายในช่องเขาก่อนที่จะหยุดพัก

เทือกเขาที่กว้างใหญ่นี้ครอบคลุมพื้นที่เกือบสองร้อยห้าสิบลี้ อีกทั้งยังถูกปกคลุมด้วยช่องเขาและต้นไม้โบราณที่สูงตระหง่าน ด้วยเหตุนี้ หากมีใครซ่อนตัวอยู่ภายในนั้น ก็เป็นเรื่องยากยิ่งที่จะค้นพบร่องรอยของคนผู้นั้น

“สถานที่นี้อยู่ห่างจากเมืองเฟิงเย่เพียงสองร้อยห้าสิบลี้ ทำให้เราสามารถเดินหน้าหรือถอยหลังได้อย่างอิสระ ดังนั้นเรามาพักอยู่ที่นี่สักสองสามวันเถิด” เฉินซีสั่ง

“นายท่าน ข้าจะไปดูว่ามีอันตรายอยู่ในบริเวณโดยรอบหรือไม่” มู่ขุยพยักหน้า ในขณะที่เขากล่าว ร่างนั้นก็หายตัวไปที่ทางเข้าถ้ำและพุ่งเข้าไปในม่านฝน

เฉินซีจ้องอย่างว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกจากถ้ำและเริ่มตรวจสอบบริเวณรอบตัวเขา

ช่องเขานี้ค่อนข้างซ่อนเร้น มีภูเขาที่อุดมสมบูรณ์ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลัง ในภูเขามีน้ำตกมากมายที่เหมือนกับมังกรขาวไหลลงมา ในขณะที่น้ำพุธรรมชาติไหลออกมาจากรอยแยกระหว่างโขดหินในช่องเขานี้ ซึ่งบางแห่งก็บุ๋มลงไปจนกลายเป็นแอ่งน้ำขนาดเล็กใหญ่จำนวนมาก ที่เบื้องหน้าช่องเขา ทะเลสาบใสกระจ่างเป็นอย่างมาก และเมื่อพายุฝนพัดกระหน่ำ ปลาหลากหลายชนิดจะกระโดดออกมาจากทะเลสาบอยู่บ่อยครั้ง ทำให้มันเต็มไปด้วยความชีวิตชีวา

‘แม้ว่าทิวทัศน์แถวนี้จะงดงามและร่มเย็น แต่ก็ไม่ใช่สถานที่ที่ข้าจะอยู่ตลอดไป’ เฉินซีส่ายศีรษะ วันเวลาที่สวยงามมักจะหายไปในวันหนึ่ง และความแข็งแกร่งของตัวเองเท่านั้นที่จะอยู่ติดตัวตลอดไป

หลังจากที่เขากลับมาที่ถ้ำ เฉินซีก็นั่งไขว่ห้างบนพื้นและเริ่มตรวจสอบสิ่งของที่ริบมาจากการต่อสู้ในครั้งนี้ “สมบัติวิเศษระดับปฐพีขั้นสุดยอดสองชิ้น ซึ่งได้แก่ดาบพิภพมารและพัดขนนกโลหิตคราม โอสถกลั่นแรกเริ่มหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นเม็ดและเคล็ดวิชาการบ่มเพาะอีกสองวิชา ซึ่งหนึ่งในเคล็ดวิชานั้นคือพลังอิทธิฤทธิ์ที่ถูกเรียกว่า ‘ร่างแปลงสวรรค์’ และอีกเคล็ดวิชาคือทักษะการใช้จิตสัมผัสเทพที่ถูกเรียกว่า ‘วิชาคลื่นจิตสะท้อน’ นอกจากนี้ ในของที่ริบมายังมีสิ่งของอื่น ๆ อยู่บ้าง แต่พวกมันกลับไม่มีค่าสักเท่าไรนัก

สิ่งเหล่านี้คือของที่ริบมาจากหนิงอี้ หลัวกุ้ย และซิวซานเหนียง แต่ความสนใจของเฉินซีกลับถูกกระตุ้นโดยเคล็ดวิชาการบ่มเพาะทั้งสอง

พลังอิทธิฤทธิ์ที่ถูกเรียกว่าร่างแปลงสวรรค์ สามารถทำให้ร่างกายของเขาเปลี่ยนเป็นขนาดมหึมาที่มีขีดจำกัดอยู่ที่เก้าพันจั้ง ในเวลานั้น พละกำลังของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และการกระทืบเท้าเพียงครั้งเดียวก็มีพลังที่สามารถถล่มเทือกเขา ระเบิดหินให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ หรือผ่าแยกทั้งภูเขาและแม่น้ำให้ออกจากกัน นี่เป็นพลังอิทธิฤทธิ์ที่พบได้ทั่วไปในโลกแห่งการบ่มเพาะ และผู้บ่มเพาะทุกคนที่มีการบ่มเพาะการแปรสภาพกายาในขอบเขตตำหนักอินทนิลก็สามารถฝึกฝนมันได้

แต่สิ่งที่กระตุ้นความสนใจของเฉินซีคือ ภายใต้สภาวะร่างแปลงสวรรค์ เขายังคงสามารถใช้พลังอิทธิฤทธิ์อื่น ๆ ได้ในเวลาเดียวกัน และนี่เป็นสิ่งที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง เขาจินตนาการว่าถ้าเขาแปลงร่างจนสูงถึงเก้าพันจั้ง และใช้ฝ่ามือมหาดาราออกไป พลังทำลายล้างที่เกิดขึ้นจากมันจะน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงไหน?

แต่น่าเสียดาย จนกระทั่งถึงตอนนี้ยังไม่มีผู้ใดในโลกแห่งการบ่มเพาะที่สามารถบ่มเพาะร่างแปลงสวรรค์จนมีร่างกายสูงถึงเก้าพันจั้งได้ และตามตำนานที่เล่าขาน มีเพียงเทพอสูรโบราณเท่านั้นที่สามารถทำได้

ซึ่งอันที่จริง การบ่มเพาะร่างกายจนสามารถแปลงร่างให้สูงถึงเก้าสิบเก้าจั้งนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเป็นอย่างมาก

แต่สิ่งนี้ก็ยังไม่สามารถหยุดเฉินซีที่จะบ่มเพาะมันได้ เพราะเขาได้ตัดสินใจแล้วว่า ในอนาคต เขาจะใช้ร่างแปลงสวรรค์เป็นความสามารถที่สำคัญในการต่อสู้

นอกจากนั้น เคล็ดวิชาการใช้จิตสัมผัสเทพที่เรียกว่าวิชาคลื่นจิตสะท้อน ก็ทำให้เฉินซีรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากเขาเพิ่งรู้ว่าจิตวิญญาณสามารถถูกควบคุมอารมณ์และใช้ประโยชน์ได้เช่นนี้ ซึ่งมันทำให้เขาได้รู้แจ้งและต้องสรรเสริญอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในทันใด

ตามที่เขาคาดการณ์ ถ้าเขาบ่มเพาะวิชาคลื่นจิตสะท้อน อย่างน้อยเขาก็จะสามารถสังเกตเห็นอันตรายได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เมื่อเขาพบกับมันในอนาคต และเขาจะไม่นิ่งเฉยเหมือนในอดีตอีกต่อไป

“นายท่าน มีเพียงสัตว์อสูรขอบเขตตำหนักอินทนิลบางตัวเท่านั้นที่เคลื่อนไหวอยู่ใกล้เคียง และไม่มีอันตรายร้ายแรงอื่นขอรับ” ในขณะเดียวกัน มู่ขุยได้เดินเข้าไปในถ้ำและกล่าวพร้อมกับโค้งคำนับ

เฉินซีพยักหน้าและกล่าวว่า “ทำใจให้สบายและบ่มเพาะเถอะ ถ้าข้าจำไม่ผิด กองกำลังของตระกูลซือคงจะรีบมาหาเรา เมื่อถึงเวลานั้น การต่อสู้ที่แท้จริงจะเริ่มขึ้น และเราจะไม่โชคดีเหมือนเมื่อก่อน”

“โชคดีหรือ?” มู่ขุยเกาศีรษะของเขาและหัวเราะอย่างมีเลศนัย “เหตุใดข้าถึงคิดว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของนายท่านมาตลอด”

“นั่นเป็นเพราะยันต์เลิศล้ำจากถุงเมล็ดห้าธาตุ แต่ถ้าไม่มี หินผลึกมิติข้าก็ไม่สามารถสร้างมันได้อีก” เฉินซีส่ายศีรษะขณะที่เขากล่าว

อันที่จริง เขาเองก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากเช่นกัน ถ้าเขามีหินผลึกมิติเพียงพอ เขาก็สามารถอยู่ในโรงเตี๊ยมได้ เว้นเสียแต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีที่เข้าใจเต๋ารู้แจ้งแห่งมิติจะมาเอง มิฉะนั้น ไม่ว่าตระกูลซือคงจะส่งคนออกไปเท่าไร พวกมันก็ไม่สามารถคุกคามเขาได้

แน่นอนว่าพวกมันไม่สามารถคุกคามเขาได้

ท้ายที่สุดแล้ว ฐานการบ่มเพาะของหนิงอี้ หลัวกุ้ย และซิวซานเหนียงก็อยู่ที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง เมื่ออาศัยการบ่มเพาะในปัจจุบันของเฉินซีและเปิดฉากด้วยการลอบโจมตี เขาก็ยังสามารถฆ่าพวกมันได้ แต่ถ้าผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติหรือสูงกว่านั้นปรากฏตัวขึ้น เขาก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้เช่นกัน

เมืองเฟิงเย่ ณ จวนตระกูลซือคง

ซือคงเหินวางงูตัวเล็กที่มีสีดำสนิทเหมือนนิล หนาเหมือนนิ้วหัวแม่มือ และปกคลุมด้วยชั้นเกล็ดน้ำแข็งที่เย็นยะเยือกลงในตราผนึกสัตว์อสูรอย่างระมัดระวัง

“มันได้หนีออกจากเมืองจริงหรือ? ฮึ่ม! ค้นหาต่อไป พวกเจ้าต้องหาเป้าหมายให้เจอ!” ซือคงเหินสั่งอย่างเย็นชา

“รับทราบ นายน้อยใหญ่” สมาชิกขององค์รักษ์เงาพยักหน้า ด้วยการพลิกฝ่ามือของเขา อินทรีสายฟ้าครามที่ใช้สำหรับการส่งข้อมูลโดยเฉพาะก็ปรากฏขึ้นบนนั้น จากนั้นเขาก็ปล่อยมันขึ้นสู่ท้องฟ้าในยามค่ำคืน

“ทุกคน เป้าหมายในการไล่ล่าของเราในครั้งนี้คือผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำขั้นสมบูรณ์แบบ จงได้อย่าประมาทมัน เจ้าเด็กคนนี้สามารถรอดจากเงื้อมมือของหนิงอี้ หลัวกุ้ย และซิวซานเหนียงได้ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่คนที่ผู้บ่มเพาะธรรมดาจะเปรียบเทียบได้” ซือคงเหินกวาดสายตาไปที่ศิษย์ทั้งสิบแปดคนของตระกูล ซึ่งมีฐานการบ่มเพาะที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างเย็นชาว่า “แต่พวกเจ้าทุกคนไม่ต้องระแวดระวังมากเกินไป ครั้งนี้ข้าจะเป็นคนลงมือเอง และเหตุผลที่ข้าจะพาพวกเจ้าไปด้วย ก็เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?”

“รับทราบ!” ทุกคนกล่าวรับอย่างพร้อมเพรียง จากนั้นถูกำปั้นเข้าด้วยกันอย่างกระตือรือร้นและปล่อยจิตสังหารออกมา

“ดีมาก! หากภารกิจครั้งนี้สำเร็จ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเจ้าทุกคนอย่างแน่นอน เอาล่ะ ออกเดินทางเดี๋ยวนี้!” หลังจากที่ซือคงเหินบรรยายสรุปให้พวกเขาฟังเสร็จแล้ว ร่างของเขาก็สว่างวาบขึ้นเพื่อทะยานออกจากเมือง

ศิษย์ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางทั้งสิบแปดคนไม่กล้าชักช้าและพวกเขาก็ทะยานกลายเป็นริ้วแสงที่ติดตามข้างหลังเขาอย่างใกล้ชิด

เมื่อทุกคนจากไปแล้ว ร่างสูงใหญ่ที่ดูน่าประทับใจก็เดินออกมาจากเงามืด ดวงตาของคนผู้นี้เหมือนสายฟ้าแลบและดุร้ายเหมือนดวงตาของพยัคฆ์ ซึ่งเขาได้แสดงท่าทางที่องอาจขณะที่กลิ่นอายที่ครอบงำและชั่วร้ายหลั่งไหลอยู่บนร่างกายของเขา น่าตกใจที่เขาคือผู้นำตระกูลซือคง ซือคงเสี่ยวอวิ๋น

“ท่านผู้นำ ข้าขอติดตามนายน้อยใหญ่เพื่อปกป้องเขาจากเหตุร้าย ได้หรือไม่” ชายชราที่มีผมหงอกปรากฏตัวขึ้นหลังจากซือคงเสี่ยวอวิ๋น ผิวของเขาเรียบเนียนเหมือนทารก และทุกการเคลื่อนไหวของเขาก็แฝงไปด้วยปราณที่ร้ายกาจและแข็งแกร่ง เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติ

“ไม่จำเป็น หยกที่ยังไม่ได้เจียระไนและไม่ได้ขัดเงา ไม่อาจทำสิ่งใดได้ เหินเอ๋อร์เป็นคนหยิ่งยโสและจองหอง ดังนั้นการทนทุกข์กับความล้มเหลวบางอย่างจึงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสำหรับเขา” ซือคงเสี่ยวอวิ๋นส่ายศีรษะ

“ท่านผู้นำตระกูล ให้ข้าตามเขาไปเถิดขอรับ ข้าเฝ้าดูนายน้อยใหญ่เติบโตมาตลอด ดังนั้นหากข้าไม่ได้ดูแลเขา ข้าก็รู้สึกกังวลอยู่ในใจ ท่านผู้นำตระกูลไม่ต้องกังวล เว้นแต่จะเป็นตกอยู่ในอันตราย ข้าจะไม่ยื่นมือเข้าไปเด็ดขาด” ชายชราผมหงอกร้องขออีกครั้ง

“หย่งหลินเอ๋ยหย่งหลิน ข้าควรจะกล่าวกับเจ้าอย่างไรดี? ในเมื่อเจ้าต้องการปกป้องเด็กคนนั้นถึงขนาดนี้ ถ้าข้ายังไม่อนุญาต ข้าเกรงว่าเจ้าจะต้องโกรธข้าอย่างแน่นอน” ซือคงเสี่ยวอวิ๋นถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้

ชายชราผมหงอกหัวเราะเบา ๆ และกล่าวว่า “ท่านผู้นำตระกูล ท่านรู้จักข้าดีที่สุด”

“ไปเถอะ แต่หย่งหลิน จะเป็นการดีที่สุดถ้าเจ้าไม่ปรากฏตัวในที่สาธารณะ เนื่องจากเจ้าฆ่าศิษย์ของนิกายสวรรค์ปฐพีอย่างไร้ความปรานีไปเมื่อหลายปีก่อน และเจ้าตกเป็นเป้าหมายของพวกเฒ่าประหลาดของนิกายสวรรค์ปฐพีอยู่ เมื่อเจ้าเปิดเผยร่องรอยออกมา ข้าเกรงว่าแม้แต่ตัวข้าเองก็จะปกป้องเจ้าไม่ได้” ซือคงเสี่ยวอวิ๋นกล่าว

ดวงตาของชายชราผมหงอกทอประกายเย็นยะเยือก เมื่อเขาได้ยินคำว่านิกายสวรรค์ปฐพี จากนั้นพวกมันก็ฟื้นคืนสู่สภาพปกติและเขากล่าวในขณะที่พยักหน้าว่า “ข้าเข้าใจแล้ว” ทันทีที่เขากล่าวจบ ร่างของเขาก็สั่นสะเทือนและเปลี่ยนเป็นแสงสีดำสนิทที่หายไปอย่างรวดเร็วจนไร้ร่องรอย

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]