บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 322

บทที่ 322 ตัวนำโชค

บทที่ 322 ตัวนำโชค

ท้องฟ้ายามค่ำคืนมืดมิดประหนึ่งหมึก

การชุมนุมธารทองที่ดำเนินมาหลายวันนี้ได้สิ้นสุดลงแล้วในวันนี้ และผู้บ่มเพาะหลายคนที่มาจากแดนไกลก็เลือกที่จะเฉลิมฉลองในคืนนี้ ไม่ว่าจะชนะหรือพ่ายแพ้ พวกเขาก็จะออกจากเมืองที่ปกคลุมด้วยหมอกและทะเลสาบนับพันแห่งในวันพรุ่งนี้

แม้ว่าการชุมนุมธารทองครั้งนี้จะไม่อาจกล่าวได้ว่ายอดเยี่ยมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่ก็เพียงพอที่จะกล่าวได้ว่างดงามและเต็มไปด้วยการพลิกผันที่ไม่รู้จบ อย่างไรก็ตาม ในหมู่พวกเขามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย นั่นคือ เฉินซี

จี้เยว่แห่งนิกายเหนือเศียรจากแดนเถื่อนทางตอนเหนือ ฮวาโม่เป่ยแห่งเกาะบ่อหยกสวรรค์จากทะเลตะวันออก หวังเต้าซวี่แห่งนิกายแสงจรัส… ผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์ทั้งหมดล้วนพ่ายแพ้ภายใต้คมกระบี่ของเฉินซี

ด้วยเหตุนี้ เฉินซีจึงกลายเป็นผู้บ่มเพาะคนแรกในประวัติศาสตร์ของดินแดนทางใต้ที่ได้รับชัยชนะหนึ่งร้อยครั้งติดต่อกันในการชุมนุมธารทอง นอกจากนี้เขายังเป็นผู้เดียวที่ได้รับชัยชนะหนึ่งร้อยครั้งติดต่อกันในการชุมนุมธารทองครั้งนี้

การสนทนาที่เกี่ยวข้องกับเฉินซีจึงกลายเป็นหัวข้อที่ร้อนแรงที่สุดบนท้องถนนและตามร้านอาหารของเมืองนภาคราม และมันก็ไม่ได้ซาลงแม้การชุมนุมธารทองจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่กลับทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นชาติกำเนิด ประวัติความเป็นมา หรือสิ่งที่เขาเผยออกมาในระหว่างการชุมนุมธารทอง ล้วนเป็นหัวข้อที่ทำให้ผู้คนสนทนาอย่างมีชีวิตชีวาเมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้

ถึงขนาดที่แผ่นหยกเงาซึ่งบันทึกการต่อสู้ทั้งหมดของเฉินซีในระหว่างการชุมนุมธารทองที่ทำโดยพ่อค้าหัวใสได้กลายเป็นสินค้าขายดีเป็นเทน้ำเทท่าและเป็นที่ต้องการมากที่สุดในท้องตลาดขณะนี้

บางคนซื้อมันเพื่อวิเคราะห์เคล็ดวิชาการต่อสู้ของเฉินซี บางคนซื้อมันเพื่อให้ลูกหลานของพวกเขายึดถือเฉินซีเป็นแบบอย่างและบ่มเพาะอย่างขยันขันแข็ง หรือบางคนซื้อมันเพื่อการสะสมเท่านั้น แต่สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงก็คือคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นหญิงสาวที่ตกอยู่ในห้วงความลุ่มหลง…

ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ ทันทีที่เฉินซีและมู่ขุยเพิ่งก้าวเดินออกมาจากโรงเตี๊ยม ผู้คนจึงจดจำพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว และไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใด พวกเขาจะถูกสายตาของผู้คนนับไม่ถ้วนจับจ้อง มีแม้กระทั่งหญิงสาวใจกล้าบางคน ถึงขั้นรวบรวมความกล้าก้าวไปข้างหน้าและมอบถุงหอม จี้หยก ปิ่นปักผมหยก หรือสิ่งอื่น ๆ ที่พวกนางพกติดตัวมาเพื่อแสดงความรักหรือนิยมชมชอบ ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เฉินซีรู้สึกหนังศีรษะชาหนึบและไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องหลบหนีพวกนางด้วยความกระอักกระอ่วน

หญิงสาวเหล่านี้เปี่ยมล้นไปด้วยความสเน่หาและความหลงใหล

เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้มาก ๆ เข้า เฉินซีจึงไม่กล้าเดินไปตามท้องถนนโดยเปิดเผยรูปร่างหน้าตาของตัวเองอีก เขาซื้อเสื้อคลุมและถอนหายใจอย่างโล่งอกหลังจากที่สวมมัน หลังจากนั้นเขากับมู่ขุยก็เริ่มซื้อวัสดุที่จำเป็นสำหรับการสร้างยันต์อักขระ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เฉินซีต้องอับจนหนทางหลังจากเดินทอดน่องผ่านร้านค้านับไม่ถ้วนก็คือ วัสดุที่เขาซื้อมานั้นสามารถสร้างยันต์เลิศล้ำระดับสูงได้เพียงเจ็ดแผ่นเท่านั้น แต่เมื่อเขาไตร่ตรองถึงเรื่องนี้ เขาก็เข้าใจถึงปัญหาของมัน เนื่องจากวัสดุเหล่านี้ล้วนหายากและล้ำค่า ดังนั้นการหาซื้อพวกมันได้จำนวนขนาดนี้จากท้องตลาดก็นับว่าดีมากแล้ว หากเป็นภายใต้สถานการณ์ปกติ วัสดุล้ำค่าหายากเหล่านี้จะปรากฏในการประมูลเท่านั้น

แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นหลัก ประเด็นหลักที่แท้จริงคือหลังจากที่เขาซื้อวัสดุเหล่านี้ โอสถกลั่นแรกเริ่มสองล้านเม็ดที่เขาได้เป็นรางวัลจากการชุมนุมธารทองก็ถูกใช้ไปหมดสิ้น และเขายังต้องจ่ายโอสถกลั่นแรกเริ่มของตัวเองออกไปอีกสามหมื่นเม็ดด้วยซ้ำ ซึ่งนับได้ว่าวัสดุที่ใช้สร้างยันต์เลิศล้ำขั้นสูงเจ็ดแผ่นนั้นมีมูลค่าเท่ากับโอสถกลั่นแรกเริ่มสองล้านสามหมื่นเม็ดเลยทีเดียว!

เมื่อเขานึกถึงตอนที่ตัวเองกับมู่ขุยได้ใช้ยันต์เลิศล้ำระดับสูงไปสิบห้าแผ่นเพื่อต่อสู้กับซือคงเหินและผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ในคราวเดียว เฉินซีก็ไม่อาจสงบสติอารมณ์ได้เท่าไร เพราะถ้าคำนวณถึงมูลค่าของยันต์ที่ใช้ไปเหล่านั้นโดยแลกเปลี่ยนเป็นโอสถกลั่นแรกเริ่ม มันจะมีมูลค่าถึงเพียงใด?

‘ไม่แปลกใจเลยที่ยันต์เลิศล้ำระดับสูงจะหายากมาก แค่วัสดุในการสร้างพวกมันก็หายากอย่างน่าอัศจรรย์แล้ว อีกทั้งยังต้องมอบความไว้วางใจให้กับปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระเพื่อสร้างมันขึ้นมา มูลค่าของมันก็จะสูงยิ่งขึ้น…’

แต่หลังจากที่เขากลับมาที่โรงเตี๊ยม เฉินซีก็เลิกคิดถึงเรื่องที่ไม่จำเป็นและจ้องมองไปที่วัสดุต่าง ๆ ที่วางอยู่เต็มโต๊ะ เขาครุ่นคิดถึงขั้นตอนของการสร้างยันต์อักขระต่าง ๆ ในใจของเขาอย่างเงียบ ๆ

โดยไม่รู้ตัว เวลาก็ได้ล่วงเลยมาจนถึงกลางดึกและใกล้จะรุ่งสางในอีกไม่กี่ชั่วยาม

สายลมอ่อน ๆ พัดผ่านท้องฟ้า ท้องฟ้ายามค่ำคืนนี้ดูเงียบสงบ และปลอดโปร่งยิ่ง

ดวงตาที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้นของเฉินซีหรี่ลงอย่างกะทันหัน และเขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นในขณะที่กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ในเมื่อเจ้ามาแล้ว เหตุใดถึงต้องปกปิดตนเองอยู่อีก”

หน้าต่างเปิดออกช้า ๆ โดยไม่ใช่ผลจากสายลม จากนั้นก็มีชายหนุ่มเท้าเปล่าในชุดผ้าป่านเดินเข้ามา ใบหน้าที่เรียบเนียนของเขามีความหนักแน่นและจริงจัง ดอกบัวสีแดงสดที่งดงามราวกับรอยสักก็ปรากฏขึ้นบนศีรษะที่ล้านเลี่ยนของเขา แท้จริงแล้วเขาคือจี้เยว่ ผู้เป็นศิษย์ของนิกายเหนือเศียรจากแดนเถื่อนทางตอนเหนือ

“พี่เฉินอยู่จนดึกดื่นเช่นนี้ หรือว่าท่านกำลังรอข้ามาโดยตลอด?” ดูเหมือนจี้เยว่จะไม่แปลกใจที่เฉินซีสามารถสังเกตเห็นการมาถึงของเขา และในความเป็นจริง เขาก็ไม่ได้ปกปิดร่องรอยของเขาเลยแม้แต่น้อย

เฉินซีเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะและจ้องตรงไปยังผู้ขัดเกลากายาที่ช่ำชองทั้งในวิถีแห่งพุทธและอสูรขณะที่เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบว่า “เจ้าติดตามข้ามาตลอดตั้งแต่ข้าออกจากโรงเตี๊ยม มันคงจะแปลก ถ้าเจ้าไม่ปรากฏตัวในคืนนี้”

จี้เยว่ตกตะลึง จากนั้นเขาก็หัวเราะเบา ๆ “ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าพี่เฉินจะสังเกตเห็นถึงตัวข้า”

เฉินซีจ้องมองจี้เยว่อย่างเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายศีรษะและถอนหายใจพร้อมกับกล่าวว่า “หากเจ้ามีสิ่งใดก็กล่าวมาตามตรงเถอะ เจ้าคงไม่ได้มาที่นี่ตอนกลางดึกเพียงเพื่อสนทนากับข้าหรอกใช่หรือไม่?”

“เอาล่ะ ในเมื่อพี่เฉินเป็นคนตรงไปตรงมา เช่นนั้นข้าขอเรียนตามตรงว่าที่ข้ามาที่นี่ในครั้งนี้ก็เพื่อสิ่งเดิมพันเมื่อวันก่อน” จี้เยว่ยิ้มบางและกล่าวว่า “แน่นอนว่าเพื่อให้พี่เฉินเต็มใจมอบเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ให้แก่ข้า นอกจากเคล็ดวิชาการบ่มเพาะของนิกายพุทธแล้ว ข้าจะมอบเคล็ดวิชาการบ่มเพาะของนิกายอสูรให้อีกเช่นกัน เพราะท้ายที่สุดแล้ว แม้ว่าเคล็ดวิชาของนิกายพุทธกับนิกายอสูรจะแตกต่างกัน แต่ก็สามารถเกื้อหนุนกันได้ หากท่านเชี่ยวชาญพวกมันอย่างถ่องแท้และผสานพวกมันเข้าด้วยกัน ความแข็งแกร่งของพี่เฉินจะยกระดับไปมากกว่านี้อย่างแน่นอน ดังนั้นด้วยเงื่อนไขเหล่านี้เพียงพอที่จะบ่งบอกถึงความจริงใจของข้าได้หรือไม่?”

เฉินซีไม่ได้ไตร่ตรองถึงเรื่องนี้เลยสักนิด ก่อนที่เขาจะตอบกลับอย่างราบเรียบว่า “ข้าไม่ต้องการมัน ขอบคุณสำหรับความหวังดีของเจ้า”

ใบหน้าของจี้เยว่แข็งค้าง และเขาพยายามข่มความโกรธไว้ในใจขณะที่เขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เหตุใดท่านถึงไม่ไตร่ตรองดูอีกสักครั้งล่ะพี่เฉิน? หากพลาดโอกาสเช่นนี้แล้ว ท่านจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน”

มุมปากของเฉินซีมีร่องรอยของการเหยียดหยามขณะที่เขากล่าวว่า “สิ่งที่ข้าอยากรู้ก็คือ ตัวเจ้ามั่นใจแล้วหรือว่าจะสามารถโน้มน้าวข้าโดยอาศัยเคล็ดวิชาการบ่มเพาะทั้งสองนี้?

“ไม่ แต่เขาก็ไม่ต่างอะไรจากคนตายแล้ว” เฉินซีส่ายศีรษะ

“เยี่ยมมาก ให้ข้าดูว่าคนผู้นี้มีสิ่งใดอยู่บ้าง…” มู่ขุยไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านั้น เขาถูฝ่ามือเข้าด้วยกันขณะที่เขาพุ่งไปข้างหน้าเพื่อเริ่มค้นหาของที่ริบมาได้

จี้เยว่คนนี้คู่ควรแก่การได้รับการขนานนามว่าเป็นศิษย์ที่มาจากนิกายที่ยิ่งใหญ่เช่นนิกายเหนือเศียร เขาครอบครองโอสถกลั่นแรกเริ่มมากกว่าหนึ่งล้านเม็ด และโอสถทิพย์ต่าง ๆ ที่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บ ซึ่งมีมูลค่ามหาศาลในตลาดเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ยังมีเคล็ดวิชาการบ่มเพาะพลังอิทธิฤทธิ์อีกสองอย่าง ซึ่งก็คือเคล็ดวิชาอวตารเทพและเคล็ดวิชาฝ่ามือผนึกโพธิสัตว์ราชสีห์มังกร ส่วนเคล็ดวิชาการบ่มเพาะของนิกายพุทธและเคล็ดวิชาการบ่มเพาะของนิกายอสูร เขาไม่ได้พกติดตัวมาด้วย

เฉินซีอดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะเมื่อเห็นสิ่งนี้ ‘คนผู้นี้มาที่นี่ในคืนนี้ แต่ไม่มีความตั้งใจที่จะแลกเคล็ดวิชาการบ่มเพาะของนิกายพุทธและนิกายอสูรกับเจดีย์บำเพ็ญทุกข์เลยสักนิด มิฉะนั้น เหตุใดเขาถึงไม่พกติดตัวมาด้วย?’

อย่างไรก็ตาม เฉินซีกลับชื่นชอบเคล็ดวิชาอวตารเทพที่มีพลังอิทธิฤทธิ์จนไม่อยากปล่อยมันไป พลังอิทธิฤทธิ์นี้ไม่จำเป็นต้องบ่มเพาะโดยผู้บ่มเพาะนิกายพุทธเท่านั้น แต่ผู้บ่มเพาะกายาคนอื่น ๆ ก็สามารถบ่มเพาะมันได้เช่นเดียวกัน และเฉินซีก็สังเกตว่าเคล็ดวิชาอวตารเทพและร่างแปลงสวรรค์มีความคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง เนื่องจากทั้งสองวิชานี้สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายได้ในพริบตาและใช้เพื่อส่งเสริมความสามารถอื่น ๆ ของพลังอิทธิฤทธิ์ ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวของทั้งสองวิชานี้ก็คือ ร่างแปลงสวรรค์สามารถซื้อได้ทั่วไปในท้องตลาด ในขณะที่เคล็ดวิชาอวตารเทพเป็นเคล็ดวิชาลับที่ไม่ถ่ายทอดให้กับคนนอกนิกาย ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพบมันในท้องตลาด และจะสามารถพบได้ในนิกายเก่าแก่และนิกายใหญ่บางแห่งเท่านั้น

เฉินซีอดไม่ได้ที่จะคาดเดาเล็กน้อย ‘พลังของฝ่ามือมหาดารานั้นจะน่าสะพรึงกลัวเพียงใด หากข้าผสานมันเข้ากับเคล็ดวิชาอวตารเทพและร่างแปลงสวรรค์ก่อนที่จะใช้มันออกไป’

“เอ๊ะ นายท่าน ดูนี่สิขอรับ สิ่งนี้มันคืออะไรกัน” มู่ขุยกล่าวออกมาทันที เขาถือผลึกสีแดงเลือดไว้ในมือ และมันก็เป็นสิ่งที่เขาพบจากกองสิ่งของที่จี้เยว่ครอบครองอยู่

ผลึกสีแดงเลือดนี้มีรูปร่างเหมือนเพชร มันเป็นผลึกโปร่งแสงสมบูรณ์และมีของเหลวที่ดูเหมือนเลือดไหลเวียนอยู่ภายใน เมื่อมองจากระยะไกล เฉินซียังสัมผัสได้ถึงพลังโลหิตที่แข็งแกร่งที่จู่โจมใบหน้าของเขา นอกจากนี้มวลพลังเลือดนี้ยังไม่มีกลิ่นคาวของเลือด แต่เป็นพลังงานที่บริสุทธิ์และเข้มข้นแทน เมื่อเขาสูดดมกลิ่นของมัน ก็ให้ความรู้สึกเสมือนกับการดื่มน้ำค้าง ทำให้เลือดเนื้อในร่างกายของเขารู้สึกถึงความสบาย

“ผลึกโลหิตจ้าววิญญาณ!?” เฉินซีโพล่งออกมาอย่างกะทันหัน ดูเหมือนว่าเขาจะเคยได้ยินมาเล็กน้อยว่า “เมื่อมีใครบ่มเพาะกายาจนบรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแล้ว การเติมเต็มของปราณจ้าววิญญาณจะพบกับอุปสรรคครั้งใหญ่ เมื่อปราณจ้าววิญญาณเหือดแห้งและหมดสิ้นไป มันจะต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูเป็นอย่างมาก แต่ถ้ามีผลึกโลหิตจ้าววิญญาณอยู่ในความครอบครอง หลังจากที่ดูดซับพลังงานจำนวนมหาศาลที่บรรจุอยู่ภายใน มันก็สามารถเปลี่ยนเป็นปราณจ้าววิญญาณทันทีที่เมื่อมันหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ปราณจ้าววิญญาณที่เหือดแห้งฟื้นคืนสู่สภาพเดิม”

สมบัติวิเศษชิ้นนี้เกือบจะคล้ายกับโอสถกลั่นแรกเริ่มและโอสถเหลวหยกนภาที่ผู้บ่มเพาะปราณต้องการ และสรรพคุณของมันก็คล้ายคลึงกัน

“คนผู้นี้มีของเหล่านี้อยู่กี่ชิ้น?” ความรู้สึกตื่นเต้นพลุ่งพล่านอยู่ในใจของเฉินซี เนื่องจากเขาแน่ใจว่าผลึกสีเลือดเหล่านี้คือผลึกโลหิตจ้าววิญญาณ ซึ่งว่ากันว่าสมบัติชิ้นนี้อยู่ในใจกลางโลกและได้รับการหล่อเลี้ยงจากแก่นแท้ของโลก ทำให้มันหายากและรวบรวมได้ยาก

“เขามีมันอยู่เกือบหมื่นชิ้นเป็นอย่างน้อย ซึ่งก่อนหน้านี้ข้าคิดว่ามันเป็นเพียงกองอัญมณีสีแดงที่ไร้ประโยชน์เท่านั้น” มู่ขุยเกาศีรษะและหัวเราะเบา ๆ

“ดูเหมือนจี้เยว่จะเป็นดั่งตัวนำโชคให้แก่ข้าจริง ๆ ไม่เพียงแต่มอบพลังอิทธิฤทธิ์ที่น่าเกรงขามให้กับข้าเท่านั้น แต่เขายังมีผลึกโลหิตจ้าววิญญาณอยู่เป็นจำนวนมากอีกด้วย การมีพวกมันอยู่ในความครอบครองควบคู่ไปกับวารีศักดิ์สิทธิ์ชำระไอมารและจี้หยกวิญญาณมังกร ข้าจะสามารถขัดเกลากายาจนบรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยางได้อย่างราบรื่นภายในสามเดือน!” เฉินซีกำหมัดแน่นขณะที่เขากล่าวด้วยแววตาที่ลุกโชน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]