บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 42

บทที่ 42 โทสะของเฉินซี
บทที่ 42 โทสะของเฉินซี

เมืองอาบโลหิตเป็นเมืองแห่งแรกที่จะพบหลังจากก้าวเข้าสู่หุบเขาอาบโลหิต

ในวันแรกที่ดินแดนรกร้างใต้พิภพถูกเปิดออก ตราบใดที่ผู้บ่มเพาะสามารถรอดชีวิตจากเขตนรกฝันร้ายที่เต็มไปด้วยฝุ่น พวกเขาก็จะสามารถมุ่งหน้าไปยังเมืองอาบโลหิตได้

ทางเข้าสู่เมืองอาบโลหิตมีเพียงประตูเมืองเพียงที่เดียว บรรดาผู้บ่มเพาะจึงมารวมตัวกันในที่นี่

หลี่ไฮว่ที่เลือกต่อสู้ในบริเวณนี้ ได้ขัดขวางเส้นทางของผู้คนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ ณ เวลานี้ หาได้มีผู้ใดสนใจ เพราะการแส่ยุ่งเรื่องของชาวบ้านเป็นสันดานทั่วไปของมนุษย์ แม้แต่ผู้บ่มเพาะก็หาได้มีข้อยกเว้น ในเวลานี้ทุกคนจึงกอดอกยืนดูอยู่ห่าง ๆ

ยามที่หลี่ไฮว่ชักกระบี่ออกมา ท่าทางอันน่าเกรงขามและสง่างามก็ดึงดูดสายตาของผู้คนจำนวนมาก ขณะที่พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าภายใต้กระบี่เล่มนี้ ศิษย์ของสำนักพฤกษ์ชาดทั้งสามคนที่ยืนหวาดกลัวจนตัวแข็งทื่ออยู่ จะต้องตกตายในทันที

บางคนก็ไม่อาจทนดูสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้

โฮกกกก!

ในขณะนั้นเอง เสียงที่ราวกับมังกรคำรามก็ดังขึ้น และเงาร่างสีดำก็กระโดดเข้าสู่การต่อสู้ในทันใด กระบี่ที่อยู่ในมือของเงาร่างสีดำนั้นเหมือนกับทางช้างเผือกในสวรรค์ทั้งเก้าขณะที่มันพุ่งทะยานออกไปพร้อมกับเสียงสนั่นปานสายฟ้า

เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!

เสียงกระทบของมีคมสั่นสะเทือนพื้นที่โดยรอบ หลังจากนั้นผู้คนก็เห็นประกายกระบี่ที่ราวกับเม็ดฝนบนท้องฟ้าแตกสลายหายไป ในขณะที่พวกลู่เส้าฉงกำลังตกตะลึง ก็พลันมีชายหนุ่มตัวสูงยืนขวางไว้

“บัดซบ! การโจมตีด้วยกระบี่สังหารนั้นถูกปัดป้องได้อย่างหมดจด นับว่ามีการแสดงที่น่าดูชมเกิดขึ้นแล้ว!”

“เอ๊ะ ทำไมถึงเป็นเจ้าตัวซวยเฉินซีล่ะ? เมื่อใดกันที่เขากลายเป็นคนน่าเกรงขามเช่นนี้?”

“น่าเกรงขาม? เจ้าตัวอัปมงคลกำลังหาที่ตาย! หลี่ไฮว่เป็นถึงบุตรชายคนโตจากตระกูลหลี่ ซึ่งเป็นตระกูลอันดับหนึ่งแห่งเมืองหมอกสน ตั้งแต่เขาออกจากการปิดด่านฝึกฝนเมื่อสามเดือนก่อน เขาก็บรรลุถึงขอบเขตตำหนักอินทนิลแล้ว ข้าคิดว่าเขาคงได้รับบางสิ่งที่คล้ายกับยาผนึกแก่นแท้ เพื่อที่จะเข้าสู่ดินแดนรกร้างใต้พิภพ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังสามารถทำลายผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์ได้อย่างไม่ยี่หระ บอกข้าทีว่าถ้าเจ้านั่นไม่ได้คิดแส่หาที่ตาย แล้วเขากำลังคิดทำสิ่งใดอยู่?”

“เขากำลังคิดทำสิ่งใด” เมื่อได้ยินการสนทนาจากบริเวณโดยรอบ ต้วนมู่เจ๋อพลันขมวดคิ้วขณะที่จดจ้องไปยังเฉินซี จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า “พุ่งไปข้างหน้าอย่างโง่เขลาเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น เป็นไปได้หรือไม่ว่า เขากำลังคิดว่าจะได้รับการปกป้องจากพวกข้า ดังนั้นเขาจึงไปโดยเจตนา”

ตู้ชิงซีไม่ได้กล่าวอะไรในขณะที่นางก็รู้สึกสับสนในใจเช่นกัน

ซ่งหลินผู้ซึ่งเคยอยู่ในอาการง่วงซึมอยู่เสมอ ตอนนี้กลับมีจิตใจที่ลุกโชน ดวงตาของเขาเป็นประกายวาวโรจน์เมื่อจ้องมองไปยังเฉินซี ก่อนจะกล่าวด้วยความชื่นชมจากใจจริง “ผู้คนในสมัยก่อนมีน้ำใจและอบอุ่น พวกเขาเต็มไปด้วยคุณธรรมและความยุติธรรม อาหารที่เฉินซีทำนั้นอร่อยเลิศและจิตใจของเขาก็ดีมากเช่นกัน หากข้าได้เป็นสหายกับคนผู้นี้ ชีวิตของข้าคงพบกับความสุขยิ่ง”

ตู้ชิงซีและต้วนมู่เจ๋อต่างก็ตกตะลึงเมื่อได้ยินถึงสิ่งนี้ พวกเขาพลันเงียบลง

เขามิได้ประเมินตัวเองสูงไปหรอกหรือ? แล้วอีกอย่าง เหตุใดเขาถึงต้องทำเช่นนี้?

ทุกคนล้วนให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลแตกต่างกันไป โดยพิจารณาจากผลประโยชน์และความแข็งแกร่ง นับเป็นเรื่องโชคดีใช่หรือไม่ที่มีคนเยี่ยงนี้ที่คอยตักเตือนเพราะเห็นแก่สหายของเขา

เฉินซีหาได้รู้ว่าการกระทำของเขาได้สั่นคลอนตู้ชิงซีและต้วนมู่เจ๋อยิ่งนัก

…ด้วยขณะนี้เขากำลังเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ และไม่มีเวลาไปสนใจสิ่งอื่นใด

พวกลู่เส้าฉงได้ถอยออกจากสนามรบแล้ว พวกเขารู้สึกขอบคุณเฉินซีจากก้นบึ้งของหัวใจที่ช่วยเหลือพวกเขาอีกครั้ง และพวกเขารู้ดีว่า หากตนเองยังคงอยู่ในสนามรบอีก พวกเขาจะเป็นเพียงภาระให้เฉินซี

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้นพวกเขาได้ตัดสินใจแล้วว่า หากโชคร้ายเกิดขึ้นกับเฉินซี ต่อให้พวกเขาทั้งสามคนต้องพลีชีพ ก็ยังต้องเอาศพศัตรูไปเซ่นสรวงแก่ศพของชายหนุ่ม และต้องทำทุกวิถีทางเพื่อชนะ แม้โอกาสเพียงน้อยนิด แต่เฉินซีเท่านั้นที่จะต้องมีชีวิตรอดต่อไป เพราะเขามีคุณค่าพอที่พวกเขาจะกระทำเช่นนั้น!

“แต่เดิม ข้ายังคงคิดว่าจะจับกุมเจ้าและช่วยคุณหนูซูระบายความโกรธของนางอย่างไรดี แต่ตอนนี้เจ้ามาด้วยตัวเองแล้ว นับว่าเจ้าทำให้ข้าประหลาดใจมาก”

ผมยาวสลวยของหลี่ไฮว่ปลิวไสวเคลียบ่า เขามีท่าทีที่เย็นชาและไม่แยแสต่อทุกสรรพสิ่ง ใช้สายตาจ้องมองไปยังเฉินซีราวกับว่ากำลังจ้องมองคนที่ตายไปแล้ว จากนั้นเขาก็ยกกระบี่ในมือขึ้นก่อนที่จะชี้ไปที่เฉินซีช้า ๆ “กระบี่เล่มนี้เรียกว่า ‘สนกระเพื่อม’ เป็นศัสตราวิเศษ เจ้ากล้าที่จะสู้กับข้าหรือไม่?”

ประโยคเพียงประโยคเดียวแสดงถึงความเย่อหยิ่งและจองหองของหลี่ไฮว่ออกมาอย่างหมดจด และทำให้เกิดเสียงโห่ร้องจากผู้คนที่อยู่รอบข้าง

“สู้!”

ผู้คนในฝูงชนต่างร้องตะโกนเสียงดัง

“สู้! สู้! สู้!”

ความเร่าร้อนของฝูงชนที่อยู่รอบ ๆ ถูกจุดประกายขึ้นในทันที พวกเขาต่างก็ตะโกนออกมาดังก้อง ด้วยน้ำเสียงที่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า จึงทำให้ผู้บ่มเพาะที่อยู่ห่างไกลออกไปต่างหันมามองกับสิ่งที่เกิด ในท้ายที่สุด ผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ก็ไม่อาจระงับความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาได้ ดังนั้นพวกเขาจึงรีบวิ่งเข้ามา

“เหตุใดข้าจะไม่กล้า?” เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ และกล่าวอย่างเย็นชา

พร้อมกับที่เฉินซีกล่าวจบ เสียงรอบข้างก็หายไปในทันทีมันเหลือเพียงเสียงลมหวีดหวิว บรรยากาศที่อึดอัดและตึงเครียดเงียบหายไปจากสภาพแวดล้อม ทุกคนเงียบสนิทเพื่อชมการประลองที่จะเกิดขึ้น!

สายตาของทั้งสองฝ่ายที่เผชิญหน้ากันเต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างรุนแรง และทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นเต้นยิ่งขึ้น สายตาของฝูงชนต่างพุ่งเข้าหาคนทั้งสอง ที่กำลังเผชิญหน้ากันอย่างพร้อมเพรียงและจดจ้องจนตาไม่กะพริบ ราวกับ กลัวที่จะพลาดรายละเอียดไป

หลี่ไฮว่ บุตรชายคนโตของตระกูลหลี่ เขามีพรสวรรค์โดยกำเนิดที่ไม่ธรรมดา อีกทั้งยังมีรากฐานและร่างกายที่ดีเลิศ เขาได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลตั้งแต่อายุยังน้อยและเป็นหนึ่งในบุคคลชั้นนำของเหล่าคนรุ่นเยาว์แห่งเมืองหมอกสน แม้ว่าทุกคนจะมีความเห็นเป็นเอกฉันท์และปฏิบัติต่อเฉินซีไม่ค่อยดีนัก แต่ชายหนุ่มอย่างเขาก็หามีความสำคัญอันใด เนื่องจากสิ่งที่ทุกคนคาดหวังมากที่สุดคือ สิ่งที่หลี่ไฮว่กำลังสำแดงให้เห็น

“นับว่าง่ายมาก หากเจ้าแพ้ให้มอบตราคำสั่งใต้พิภพ ทำลายการบ่มเพาะของเจ้า และขอโทษข้าโดยยอมรับว่าสัญญาหมั้นหมายระหว่างเจ้ากับข้าที่ถูกทำลายนั้น เป็นความผิดของเจ้าโดยสิ้นเชิง” หลังจากชายหนุ่มกล่าวจบ ซูเจียวกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ดูเหมือนว่านางจะเตรียมเงื่อนไขเหล่านี้มาตั้งแต่ต้น

ตราคำสั่งใต้พิภพ!

สีหน้าของผู้คนนับสิบเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเมื่อได้ยินคำเหล่านี้ สายตาของพวกเขาจ้องมองไปยังเฉินซี และความโลภที่มิอาจอธิบายได้ก็ผุดขึ้นมาในแววตาของพวกเขา

ตราคำสั่งใต้พิภพ? ข้าไม่เคยคาดคิดว่า เฉินซีจะมีอยู่ในครอบครอง …แต่เงื่อนไขเหล่านี้นับว่าเลวร้ายยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่านางทำสิ่งเหล่านี้เพียงเพราะนางต้องการทำให้เฉินซี อับอายต่อหน้าผู้คนอย่างไร้ความปรานี!

คิ้วของตู้ชิงซีขมวดขึ้น จากนั้นนางก็เหลือบมองไปที่เฉินซี แต่หญิงสาวกลับเห็นว่าเขายังคงไม่แยแสเช่นเคย นางจึงไม่อาจแยกแยะสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ในใจได้

เฉินซีมีตราคำสั่งใต้พิภพจริง ๆ เนื่องจากเขาได้รับมันมาจากอสูรยักษ์แรดอินทนิลสองหัว และเขาไม่เข้าใจคุณค่าของมันมาโดยตลอด แต่ในเวลานี้ ความสนใจของเขาไม่ได้จดจ้องอยู่ที่เรื่องนี้

จิตใจของเขาราวกับถูกฟ้าผ่า เมื่อเขาได้ยินเงื่อนไขสุดท้ายที่ซูเจียวกล่าว

เหตุการณ์ที่สัญญาหมั้นหมายของเขาถูกทำลายได้ผุดขึ้นมาภายในใจของเขา ทั้งการจ้องมองด้วยความเหยียดหยามของผู้บ่มเพาะตระกูลซู ท่าทางแสนเจ็บปวดและน่าสังเวชของท่านปู่ เสียงเยาะเย้ยดังไปทั่วของผู้คนรอบข้าง และเศษเสี้ยวของสัญญาหมั้นหมายที่โปรยผ่านอากาศอย่างสง่างาม…

นางกลับถือเอาสิ่งนี้เป็นเงื่อนไขโดยปราศจากศีลธรรม อีกทั้งนางยังต้องการให้ข้ายอมรับว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของข้าต่อหน้าผู้คนอย่างนั้นหรือ?

ทุกคำกล่าวของซูเจียวแว่วเข้ามาในหูของเฉินซีอย่างชัดเจน และยิ่งตอกย้ำหัวใจของเขาอย่างรุนแรง เขารู้สึกว่าจิตใจของตัวเองพร้อมที่จะปะทุและความกล้าก็พุ่งออกมาจากภายในตัวเขา ความโกรธเกรี้ยวจุกแน่นอยู่ในอกของเขา และมันก็สะสมทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงจุดที่ใกล้จะระเบิดออก

ในตอนนี้ ขณะที่เขาจ้องมองหญิงสาวซึ่งยืนอยู่บนกำแพงเมือง เฉินซีมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำลายนางให้เป็นชิ้น ๆ!

แต่ท่าทางของเขากลับสงบนิ่งผิดปกติ สงบจนถึงขั้นที่ไม่มีแม้แต่ความผันผวนใด ๆ ดังเช่นแอ่งน้ำอันสงบนิ่ง ดวงตาสีเทาคู่นั้นดูว่างเปล่า และหาได้มีอารมณ์ใด ๆ ไม่

หากเฉินฮ่าวอยู่ที่นี่ เขาคงเข้าใจดีว่าท่านพี่ของเขากำลังโกรธเกรี้ยว! เดือดดาลอย่างที่สุด! เพราะไม่มีผู้ใดรู้ว่าความโกรธและจิตสังหารที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังดวงตาที่ว่างเปล่าของท่านพี่นั้นแข็งแกร่งเพียงใด!

ฝูงคนที่รอคอยอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลานานในที่สุดก็ได้ยินเฉินซีกล่าว

เสียงทุ้มลึกของเขาดังกังวานขึ้นด้วยพลังอำนาจที่ทำให้ใจต้องสั่นไหว “ข้าจะยอมรับเงื่อนไขของเจ้า แต่ข้าก็มีเงื่อนไขของข้าเช่นกัน”

“จงว่ามา! แม้ว่าสัญญาการหมั้นหมายระหว่างเราทั้งสองคนจะถูกทำลาย ตราบใดที่เงื่อนไขของเจ้าไม่เกินไปนัก ข้าก็เห็นด้วยกับพวกเขาทั้งหมด” ซูเจียวยิ้มบาง ๆ และใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยกรุ้มกริ่มจนสั่นคลอนจิตใจของผู้คน

“กล่าวคำสาบานออกมาจากใจภายใต้หลักเต๋าแห่งสวรรค์ต่อหน้าผู้คน ตอบคำถามของข้าอย่างจริงใจเพียงสามข้อ หากมีการหลอกลวง ก็จงเผชิญการลงทัณฑ์จากสวรรค์!” เฉินซีกล่าวคำต่อคำ และท่าทางของเขาก็สงบนิ่งราวกับว่าเขากำลังกล่าวถึงบางสิ่งที่หาได้เกี่ยวข้องกับตนเองเลยแม้แต่น้อย

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]