บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 472

บทที่ 472 ห้วงอันตราย

บทที่ 472 ห้วงอันตราย

ในเวลาเพียงไม่นาน ผู้คนจึงพบว่าพละกำลังที่เพิ่มทวีคูณของฉินเซียวนั้นมาจากชุดเกราะทองคำที่เขาสวมใส่อยู่ ชุดเกราะเปล่งแสงสีทองเจิดจ้าก่อรูปเป็นมังกรเก้าตัว ทำให้พละกำลังของเขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

“นี่มัน… สมบัติอะไรกัน?” ผู้คนต่างอุทานด้วยความชื่นชม ฉินเซียวคู่ควรกับการเป็นอัจฉริยะที่น่าภาคภูมิแห่งราชวงศ์ระดับสูง เพราะเขาไม่เพียงแต่ครอบครองสมบัติกึ่งอมตะอย่าง ผนึกก่อขุนเขาเท่านั้น แม้แต่ชุดเกราะทองคำที่เขาสวมอยู่ก็น่าเกรงขามอย่างยิ่ง ทรัพยากรที่เขาครอบครองเป็นสิ่งที่ราชวงศ์ธรรมดาไม่อาจหาใครเทียบได้

“สมบัติกึ่งอมตะ เกราะมังกรทอง! ในที่สุดองค์ชายก็ได้ใช้อาวุธสุดยอดชิ้นนี้แล้ว” ดวงตาของเหวยคงที่อยู่ใกล้เคียง ปะทุแสงเย็นออกมาพลางพึมพำ เขามาจากราชวงศ์ต้าฉินเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงทราบว่าพลังของเกราะมังกรทองนั้นน่าเกรงขามเพียงใด

ชุดเกราะชุดนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้พละกำลังของฉินเซียวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดราวกับว่ามีพละกำลังของมังกรเก้าตนเท่านั้น แต่ยังเป็นสมบัติวิเศษที่มีการป้องกันไม่ธรรมดาอีกด้วย ซ้ำยังเป็นสมบัติกึ่งอมตะ ทำให้มันน่าเกรงขามมากจนถึงจุดที่ใคร ๆ ก็ทำได้แค่ฝันที่จะใช้สมบัติวิเศษระดับธรรมดาเจาะทะลวงการป้องกันของมัน

เฉินซีเหลือบมองไปยังฉินเซียวอย่างเย็นชาและไม่แยแส ก่อนที่จะหันกลับมาอีกครั้ง เขาทราบดีว่าหากต่อสู้ติดพันกับฉินเซียว ตนเองก็อาจจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังได้ ในยามนั้น ต่อให้พวกเขาจะไม่ทำการสังหาร ทัณฑ์สวรรค์ที่กำลังมาเยือนท้องนภาก็เพียงพอที่จะบดขยี้เขาเป็นผงธุลี!

“คิดจะหนีหรือ ฝันไปเถอะ!” ฉินเซียวปิดกั้นเส้นทางหนีของเฉินซี เขากำลังถือผนึกก่อขุนเขาไว้ในมือก่อนที่จะใช้มันทุบไปยังชายหนุ่ม

ในขณะเดียวกัน ปี้หลิงอวิ้นก็ใช้โอกาสนี้พุ่งจู่โจมเช่นกัน นางกลายร่างเป็นอสูรบินอันไร้เทียมทาน กระเรียนโลกันตร์ ขาหนึ่งข้างของนางปล่อยลำแสงที่ลุกโชนออกมาซึ่งมีอักขระยันต์วูบไหวไปมาและเปล่งความล้ำลึกของมหาเต๋าที่ผ่าท้องฟ้าลงมาหาอีกฝ่ายราวกับการจู่โจมจากเทพอสูรที่ตั้งใจจะฉีกเฉินซีเป็นชิ้น ๆ ภาพและพลังอำนาจซึ่งเกิดขึ้นจากพละกำลังของนางเพียงผู้เดียวนั้นช่างน่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุดไม่แพ้ฉินเซียว

“ไม่มีใครหยุดข้าได้! วันนี้ข้าจะฝ่าฟันทัณฑ์แห่งการจุติให้พวกเจ้าทุกคนได้เห็น!” เฉินซีกัดฟันในขณะที่เขาจู่โจม ส่งคลื่นเพลิงที่ลุกโชนจากพัดเข้าปะทะกับศัตรู!

ตู้ม!

ศึกระหว่างพวกเขาทั้งสามคนสั่นสะเทือนโลกา ลำแสงพุ่งออกมาและเขย่าท้องนภาในขณะที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง มันทำลายผืนปฐพีและบดขยี้ห้วงมิติ ซึ่งเผยให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการต่อสู้ในครั้งนี้น่าสะพรึงกลัวและดุเดือดเพียงใด

“ในที่สุดก็มีผู้สามารถต่อกรกับเฉินซีได้…” ฝูงชนที่อยู่ห่างออกไปถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้

…เพราะหากปล่อยให้เฉินซีเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ พวกเขาคงจะกังวลจริง ๆ ว่าใจคงจะกลัวจนรับไม่ไหว

แต่ถึงกระนั้น พละกำลังที่เฉินซีแสดงออกมาก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนตะลึงงัน ชายหนุ่มต่อสู้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งสองคนด้วยตัวคนเดียวในขณะที่อยู่ภายใต้การคุกคามของทัณฑ์ทั้งสอง ทว่ายังสามารถปกป้องตัวเองไม่ให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบในระหว่างการต่อสู้ได้ ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพละกำลังของเขานั้นน่าเกรงขามเพียงใด

ฟิ้ว!

ทันใดนั้น ร่างหนึ่งก็แวบขึ้นบนท้องนภา ร่างนั้นยืนอยู่บนลำแสงสีทองที่ทะลุทะลวงเวหาพร้อมกับเปล่งแสงสีทองที่พร่างพราวราวกับทวยเทพลงมาสู่สนามรบอันดุเดือด มือของร่างนั้นกำลังวาดกระบี่ออกไป

“เผยอวี่่!”

“สมบัติกึ่งอมตะ กระบี่โศกนภา!”

“ไม่ใช่ว่าคนผู้นี้อ่อนแรงมากหลังจากที่ใช้แก่นโลหิตและอายุขัยเพื่อเป็นเครื่องสังเวยแก่ประกาศิตเซียนสวรรค์แล้วหรอกหรือ? เหตุใดจึงฟื้นกลับสู่สภาพเดิมได้? หรือว่าจะกินโอสถบางอย่างเข้าไป?”

ขณะที่พวกเขามองไปยังร่างที่คุโชนไปด้วยเจตจำนงกระบี่ของเผยอวี่่ ซ้ำยังคึกคะนองกว่าเก่าตั้งแต่ได้ถือกระบี่โศกนภาเข้าร่วมการต่อสู้ บรรดาฝูงชนต่างตกใจ และไม่อาจหยั่งได้ว่าเหตุใดเผยอวี่่ที่อ่อนแออย่างยิ่งจึงฟื้นกลับสู่สภาพสมบูรณ์ก่อนหน้านี้ได้ในทันใด

การผงาดอันยิ่งใหญ่ของเผยอวี่่ทำให้สถานการณ์ของเฉินซีพลันอันตรายขึ้นมาทันที

มันช่วยไม่ได้ เพราะพวกเขาทั้งสามเป็นอัจฉริยะที่น่าเกรงขามที่สุดในบรรดาผู้เข้ามาในเกาะสมบัติที่ร่วงหล่น คนหนึ่งถือผนึกก่อขุนเขาขณะสวมชุดเกราะมังกรทอง ทำให้เขาทรงพลังและน่ายำเกรง อีกคนหนึ่งแปลงเป็นร่างแท้ กระเรียนโลกันตร์ ขาของนางเป็นเหมือนมือของเทพอสูรที่ฉีกโลกาเป็นชิ้น ๆ ส่วนคนสุดท้ายก็ฟื้นพลังชีวิตกลับสู่สภาวะสูงสุด และยังถือกระบี่โศกนภาไว้ในมือพร้อมกับปลดปล่อยเจตจำนงสังหารพุ่งขึ้นสู่ท้องนภา

พลังอำนาจของพวกเขาในขณะนี้นั้น เมื่อรวมพลังกันก็เพียงพอที่จะทำลายผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติได้อย่างง่ายดาย หากอยู่ในสภาวะปกติ เฉินซีก็ยังพอมีพละกำลังต่อกรกับคนทั้งสามได้ ทว่าเฉินซีในขณะนี้ถูกห้อมล้อมด้วยทัณฑ์สวรรค์ ทำให้เขาต้องทนทุกข์กับปัญหาทั้งภายในและภายนอก ซึ่งเรียกได้ว่าหนุ่มตกอยู่ในอันตรายอันใหญ่หลวงในช่วงเวลาพริบตา!

ตู้ม!

หลังจากการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย เฉินซีและฉินเซียวต่างถูกระเบิดจนปลิวกระเด็น การต่อสู้ที่นองเลือดเช่นนี้เป็นสิ่งที่อันตรายยิ่งนัก เนื่องจากกระบวนยุทธ์และสมบัติวิเศษโหมกระหน่ำราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก ขณะที่แสงเจิดจ้าปกคลุมสวรรค์และปฐพี เป็นฉากที่สุดแสนจะดุดัน

เสียงแหลมดังทะลุเวหา ปี้หลิงอวิ้นกระโจนเข้ามาทันทีที่เห็นเฉินซีถูกระเบิดกระเด็นออกไป

กระเรียนโลกันตร์เป็นสัตว์ปีกในสมัยโบราณ เป็นการดำรงอยู่ที่ครั้งหนึ่งเคยฉีกทวยเทพออกเป็นชิ้น ๆ ตามข่าวลือ ในฐานะที่เป็นทายาทของสัตว์อสูรที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ พละกำลังของปี้หลิงอวิ้นจึงน่าเกรงขามโดยไม่ต้องสงสัย เกล็ดขาของนางเปล่งประกาย ปกคลุมด้วยเต๋ารู้แจ้ง ทำให้มันดูสวยงามระยิบระยับ แม้แต่ภูผาก็สามารถถูกฉีกให้กลายเป็นเศษฝุ่นได้อย่างง่ายดายด้วยกรงเล็บของนาง หากเฉินซีถูกกรงเล็บเข้า เขาจะต้องถูกฉีกจนเหลือแต่ชิ้นเนื้ออย่างแน่นอน

ตู้ม!

ในสถานการณ์ที่วิกฤตเช่นนี้ เฉินซีโต้กลับด้วยมือซ้ายและใช้หมัดปะทะกับกรงเล็บที่แหลมคมและใหญ่โตของกระเรียนโลกันตร์ การปะทะของทั้งสองคนก่อให้เกิดแสงจ้าอันไร้ขอบเขตในทันที

ยิ่งกว่านั้น เฉินซียังถูกโจมตีจนกระอักเลือดออกมาและได้รับบาดเจ็บสาหัส

ฟิ้ว!

ดวงตาของกระเรียนโลกันตร์เป็นสีทองใสกระจ่าง ปีกสีเขียวสดของมันกระพือไปมาก่อนที่มันจะบินโฉบลงมาอีกครั้ง ทำให้เกิดพายุโหมกระหน่ำจนสั่นสะท้านโลกา

เฉินซีโกรธมากในขณะนี้ เดิมทีเขาหวังจะผ่านบทลงทัณฑ์ในขณะที่อยู่เบื้องหน้าโถงโบราณ ก่อนที่จะบดขยี้ผู้เยี่ยมยุทธ์ทุกคนที่ปิดล้อม ทว่าเขาไม่เคยคาดคิดว่ามีเพียงเพลิงลงทัณฑ์เท่านั้นที่กำลังเผาไหม้ร่างกายของเขา ทว่าสายฟ้าลงทัณฑ์กลับยังไม่ฟาดลงมาเสียที มันทำให้แผนการของเขาไม่อาจดำเนินต่อไปได้ และตอนนี้เขาก็กำลังถูกบีบบังคับให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง และต้องเผชิญหน้ากับความตายที่คืบคลานเข้ามา ดังนั้นจะไม่โกรธได้เยี่ยงไร?

ในขณะนี้ เขารู้สึกราวกับว่าแม้แต่สวรรค์ก็ยังเล่นงานเขา!

เฉินซีโมโหมาก โมโหจนถึงขั้นที่จิตวิญญาณ ปราณ และแก่นแท้ของเขายังเผยให้เห็นร่องรอยของความบ้าดีเดือด แผ่นหลังของชายหนุ่มเกือบแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจากการถูกผนึกก่อขุนเขาของฉินเซียวทุบเข้าไป ทำให้เลือดไหลออกมา ซ้ำยังมากเกินกว่าที่จะใช้ปราณจ้าววิญญาณซ่อมแซม ทำให้เขาสูญเสียพลังต่อสู้โดยสิ้นเชิง

“บ้าเอ๊ย! ในเมื่อสวรรค์ไม่เข้าข้าง เช่นนั้นข้าก็จะใช้พลังที่มีบุกฝ่าเข้าไปนี่แหละ!” เฉินซีกัดฟัน ความบ้าคลั่งฉายวาบในดวงตาของเขา สายตาแฝงความอำมหิตและความมุ่งมั่น

วูบ!

ในขณะเดียวกัน กรงเล็บของกระเรียนโลกันตร์ได้ฉีกทะลุท้องนภาและมาถึงตรงหน้าเขาแล้ว ซึ่งทำให้เกิดลมแรงพัดกระหน่ำในบริเวณโดยรอบ เพียงแค่พละกำลังที่แผ่ออกมาจากกรงเล็บก็มากพอที่จะทำให้เกิดหลุมขนาดมหึมาบนพื้นดิน

ตู้ม!

เฉินซีพลันเงยหน้าขึ้นก่อนจะยื่นมือออกไปจับกรงเล็บที่มีขนาดมหึมาของกระเรียนโลกันตร์โดยตรง ในจังหวะเดียวกันนั้น เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องขึ้นรอบตัวเขา วังวนอัสนีจำนวนมหาศาลปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง วังวนเหล่านี้หมุนวนอย่างบ้าคลั่งขณะที่เริ่มกลืนกินแก่นแท้ภายในร่างของกระเรียนโลกันตร์

“เจ้ามันเป็นแค่มดปลวดจากราชวงศ์ระดับกลาง ไม่ว่าการบ่มเพาะของเจ้าจะน่ากลัวเพียงใด! ในเมื่อเจ้ากล้าล่วงเกินศักดิ์ศรีขององค์รัชทายาทเช่นข้า มันก็จะไม่มีใครบนโลกนี้สามารถช่วยเจ้าได้! ตายซะ!” ฉินเซียวพุ่งเข้าโจมตีราวกับเป็นเจ้าเหนือหัวที่ลงมายังโลก เขาจู่โจมใส่เฉินซีโดยตรง

เปรี้ยง!

เฉินซีรับการโจมตีนี้ด้วยมืออีกข้างของเขาก่อนจะคว้ามือของฉินเซียว จากนั้นชายหนุ่มก็พลันใช้วังวนอัสนีเพื่อดูดซับแก่นแท้ภายในร่างกายของฉินเซียวอย่างบ้าคลั่ง!

ก่ออัสนีผสานดาราเป็นพลังอิทธิฤทธิ์ที่ขัดเกลาขึ้นจากภายในกระดูกของคุนเผิง มันมีพลังอำนาจที่ไร้ขีดจำกัด ซึ่งโอบล้อมมหาเต๋าแห่งอัสนี วารี และการกลืนกิน ทั้งยังสามารถดูดซับทุกสิ่งบนโลกใบนี้ได้แม้กระทั่งการโจมตีของศัตรู ก่อนจะแปรสภาพปราณที่กลืนกินไปจนกลายเป็นแก่นแท้ ปราณจ้าววิญญาณ พลังชีวิต และพลังอื่น ๆ ที่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ ทำให้พลังอิทธิฤทธิ์ชนิดนี้ล้ำลึกเกินคำบรรยาย

อย่างไรก็ตาม พลังอิทธิฤทธิ์นี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เช่นกัน ดังที่ศิษย์พี่สามกล่าวไว้ หากศัตรูแข็งแกร่งเพียงพอ การกลืนกินและแปรสภาพพละกำลังของคนเหล่านั้นจะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะมันจะส่งผลให้ร่างกายพังทลายลงอย่างง่ายดายจนล้มตาย

“เจ้ากำลังร้องหาความตาย!” ทั้งปี้หลิงอวิ้นและฉินเซียวแสยะยิ้มพร้อมกัน ทั้งสองคนมีภูมิหลังที่ยอดเยี่ยม ดังนั้นพวกเขาจะไม่ทราบเกี่ยวกับความล้ำลึกของพลังอิทธิฤทธิ์เช่นนี้ได้อย่างไร? แม้ว่าจะแอบตกใจที่เฉินซีช่ำชองในเต๋ารู้แจ้งแห่งการกลืนกินอันหายาก ทว่าก็ไม่ได้กังวลแม้แต่น้อย เนื่องจากพละกำลังของชายหนุ่มเหลือน้อยมากแล้ว ชายหนุ่มจึงเป็นผู้กำลังจะดับสูญ พวกเขาเพียงแค่ระดมกำลังของตนและทำให้การดูดซับพละกำลังของอีกฝ่ายล้มเหลว ผลร้ายจะได้วนกลับมาทำลายอีกฝ่าย!

เผยอวี่่ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งหยุดการโจมตีของเขาเพราะรับรู้แล้วว่าเฉินซีจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย และเขาไม่อยากเสี่ยงอะไรทั้งนั้น เพราะหากฝืนบังคับให้เฉินซีระเบิดแกนทองคำ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องดีนัก

แต่โชคร้ายที่เขาไม่ทราบว่าแกนทองคำของเฉินซีได้ถูกเพลิงลงทัณฑ์แปรสภาพเป็นของเหลวเสียแล้ว ซ้ำยังกำลังจะถูกเผาไหม้และระเหยไปสู่ความว่างเปล่าอีกต่างหาก ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่แกนนั้นจะระเบิดอีกต่อไป!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]