บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 506

บทที่ 506 เข่นฆ่าอย่างไร้ควบคุม

บทที่ 506 เข่นฆ่าอย่างไร้ควบคุม

ประโยคเดียวของเฉินซีทำเอาทุกคนในที่แห่งนี้อึ้งไป จิตใจสั่นไหวอย่างรุนแรง

ทว่าคำพูดนั้นสำหรับลวี่เทียนเจ๋อและคนอื่น ๆ แล้วถือเป็นการตัดสินอย่างหนึ่ง ดังนั้นจึงทำให้พวกเขาตกใจและมีโทสะในเวลาเดียวกัน

“เฉินซี เจ้ากล้าพูดเช่นนี้เลยหรือ?!” ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติจากราชวงศ์ต้าจิ้นรวบรวมความกล้าตะโกนออกมา

“ไม่ใช่กงการอะไรของเจ้า อีกอย่างข้าก็ไม่ได้คิดจะพิสูจน์อะไรอยู่แล้ว อย่างไรพวกเจ้าเป็นคนใกล้ตาย เสียเวลาพูดกับคนตายไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา” เฉินซีเอ่ยเสียงเรียบ

บางคนมีสีหน้าเคร่งขรึม แต่ส่วนมากจะเป็นสีหน้าหวาดกลัว ดูประหวั่นพรั่นพรึงเป็นอย่างยิ่ง

พวกเขารู้ดีว่าคำพูดของชายหนุ่มนับว่าตัดสินโทษตายไปแล้ว ฉะนั้นยังต้องกลัวอะไรอีก? เมื่อต้องเผชิญกับความตายเช่นนี้ กระทั่งตัวตนสูงส่งที่มีฝีมือยอดเยี่ยมก็ยังรู้สึกเกรงกลัวได้

“เจ้า… เจ้าไม่กลัวหรือว่าจะทำให้คนหมู่มากขุ่นเคือง จนส่งผลให้ราชวงศ์ซ่งของเจ้าต้องเกิดหายนะชั่วนิรันดร์อย่างนั้นหรือ!?” ชายหนุ่มผู้หนึ่งตะโกนขึ้น แม้ภายนอกจะดูใจกล้า ทว่าแท้จริงแล้วเขากลับหวาดกลัวยิ่งนัก เกรงว่าจะถูกปลิดชีพทันที

“ทำให้คนหมู่มากขุ่นเคือง? น่าขันสิ้นดี!” เฉินซีพลันหันกลับไป ระเบิดกลิ่นอายอันน่าเกรงขามออกมาพร้อมกับเสียงตะโกนว่า “ข้ารู้แต่ว่าทรมานพวกเจ้าต่อไปก็มีแต่จะทำให้พวกเจ้ายิ่งล้ำเส้น มีแต่การสังหารเพื่อสร้างความกลัวในใจเท่านั้น จึงจะสามารถทำให้พวกเจ้ารู้สึกหวาดกลัวและไม่กล้ารั้งอยู่เหมือนพวกภูตผีน่ารังเกียจที่ไล่ไปไหนก็ไม่ยอมไป!”

คำพูดเหล่านี้ดั่งเสียงฟ้าลั่นสะเทือนใจของลวี่เทียนเจ๋อและคนอื่น ๆ ซ้ำไปซ้ำมา สองหูรู้สึกปวดหนึบ ในหัวอื้ออึงไปหมด หวาดกลัวจนถึงขีดสุด

“เกินไปแล้ว! คิดว่าตัวคนเดียวจะแผลงฤทธิ์ได้หรือ!?” อีกคนตะโกนขึ้นมา

“หนวกหู!” ชายหนุ่มเอ่ยเพียงแค่นั้น กระบี่โศกนภาก็ซัดออกไปราวกับอีกาทองคำทะยานขึ้นฟ้า แล้วพุ่งลงมพร้อมกับเสียงครืน! ฉีกร่างคนผู้นั้นเป็นสองส่วน ก่อนร่างจะสลายกลายเป็นจุณ

ง่ายดายถึงเพียงนั้น…

คนขอบเขตจุติกลับถูกซัดจนร่างสลายมอดม้วยไปเช่นนั้น…

เพื่อขัดขวางคนรอบกาย และเพื่อให้พวกที่อยู่ไกลได้เห็น ท่ากระบี่ครั้งนี้ของเฉินซีจึงดูราวกับง่ายดาย แต่แท้จริงแล้วเขาใช้พละกำลังทั้งหมด ทั้งยังผสานรวมกับกระบี่โศกนภาด้วย ทำให้สามารถสร้างผลลัพธ์น่ากลัวเช่นนั้นออกมาได้

ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันทำงานได้ดีมาก พวกที่เฝ้าดูอยู่ใกล้ ๆ ถึงกับหรี่ตาลง แสดงสีหน้าตกใจ พร้อมเผยความหวาดผวาออกมาในแววตาอย่างเห็นได้ชัด

ลวี่เทียนเจ๋อและคนอื่น ๆ เองก็หวาดกลัวกับท่ากระบี่นี้เช่นกัน คนที่ตายยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา แต่กลับช่วยอะไรไม่ได้ ได้แต่มองอีกฝ่ายตายไปเช่นนั้น ภาพที่สะเทือนไปถึงจิตใจเช่นนี้ส่งผลให้ขนทั่วร่างลุกชันขึ้นมา

ในฐานะผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติจากราชวงศ์ระดับสูง แม้จะด้อยกว่าราชวงศ์ระดับสูงสุดและตระกูลอันทรงเกียรติ แต่ก็นับว่ายังมีความแข็งแกร่งระดับสูง และเป็นตัวตนสูงสุดที่มีแต่คนแซ่ซ้องสรรเสริญ แม้แต่พวกราชวงศ์ระดับกลางยังคอยไล่ตามไม่ว่าไปที่ใด แต่ตอนนี้พวกเขากลับเหมือนนักโทษรอประหาร ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ย่ำแย่นัก

“เฉินซี พวกเราเป็นศิษย์จากราชวงศ์ระดับสูง เจ้าจะปฏิบัติเช่นนี้กับพวกเราไม่ได้ หรืออยากจะนำภัยมาสู่ราชวงศ์ซ่งกันเล่า?” ลวี่เทียนเจ๋อและคนอื่น ๆ ล้วนพากันหวาดกลัว มีคนหนึ่งรีบหาคำพูดแล้วคำรามขึ้นมา

“ราชวงศ์ระดับสูง? หึ ยังคิดจะใช้เรื่องไร้สาระเช่นนั้นมาขู่กันอีกหรือ? น่าหัวเราะจริง!” เฉินซีตวัดกระบี่อีกครั้ง ส่งปราณกระบี่กรีดเมฆ ก่อนจะซัดลงมาราวกับเสายักษ์ร่วงลงจากฟ้า สะบั้นร่างคนผู้นั้นจนขาดเป็นชิ้น ๆ

ผู้เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ไกล ๆ ต่างตื่นตะลึง เฉินซีใช้การกระทำนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า เขาไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์มาจากราชวงศ์ใด หากกล้าล่วงเกินราชวงศ์ซ่ง เขาก็จะสังหารทิ้งอย่างไร้ความปรานี!

ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!

ทันใดนั้น เงาร่างสามร่างก็พุ่งออกมาจากข้างกายลวี่เทียนเจ๋อ โดยแยกออกเป็นสามทิศทาง ซ้าย ขวา และหลัง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้มีการสื่อสารกันผ่านกระแสปราณ หมายจะใช้วิธีนี้ทำให้เฉินซีไม่ทันตั้งตัวและหาโอกาสหลบหนีไป!

ทว่าพวกเขากลับไม่ได้คาดคิดว่า… ดูท่าทางอีกฝ่ายจะคาดเดาไว้ได้นานแล้ว เขาเพียงสะบัดมือคราวเดียว ก็เกิดผนึกที่มีขนาดใหญ่ดั่งขุนเขาขึ้น พัดขนนกที่มีเปลวเพลิงลุกโชน และปราณกระบี่เป็นดั่งธารดาราที่โคจรอย่างพร้อมเพรียง ขณะสังหารคนทั้งสามที่หนีไปแต่ละทิศได้ทันที

“อ๊าก!!!” เสียงร้องโหยหวนชวนน่าสังเวชยิ่งสามเสียงดังก้อง

ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคนที่อยู่ตรงนั้น คนหนึ่งถูกทุบเป็นกองเนื้อ อีกคนถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน และคนสุดท้ายถูกฟันจนแหลกเป็นผุยผง สภาพการตายล้วนน่าสยดสยองเป็นที่สุด

การโจมตีครั้งนี้ทำให้ลวี่เทียนเจ๋อและคนอื่น ๆ ตกใจ ทำให้ความคิดที่หมายจะลอบหนีเมื่อมีจังหวะถูกพับเก็บไปทันที พวกเขาทั้งหวาดกลัวและตื่นตะลึง มีสีหน้าไม่น่ามองเป็นอย่างยิ่ง

“พัดนกยูงเพลิง กระบี่โศกนภา ผนึกก่อขุนเขา! คนผู้มีครอบครองสมบัติกึ่งอมตะถึงสามชิ้นเลยรึ!”

“เป็นอย่างที่คิด ซวีเหลิ่งเยี่ย เผยอวี่ และฉินเซียวถูกเฉินซีสังหารจริงด้วย ไม่เช่นนั้นไพ่ตายของพวกนั้นจะมาตกอยู่ในมือเขาหรือ?”

ลวี่เทียนเจ๋อไม่สนใจสายตาแปลก ๆ รอบกาย อดรู้สึกถอนหายใจอย่างโล่งอกไม่ได้เมื่อเห็นว่าเฉินซีมีทีท่าว่าจะหยุดมือ ว่ากันตามตรง แรงกดดันที่อีกฝ่ายปล่อยออกมามันรุนแรงเกินไปจนเขาเกือบเข่าทรุด ไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่เอ่ยความลับต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้

เพราะถึงอย่างไร ตระกูลซางก็เป็นตระกูลอันทรงเกียรติจากอาณาจักรโบราณ มีกองกำลังอันน่าเกรงขาม ไม่ใช่สิ่งที่ราชวงศ์ต้าเสวียนจะเทียบเคียงได้ หากไม่ใช่เพราะต้องการบีบเฉินซีด้วยเรื่องนี้ เขาก็คงไม่กล้าเปิดเผยเรื่องราวไม่ว่าจะกล้าหาญสักเพียงใด

“หากวันนี้เจ้าปล่อยข้าไป ข้าจะช่วยขอร้องนายน้อยซางคุนให้ปล่อยสหายของเจ้าได้ คิดว่าอย่างไร?” เมื่อเห็นว่าเฉินซีเงียบไปนาน ลวี่เทียนเจ๋อก็ยิ่งรู้สึกวางใจ และเริ่มเป็นฝ่ายพูดก่อน

จังหวะนั้นเองที่ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าหล่อเหลาไร้ซึ่งอารมณ์ มันเรียบเฉย เย็นยะเยือก อีกทั้งนัยน์ตาลึกล้ำยังดูราวกับจะกลืนวิญญาณคนได้

เมื่อเห็นสีหน้าไร้อารมณ์ของเฉินซีแล้ว ลวี่เทียนเจ๋อก็สัมผัสได้ถึงลางไม่ดี

“หากพวกนางตาย ข้าจะฝังตระกูลซางไปพร้อมกับพวกนางด้วย” แค่ประโยคธรรมดาเรียบ ๆ ประโยคเดียวที่ออกจากปากของเฉินซี กลับเป็นเหมือนห้วงอากาศเย็นอันเฉียบคมที่ทำเอาทุกคนร่างชา เย็นยะเยือกราวกับตกลงไปในบ่อน้ำแข็ง

แม้จะเป็นเพียงคำธรรมดา ๆ ทว่าจิตสังหารแฝงกลับสะท้านเข้าไปในจิตใจทุกคน

“เจ้า… เสียสติไปแล้วหรือไร!? นั่นมันตระกูลซางนะ ตระกูลที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกองกำลังยิ่งใหญ่แห่งแดนภวังค์ทมิฬ ทั้งยังไม่ขาดมิตรสหายที่เป็นทูตของแดนภวังค์ทมิฬที่อีกสามเดือนก็จะเดินทางมาถึงเมืองบรรพกาลแล้ว เจ้าไม่กลัวว่าจะถูกสังหารทิ้ง ไม่สามารถเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬได้ชั่วชีวิตอย่างนั้นหรือ?” ลวี่เทียนเจ๋อตกตะลึงกับคำพูดของอีกฝ่ายถึงขนาดหนังศีรษะชาวาบ ส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาเสียงดัง

ผู้คนทั้งหมดใจสั่นสะท้านเมื่อได้ยินเช่นกัน นับตั้งแต่สมรภูมิบรรพกาลเปิดออกเมื่อหลายปีก่อน ทว่ายังไม่เคยมีใครจากราชวงศ์ระดับกลางที่กล้าพูดคำพูดดุดันและเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ต่อตระกูลอันทรงเกียรติแห่งอาณาจักรโบราณมาก่อน นี่มันบ้าไปแล้ว!

กระทั่งหวงฝู่ฉางเทียนกับอวี๋เซวียนเฉินยังตกตะลึงจนสั่นไปทั่วทั้งร่าง ล้วนคิดไว้แล้วว่าความมุ่งมั่นอยากช่วยพวกนางของเฉินซีคงจะสูงมาก แต่ไม่คิดว่าจะมากเช่นนี้!

“หากเราไม่ทรยศเขา เฉินซีก็จะช่วยพวกเรายามตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้หรือไม่?” ทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนจะก้มหน้าลงด้วยสลดใจ ในใจผสมไปด้วยความเศร้าและความเกลียดชัง

แต่หากให้เทียบกันแล้ว หวงฝู่ฉางเทียนยังอยู่ในสภาพดีกว่าเล็กน้อย เฉินซีสังหารหวงฝู่ฉงหมิงผู้เป็นน้องชายของเขาไปแล้ว ทำให้มีความแค้นต่อกัน เขาจึงไม่หวังให้อีกฝ่ายมาช่วยอะไรอยู่แล้ว

กลับกันแล้ว ฟ่านอวิ๋นหลานที่อยู่ใกล้ ๆ มั่นใจนักว่าเฉินซีจะรักษาคำพูด เพราะตัวเขาเป็นคนเช่นนั้น และก็เพราะนิสัยที่คนอื่นมองว่าโง่เง่าเสียยิ่งกว่าอะไรนี่เองที่ทำให้เขามีสหายยื่นมือเข้าช่วยมากมาย

ตู้ม!

เมื่อเผชิญหน้ากับเสียงร้องของลวี่เทียนเจ๋อและสายตาหลากหลายจากผู้คนรอบข้าง เฉินซีกลับเป็นฝ่ายไม่ใส่ใจอะไร สีหน้าไร้ความเปลี่ยนแปลง ชั่วพริบตาต่อมา เขาก็หายตัวไปปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าลวี่เทียนเจ๋อ จากนั้นก็ซัดกระบี่ลงจากฟ้า!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]