บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 588

บทที่ 588 ปีกกำราบผกผัน

บทที่ 588 ปีกกำราบผกผัน

เยว่ฉือตกตะลึง จากนั้นจึงถามว่า “ชิงอวี่? เจ้าสวะจากเผ่าวิหคเพลิงนภาหรือ?”

“ใช่แล้วขอรับ” เสียงที่เต็มไปด้วยความเคารพของศิษย์คนนั้น ดังขึ้นจากข้างนอกศาลาอีกครั้ง

“แล้วเฉินซีเล่า? เขาสามารถละเว้นจากการปรากฏตัวได้จริงหรือ?” คิ้วของเยว่ฉือค่อย ๆ ขมวดเข้าหากันแน่น

เดิมทีเขาคิดว่า เฉินซีจะไม่อาจอดกลั้นและต้องเคลื่อนไหวด้วยตนเอง จากนั้นเขาจะต้องออกไปจากนิกายเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ ด้วยวิธีนี้ ตนจึงจะสามารถติดต่อกับผู้เยี่ยมยุทธ์บางคนเพื่อจัดการกับเฉินซีในบริเวณข้างนอกนิกายได้

แต่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า ตนจะไม่อาจบังคับให้เฉินซีให้ออกไป แต่กลับบังคับให้เจ้าเศษสวะนั่นออกไปแทน ซึ่งนี่เกินความคาดหมายของเขาเล็กน้อย

“ศิษย์ได้ยินมาว่า… เฉินซีกำลังอยู่ในการปิดด่านบ่มเพาะ”

“ปิดด่านบ่มเพาะหรือ?” แสงเยียบเย็นพาดผ่านดวงตาของเยว่ฉือ ในขณะที่เขาหัวเราะอย่างเย็นชา “ข้าเข้าใจแล้ว ไอ้เด็กนี่น่าจะกำลังเตรียมการสำหรับการทดสอบแห่งยอดเขาจรัสที่กำลังจะมีขึ้นในเร็ว ๆ นี้”

“ช่างเตรียมพร้อมเสียนี่กระไร! แต่เจ้าต้องการที่จะบ่มเพาะอย่างสงบสุขหรือ? ฝันไปเถอะ!” เยว่ฉือเย้ยหยันอย่างเย็นชา ในขณะที่แสงจ้าวูบไหวในดวงตาของเขา จากนั้นก็ถามว่า “ชิงอวี่ได้รับภารกิจใด?”

“มันถูกมอบหมายให้ไปที่แคว้นสือและสังหารอสูรไก่ฟ้าทมิฬเจ็ดตัวที่เทือกเขาเทพเจ้าไก่ฟ้า!”

“แคว้นสือหรือ?”

เยว่ฉือครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งเป็นเวลานาน ก่อนจะยกมือขึ้นเพื่อเขียนบนแผ่นหยก จากนั้นเขาก็โยนมันออกไปและสั่งว่า “จงมอบแผ่นหยกนี้ให้กับปรมาจารย์ของนิกายวายุม่วง แล้วเขาจะเข้าใจว่าจะต้องทำสิ่งใด”

“ขอรับ”

“ถ้าเจ้าไม่คิดที่จะโผล่หัวออกมา ข้าจะบีบบังคับเจ้าให้ออกมาเอง ข้าล่ะอยากรู้จริง ๆ ว่าเจ้าจะสามารถบ่มเพาะอย่างสงบสุขได้หรือไม่ หากศิษย์พี่ของเจ้าถูกจับ…” ภายในศาลาที่ว่างเปล่า เยว่ฉือก้มศีรษะลง ในขณะที่ความอำมหิตปกคลุมไปทั่วใบหน้าของเขา

ณ โลกแห่งดารา

ดวงดาวเป็นเหมือนไข่มุกที่ส่องแสงเย็นยะเยือกและมืดมัว

ครึ่งเดือนผ่านไปตั้งแต่ชิงอวี่ออกจากนิกาย แต่ก็ไม่มีข่าวคราวใด ๆ ในขณะที่เฉินซีหมกมุ่นอยู่กับการทำความเข้าใจของเขาในโลกแห่งดารามากว่าหนึ่งปีแล้ว

นี่คือคุณสมบัติอันน่ามหัศจรรย์และน่าเกรงขามของโลกแห่งดารา การบ่มเพาะภายในนี้สิบปีเป็นเพียงหนึ่งปีในโลกภายนอก ในขณะที่หนึ่งเดือนในโลกภายนอกนั้นมากกว่าหนึ่งปีในโลกของดารา

เฮือก!

ทันใดนั้นเฉินซีก็ตื่นขึ้นจากการทำความเข้าใจของเขา แสงศักดิ์สิทธิ์ได้ส่องออกมาจากปากและจมูกขณะที่หายใจ ส่วนพลังชีวิตก็ขดตัวอยู่รอบร่างดั่งมังกรที่แท้จริง และเขาดูลึกลับอย่างยิ่ง ในขณะที่กลิ่นอายของชายหนุ่มก็ทรงพลังอย่างมาก

ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เขาได้หลอมรวมจิตใจและจิตวิญญาณทั้งหมดให้เข้าสู่สภาวะว่างเปล่า ในระหว่างที่เขาสำรวจฉากอันงดงามในยุคบรรพกาลและเข้าใจความลึกล้ำที่อยู่ภายในสัจธรรมสวรรค์ทั้งหมด

ความเข้าใจที่มีต่อศาสตร์เต๋าของเขานั้น เหมือนกับแม่น้ำที่เติบโตภายใต้สายฝน และได้รับความสำเร็จในศาสตร์เต๋าที่ลึกล้ำมากโดยไม่รู้ตัว

ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณรูปปั้นเทพเจ้าฝูซี ซึ่งทำให้ความสามารถในการทำความเข้าใจและความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณของเขาบรรลุถึงระดับที่เทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาเมื่อนานมาแล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงเข้าใจศาสตร์เต๋าได้อย่างเป็นธรรมชาติและราบรื่น โดยไม่มีอุปสรรคใด ๆ

มิฉะนั้น หากเป็นคนอื่น ๆ จิตใจของคนผู้นั้นคงปั่นป่วนด้วยความลึกลับอันไร้ขอบเขตของสัจธรรมสวรรค์ หลังจากที่ทำความเข้าใจมันเพียงไม่กี่วัน และอาจรุนแรงถึงขั้นที่ต้องทุกข์ทรมานจากอาการลมปราณแตกซ่าน

อย่างไรก็ตาม เฉินซีกลับยืนหยัดและสามารถทำความเข้าใจมานานกว่าหนึ่งปีได้! ความสามารถในการทำความเข้าใจดังกล่าว ถือได้ว่าอยู่ในระดับที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง และถ้าข่าวนี้แพร่ออกไป มันจะทำให้ผู้คนต้องกรามค้างเป็นแน่

ถึงขนาดที่เขามีลางสังหรณ์ว่า เมื่อเขาบรรลุไปสู่ขอบเขตสถิตกายา ความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณของเขาก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลง และมันจะเทียบได้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี!

“ศาสตร์เต๋าหนอศาสตร์เต๋า…” เฉินซีพึมพำขณะที่รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏอยู่ที่มุมปาก และแม่น้ำแห่งดวงดาวก็สะท้อนอยู่ในดวงตาที่ลึกล้ำของเขา

“น่าเสียดายที่เวลาของข้ามีจำกัด และการทดสอบแห่งยอดเขาจรัสก็จะมาถึงในอีกสองเดือน ข้าต้องใช้ช่วงเวลานี้เพื่อทำให้การบ่มเพาะของข้าแข็งแกร่ง หากสามารถบรรลุสู่ขอบเขตสถิตกายาได้ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวใครอีก” เฉินซีส่ายศีรษะและหยุดคิดฟุ้งซ่าน

เขาไม่รอช้าอีกต่อไป เร่งก้าวออกจากโลกแห่งดาราที่ยิ่งใหญ่และพุ่งออกจากบททดสอบแห่งสรวงสรรค์

“หืม? เหตุใดข้าถึงลืมสมบัติชิ้นนี้ไปได้…” แต่เมื่อกำลังจะจากไป จู่ ๆ เฉินซีก็สังเกตเห็นว่าภูเขาสีดำมันเงายังคงตั้งตระหง่านอยู่ข้าง ๆ บททดสอบแห่งสรวงสรรค์

ภูเขาลูกนี้ตั้งตระหง่านอยู่ที่ใจกลางแม่น้ำใหญ่ และเผยให้เห็นเพียงยอดที่แหลมมากเท่านั้น มันมักจะจมอยู่ใต้น้ำเสมอ ทำให้ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นหินในแม่น้ำได้อย่างง่ายดาย เว้นแต่จะสังเกตมันอย่างระมัดระวัง

แต่เฉินซีรู้ดีว่ามันไม่ใช่หิน แต่เป็นสมบัติที่ไม่ธรรมดา ซึ่งคือ ภูเขากำราบธาตุ!

ตามที่จี้อวี๋เคยกล่าว ยอดเขานี้มี ‘แสงศักดิ์สิทธิ์แห่งการกำราบธาตุ’ อันลึกล้ำ และเพียงเศษเสี้ยวเล็ก ๆ ของมันก็หนักมากกว่านับพันนับหมื่นจิน มันกำเนิดขึ้นมาเพื่อยับยั้งแก่นแท้ของเบญจธาตุ และแม้ว่าจะอยู่ในยุคบรรพกาล ภูเขากำราบธาตุนี้ก็ถือเป็นวัตถุดิบสำหรับขัดเกลาอุปกรณ์ที่หาได้ยากมาก

ยิ่งไปกว่านั้น แสงศักดิ์สิทธิ์แห่งการกำราบธาตุที่อยู่ภายในนั้นก็สามารถบ่มเพาะให้เป็นพลังอิทธิฤทธิ์ที่เรียกว่า ‘ปีกกำราบผกผัน’ ปีกคู่นี้ไม่เพียงสามารถฉีกมิติออกจากกันเพื่อเคลื่อนย้ายไปได้ไกลถึงหมื่นลี้ในพริบตา ด้วยเพียงการกระพือปีกเบา ๆ ในระหว่างต่อสู้ มันก็สามารถทำให้สมบัติวิเศษของธาตุทั้งห้าสูญเสียความสามารถและกลายเป็นกองเศษเหล็กไปได้!

ในแง่ของพลัง มันไม่ได้ด้อยไปกว่าแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีที่ติดหนึ่งในสิบอันดับแรกของยุคบรรพกาลเลยแม้แต่น้อย!

ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เพียงเพื่อชิงภูเขากำราบธาตุนี้ จี้อวี๋ได้ใช้พลังของเขามากเกินไปและต้องจำศีลอยู่ภายในเคหา ทำให้เขาสูญเสียความสามารถที่จะปรากฏตัว

เห็นได้ชัดจากข้อเท็จจริงนี้ว่า ภูเขากำราบธาตุเป็นสมบัติที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง

‘แม้ว่าข้าจะยังไม่รู้วิธีบ่มเพาะปีกกำราบผกผัน แต่ข้าก็ครอบครองปีกนภาดารกะแล้ว หากข้าดูดซับแสงศักดิ์สิทธิ์กำราบธาตุนี้ ข้าจะสามารถนำความสามารถพิเศษออกมาได้หรือไม่?’ เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพุ่งออกไป และมาถึง ณ ใจกลางแม่น้ำใหญ่ จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปเพื่อคว้าภูเขากำราบธาตุ

“ช้าก่อน นั่นมันภูเขากำราบธาตุนี่! สวรรค์! สมบัติชิ้นนี้มีอยู่จริงในโลกหล้าด้วยหรือ!” ร่างกายของหั่วโม่เลยสั่นสะท้าน เขารู้สึกตื่นเต้นจนร้องออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งก็เป็นเพราะเขามีความชำนาญในการปรับแต่งอุปกรณ์มากที่สุด ดังนั้นเขาจึงสังเกตเห็นความพิเศษของภูเขาได้ในพริบตาเดียว

ในชั่วพริบตาต่อมา เขาได้ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับปกคลุมด้วยเปลวเพลิง ผมสีแดงเข้มเหมือนเปลวไฟสะบัดพลิ้ว ดังนั้นทันทีที่เขายืนอยู่กลางอากาศ เขาก็เป็นเหมือนเทพแห่งไฟที่จุติลงมายังโลกและทรงพลังเป็นอย่างมาก

“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าอย่าได้ทิ้งมันลงมา ภูเขากำราบธาตุนั้นหนักเกินไป และมันจะทุบยอดเขาจรัสตะวันตกจนกลายเป็นรูใหญ่! เร็วเข้า! มานี่เร็วเข้า! ให้ข้าจัดการกับมันเอง!” แขนของหั่วโม่เลยสั่นสะเทือน ในขณะที่เขาตะโกนออกมา จากนั้นเจ้าตัวก็ประทับผนึกประหลาดที่คลุมเครือและแปลกประหลาดนับไม่ถ้วน ซึ่งมันได้กลายเป็นตาข่ายไฟที่ปกคลุมท้องฟ้า ก่อนที่จะครอบลงมาใส่ภูเขากำราบธาตุ

“จงหดตัว!” ด้วยเสียงกึกก้อง ภูเขากำราบธาตุที่ทำให้เฉินซีต้องหมดหนทาง เริ่มหดตัวลงภายใต้เคล็ดวิชาของหั่วโม่เลยด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ในชั่วพริบตาเดียว ภูเขากำราบธาตุสีดำสนิทได้หดตัวจนเหลือความสูงเพียงสิบสองจั้ง ซึ่งมันก็ได้ปล่อยกลิ่นอายที่กดดันและน่าสะพรึงกลัวอย่างมากออกมา ทำให้มันดูลึกลับเป็นอย่างยิ่ง

ขณะเดียวกัน หั่วโม่เลยก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับหยิบถุงผ้าสีเทาออกมา ก่อนจะวางภูเขากำราบธาตุลงไปในนั้นทันที และถือมันไว้ในมืออย่างง่ายดาย

ทางด้านเฉินซีก็กำลังหอบหายใจด้วยความอ่อนแรง บนหน้าผากของชายหนุ่มเต็มไปด้วยเหงื่อ แต่เมื่อเห็นหั่วโม่เลยจัดการกับภูเขากำราบธาตุได้อย่างง่ายดาย เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจและไม่อยากจะเชื่อ

“ศิษย์พี่ใหญ่… ท่าน…แข็งแกร่งมาก!” เฉินซีตกตะลึงและลอบถอนหายใจ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าจำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญในศาสตร์นั้น ๆ จึงจะใช้เคล็ดวิชาบางอย่างได้ แต่ใครจะคาดคิดได้ว่าศิษย์พี่ใหญ่ที่เป็นเหมือนกับขยะในสายตาผู้อื่น จะสามารถทำได้ถึงเพียงนี้?

เพราะจี้อวี๋ในเวลานั้นก็ได้ใช้พละกำลังมหาศาล กว่าจะสามารถนำภูเขากำราบธาตุไปไว้ในที่เคหาบ่มเพาะได้!

“ฮ่า ๆ ศิษย์น้องเล็ก เจ้าอย่าลืมว่าข้าเป็นผู้สืบทอดของตระกูลอัคคีหลอม และข้ามีศาสตร์เต๋าที่สามารถปรับแต่งอุปกรณ์น่าเกรงขามได้โดยกำเนิด ดังนั้นการควบคุมภูเขากำราบธาตุจึงไม่ใช่เรื่องยาก” หั่วโม่เลยหัวเราะเสียงดัง

‘ศาสตร์เต๋าในการปรับแต่งอุปกรณ์?’ เฉินซีคิดในใจก่อนที่จะถามว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านช่วยแยกแสงศักดิ์สิทธิ์กำราบธาตุที่อยู่ภายในได้หรือไม่”

“แน่นอน แต่ข้าต้องใช้เวลา…” เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ หั่วโม่เลยก็นึกถึงบางสิ่งขึ้นมาทันที และเขาก็กล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าคงไม่ได้คิดที่จะบ่มเพาะปีกกำราบผกผันใช่หรือไม่?!”

“ใช่แล้วขอรับ” เฉินซีค่อนข้างอยากรู้อยากเห็น “หรือว่าศิษย์พี่ใหญ่รู้วิธีบ่มเพาะพลังอิทธิฤทธิ์นี้”

“ถึงข้าจะไม่รู้ แต่ศิษย์น้องชิงอวี่ย่อมรู้ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์วิหคเพลิงนภาได้อาศัยอยู่บนภูเขากำราบธาตุในยุคบรรพกาล และพลังอิทธิฤทธิ์นี้ก็เป็นเคล็ดวิชาขั้นสูงสุดของเผ่า”

“แต่โชคไม่ดีที่ภูเขากำราบธาตุถูกทำลายและหายสาบสูญไปอย่างเนิ่นนาน และเป็นเรื่องยากมากที่จะค้นพบสักแห่งในแดนภวังค์ทมิฬทั้งหมด ดังนั้นพลังอิทธิฤทธิ์นี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะบ่มเพาะโดยธรรมชาติ หากไม่ใช่เพราะสิ่งนี้ เผ่าวิหคเพลิงนภาก็คงไม่ตกต่ำจนแม้แต่ตระกูลอีกาวิญญาณยังกล้าดูถูก” หั่วโม่เลยถอนหายใจและกล่าวด้วยความเสียดาย

‘ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง’ เฉินซีคิดในใจ ‘ไม่น่าแปลกใจที่ตู้เซวียนรังแกศิษย์น้องชิงอวี่อย่างโจ่งแจ้ง เป็นเพราะเผ่าวิหคเพลิงนภาไม่แข็งแกร่งเหมือนเช่นแต่ก่อน…’

“จริงสิ ว่าแต่ศิษย์พี่ชิงอวี่อยู่ที่ใดหรือ?” เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ เฉินซีก็กวาดสายตามองหาชิงอวี่ แต่กลับไม่พบ ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความงุนงง

“เขาไปทำภารกิจที่นิกายมอบหมายให้กับหลิงไป๋” หั่วโม่เลยขมวดคิ้วและบอกเล่าเกี่ยวกับการมาถึงของซินหรูไห่เมื่อครึ่งเดือนก่อนให้แก่เฉินซี

หลังจากได้ยินเรื่องนี้ จู่ ๆ เฉินซีก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ และเขารู้สึกได้ราง ๆ ว่าดูจะมีแผนการแฝงอยู่เบื้องหลัง

“แย่แล้ว! ศิษย์น้องเฉินซีอยู่ที่นี่หรือไม่? ข้าเพิ่งได้รับข่าวมาว่าศิษย์พี่ชิงอวี่ของเจ้าถูกขังอยู่ในเทือกเขาเทพเจ้าไก่ฟ้าของแคว้นสือ!” ในขณะนี้ เสียงที่ชัดเจนและก้องกังวาน ซึ่งเผยให้เห็นถึงความวิตกกังวลได้ดังก้องขึ้นมาจากขอบฟ้า

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]