บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 615

บทที่ 615 ตำหนักเมฆาคราม

บทที่ 615 ตำหนักเมฆาคราม

ตอนนี้ศิลาวิญญาณไร้ความหมายสำหรับเฉินซี ในขณะที่วารีวิญญาณและยาเม็ดจิตวิญญาณระดับสวรรค์ขึ้นไปจึงจะสามารถช่วยเรื่องการบ่มเพาะพลังของเขาได้

และของอย่างศิลาอมตะก็เป็นสิ่งที่หายากเกินไป ไม่อาจหาใช้ในโลกรองได้ แม้จะเป็นในแดนภวังค์ทมิฬ ก็ยังนับว่าหายากและล้ำค่ายิ่งนัก

ตั้งแต่เขาเริ่มบ่มเพาะพลังมาจนถึงตอนนี้ เฉินซีเคยได้ยินแต่ชื่อ ยังไม่เคยเห็นของจริงด้วยซ้ำ

สมบัติล้ำค่าเช่นนี้ได้มาจากชีพจรเซียนในภพเซียนเท่านั้น และทั่วทั้งแดนภวังค์ทมิฬ ก็มีเพียงกองกำลังอย่างสิบนิกายเซียนที่สามารถติดต่อกับภพเซียนได้ และโชคดีได้รับศิลาอมตะมาบางส่วน

ในนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง มีเพียงตัวตนขอบเขตเซียนปฐพีเท่านั้นที่จะสามารถได้รับศิลาอมตะเพื่อนำมาใช้บ่มเพาะได้ แต่กระทั่งขอบเขตเซียนปฐพีก็ยังรักศิลาอมตะดั่งชีวิต ไม่กล้าใช้โดยง่าย

ศิลาอมตะมีความล้ำค่าเพียงไหนก็เห็นได้จากสิ่งนี้

ศิลาอมตะตรงหน้ามีขนาดเพียงไข่นกพิราบ มันใสกระจ่างดั่งแก้ว เต็มไปด้วยแสงเรืองแห่งเซียน ทั้งยังมีสายพลังสีทองแห่งกฎแห่งเต๋าสวรรค์ประทับอยู่บนพื้นผิว นับว่ามีคุณภาพสูงยิ่ง

แม้จะมีขนาดเพียงไข่นกพิราบ แต่เมื่อถือในมือก็หนักเป็นอย่างมาก

เฉินซีพยายามดูดซับปราณเซียนภายในศิลาอมตะ พลันรู้สึกว่าทั่วทั้งร่างสั่นสะท้านเมื่อพลังงานที่ทั้งกว้างใหญ่และทรงพลังเป็นอย่างยิ่งพุ่งเข้าสู่ร่างราวกับคลื่นซัดสาด มันกระจายไปทั่วแขนขาและร่างกาย ก่อนจะผ่านเส้นชีพจรทั้งหลายไปทั่วร่าง จากนั้นไปรวมอยู่ที่แดนฮุ่นตุ้นภายในท้องทะเลแห่งลมปราณเป็นแห่งสุดท้าย

ชั่วพริบตานั้นเอง ปราณแท้ภายในแดนฮุ่นตุ้นที่เดิมทีแห้งเหือดก็พลันมีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยพละกำลัง ฟ้าดินภายในแดนฮุ่นตุ้นเต็มไปด้วยกระแสปราณแท้หนาแน่น ทำให้ทุกอย่างภายในโลกใบนั้นฟื้นคืนชีวิต เกิดเป็นภาพทิวทัศน์งดงาม

นี่เป็นเพียงแค่ปราณแท้ที่เกิดขึ้นจากเส้นสายแห่งปราณเซียนเท่านั้น แต่กลับสามารถฟื้นฟูปราณแท้ที่เหือดแห้งของเขาได้ทันทีเกือบสามในสิบส่วน!

เฉินซีจึงรู้สึกตกตะลึงภายในใจเมื่อสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ เขาร้องอุทานออกมาด้วยความชื่นชม เพียงแค่เส้นพลังที่มีขนาดเท่าเส้นผมของศิลาอมตะก้อนนี้ก็สามารถเทียบได้กับยาเม็ดจิตวิญญาณระดับสวรรค์หลายร้อยเม็ดแล้ว!

อีกทั้งเมื่อใช้ศิลาอมตะฟื้นฟู ปราณแท้จะถูกเติมเต็มเร็วมาก ทั้งยังบริสุทธิ์และกว้างขวางอย่างไร้ที่ติ โดยไม่จำเป็นต้องหลอมก่อนจะเปลี่ยนมันเป็นปราณแท้ภายในร่างเลย หากนำไปใช้ในการต่อสู้ ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องปราณแท้หมดกลางสนามรบ

ภายในเวลาไม่กี่อึดใจ ชายหนุ่มก็สามารถฟื้นฟูปราณแท้จนเต็ม ในขณะที่ศิลาอมตะในมือยังเต็มไปด้วยแสงเซียน เหมือนไม่ได้ถูกใช้ไปเลยสักนิด

“เป็นสมบัติที่มหัศจรรย์ยิ่ง!”

“หากข้าใช้ศิลาอมตะบ่มเพาะพลังทุกวัน ไม่เพียงแต่จะสามารถทำให้พลังบ่มเพาะพุ่งขึ้นสูงได้ แต่คุณภาพของปราณแท้ภายในร่างก็จะสูงขึ้น ทำให้ยิ่งมีพลังอำนาจสูงส่งขึ้นไปด้วย!”

“เป็นสมบัติล้ำค่าที่หายากโดยแท้ ปราณเซียนภายในศิลาเองก็เหมาะกับการขัดเกลาร่างเช่นกัน”

หลังจากอันเวย อันเคอ เซี่ยอี้ และอวี๋เจ๋อที่อยู่ใกล้ ๆ สัมผัสได้ถึงพลังของศิลาอมตะ พวกเขาก็ร้องชื่นชมออกมาเช่นกัน จากนั้นก็ค่อย ๆ เก็บมันลงไปในที่เก็บสมบัติวิเศษของตน

“พวกเจ้าทุกคนอาจไม่สามารถหลอมศิลาอมตะนี้ได้ภายในหนึ่งเดือน” เลี่ยเผิงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเมื่อเห็นเฉินซีและคนอื่น ๆ มีสีหน้าตกตะลึงยิ่ง

“ได้ยินว่าหากพวกข้ากลายเป็นศิษย์ชั้นยอด ก็จะสามารถได้รับศิลาอมตะมาใช้บ่มเพาะพลังทุกเดือน อีกทั้งยังได้รับที่พำนักบนยอดเขาจรัสเทวะที่เต็มไปด้วยปราณเซียนเอาไว้ใช้บ่มเพาะพลังด้วย ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่?” อันเคอเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงน่าฟังจากด้านข้าง นางมีรูปร่างสูง เนื้อหน้านวลเนียนดั่งหยกใส ทั้งงดงามและมีชีวิตชีวา เมื่อเทียบกับพี่สาวที่มีความงามเหนือใครแล้ว นางให้ความรู้สึกน่ารักน่าชังของเด็กสาวมากกว่า

“ย่อมเป็นเรื่องจริง” เลี่ยเผิงยิ้มแล้วเหลือบมองอันเคอ จากนั้นก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง “ศิลาอมตะเป็นผลประโยชน์ที่ศิษย์ชั้นยอดทุกคนจะได้รับมาใช้ แต่ที่พำนักเหล่านั้นจำต้องให้พวกเจ้าใช้พลังตนเพื่อช่วงชิงมา”

“ได้ยินว่าการแข่งขันระหว่างศิษย์ชั้นยอดนั้นโหดร้ายกว่าของศิษย์ชั้นสูงเสียอีก หากมีพลังไม่พอก็จะถูกบีบคั้นเยาะเย้ย ทำให้ไม่สามารถบ่มเพาะพลังอย่างสงบสุขได้” อวี๋เจ๋อเอ่ยขึ้นช้า ๆ “ศิษย์พี่หลัวเจิ้นแห่งยอดเขาจรัสใต้ของข้าได้กลายเป็นศิษย์ชั้นยอดเมื่อร้อยปีก่อน แต่เพราะสู้คนอื่นไม่ได้จึงออกจากยอดเขาจรัสเทวะไปอย่างไม่ยินยอม สุดท้ายก็ไปบ่มเพาะเพียงลำพัง”

เฉินซีมีสีหน้าตกใจทันทีเมื่อได้ยินดังนี้ ทำให้รู้เลยว่าการแข่งขันระหว่างศิษย์ชั้นยอดไม่เรียบง่ายอย่างที่คิด

“อย่างไรก็แล้วแต่ ในฐานะศิษย์ใหม่ พวกเจ้าทุกคนควรระมัดระวังและพร้อมตั้งรับเอาไว้เมื่อถึงยอดเขาจรัสเทวะ หากเจอศิษย์เก่ายั่วยุ ให้อดทนไปก่อนหากรู้ว่ายังสู้อีกฝ่ายไม่ได้ อย่างไรพวกนั้นก็ยังคงไม่กล้าทำอะไรผลีผลามมากหรอก” เลี่ยเผิงสั่งเสียงเครียดมาจากด้านข้าง

“หากข้าแกร่งกว่าพวกเขาเล่า?” เซี่ยอี้ที่นิ่งเฉยมาโดยตลอดพลันถามขึ้น

“เช่นนั้นก็ไม่ต้องยั้งมือ ยิ่งมีทีท่าใจเด็ดสู้คนมากเท่าไร ฐานะศิษย์ชั้นยอดของเจ้าก็จะยิ่งมั่นคงมากขึ้นเท่านั้น คนธรรมดาย่อมไม่กล้าดูถูกเจ้าอีก” เลี่ยเผิงเหลือบมองเซี่ยอี้พลางพูด

ระหว่างที่กำลังเหินร่างไปนั้น พวกเขาก็เดินทางผ่านไปหลายหมื่นลี้ไปแล้ว

ตลอดทางนั้น เฉินซีสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าปราณวิญญาณในฟ้าดินรอบกายยิ่งหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ และเปลี่ยนเป็นกลุ่มเมฆที่ลอยละล่องอยู่บนท้องฟ้า

“ฮ่า ๆ ข้าจำได้แล้ว วันนี้ก็คือวันการทดสอบแห่งยอดเขาจรัสนั่นเอง ดูเหมือนว่าจะเลือกศิษย์ชั้นยอดใหม่ทั้งห้ามาได้แล้ว”

“น่าสนใจนี่ ไม่รู้ว่าศิษย์ชั้นยอดเหล่านี้จะมีพลังมากเพียงไหน?”

ศิษย์หลายคนสังเกตเห็นผู้อาวุโสเลี่ยเผิงเดินทางมาถึง ในขณะที่พาเฉินซีและคนอื่น ๆ เดินตามมาด้วย จึงเริ่มพูดคุยกันทันที อีกทั้งยังส่งสายตาเยาะเย้ย บ้างก็ดูถูกมาให้ บ้างถึงขนาดมองพวกเขาเป็นเหมือนของเล่นใหม่ทีเดียว

ในฐานะศิษย์ชั้นยอด ทุกคนล้วนเป็นยอดอัจฉริยะที่มีความภาคภูมิใจ ผู้อาวุโสของนิกายมักไม่ค่อยยื่นมือเข้ามาข้องเกี่ยวกับการกระทำใด ดังนั้นจึงยิ่งมีความหยิ่งผยองจองหองกว่าศิษย์คนอื่น ถึงขนาดที่ไม่เชื่อฟังผู้อาวุโสในนิกายเลยด้วยซ้ำ

เฉินซีสัมผัสได้ถึงสายตาเยาะเย้ยมากมายที่พุ่งตรงมาจากรอบกาย เขาเข้าใจทันทีว่าเหตุใดผู้อาวุโสเลี่ยเผิงจึงสั่งไว้เช่นนั้น ดูท่าศิษย์ใหม่จะถูกศิษย์เก่าที่นี่รังแกได้ง่าย

แม้ว่าจะมีผู้อาวุโสเลี่ยเผิงยืนอยู่ด้วย แต่ศิษย์ชั้นยอดพวกนั้นก็ยังหาญกล้าพอจะทำเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าศิษย์ชั้นยอดมีสถานะสูงส่งเพียงใด และมีความหยิ่งผยองมากเพียงใด

หากต้องการอยู่รอดที่นี่ ก็เห็นได้ชัดว่าต้องเจอการแข่งขันน่ากลัวขนาดไหน

“ศิษย์น้องหญิงอันเวย ศิษย์น้องหญิงอันเคอ พวกเจ้าทั้งสองล้วนได้เป็นศิษย์ชั้นยอดแล้ว ข้าขอแสดงความยินดีด้วย” เป็นตอนนั้นเอง สตรีผมม่วงคนหนึ่งก็ปรี่เข้ามา เอ่ยเสียงยินดีขึ้นเมื่อได้เห็นอันเวยกับอันเคอ

“ศิษย์พี่หญิงลู่ฉี!” อันเคอร้องตอบด้วยเสียงยินดีเจือประหลาดใจ เพราะจำสตรีผมม่วงผู้นี้ได้ นางคือศิษย์พี่หญิงจากยอดเขาจรัสเหนือ ผู้มีนามว่าลู่ฉีนั่นเอง

เมื่อลู่ฉีมาถึง นางก็ทำความเคารพผู้อาวุโสเลี่ยเผิง ก่อนจะจากไปพร้อมกับอันเวยและอันเคอ ดูแล้วก็รู้ว่าหากมีนางคอยดูแลอันเวยกับอันเคออยู่ ทั้งสองก็คงไม่ต้องห่วงอะไรนัก

“ศิษย์น้องเซี่ยอี้ ศิษย์น้องอวี๋เจ๋อ!” ชั่วพริบตาต่อมา เซี่ยอี้กับอวี๋เจ๋อก็มีคนเรียก จากนั้นจึงถูกพาไปจากข้างกายเลี่ยเผิงเช่นกัน

จริง ๆ แล้วก็เห็นกันอยู่แล้วว่าศิษย์ชั้นยอดเหล่านี้ล้วนมาจากศิษย์ชั้นสูงแห่งยอดเขาทั้งสี่ หากมีพวกเขาอยู่ ย่อมได้รับการดูแลจากคนร่วมยอดเขาที่ได้เลื่อนขั้นมาเป็นศิษย์ชั้นยอดเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะพบเจอเรื่องร้ายใด ๆ

เผลอแป๊บเดียวก็เหลือเพียงเฉินซีอยู่ข้างกายผู้อาวุโสเลี่ยเผิง

ซึ่งจะดังให้เห็นว่าแม้จะเป็นในหมู่ศิษย์ชั้นยอด ยอดเขาจรัสตะวันตกเป็นพวกอ่อนแอที่สุดและมีจำนวนน้อยที่สุด ไม่มีศิษย์ชั้นยอดที่มาจากยอดเขาจรัสตะวันตกเข้ามาทักทายชายหนุ่มเลยแม้แต่คนเดียว

เมื่อศิษย์ชั้นยอดที่เคลื่อนกายไปมาอยู่ในตำหนักเมฆาครามเห็นดังนี้กลับพากันจ้องมองเฉินซี เผยแววตาเยาะเย้ย ชี้มือชี้ไม้มาทางเขาและเอ่ยวิจารณ์กันอย่างไม่เกรงกลัว

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]