บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 691

บทที่ 691 ถ่ายทอดเต๋า

บทที่ 691 ถ่ายทอดเต๋า

คลื่นน้ำพลุ่งพล่านที่ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเสี่ยวเฉิน ดูเหมือนรูปแกะสลักลึกลับที่ปล่อยกลิ่นอายอันน่าตกตะลึงของมหาเต๋าแห่งวารี ซึ่งดึดดูดความสนใจของทุกคนที่อยู่ในค่าย ด้วยมันเหมือนกับปาฏิหารย์จากสวรรค์ได้อุบัติขึ้น!

แต่ในไม่ช้า เสียงอุทานชื่นชมของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นความตกตะลึง!

เพราะในเวลานี้ ลวดลายที่งดงามได้เผยออกมาให้เห็นเกือบจะพร้อม ๆ กันเหนือร่างของเด็กน้อยคนอื่น ๆ มันเป็นรูปแบบของเปลวไฟที่ลุกโชน แสงสีทองริบหรี่ แสงสีเขียวที่เอ่อล้น ซึ่งล้วนงดงามยิ่งนัก และเผยให้เห็นปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดา

นรกขุมที่เก้าถูกปกคลุมด้วยท้องฟ้าสีเทาขุ่นมัวตลอดทั้งปี และมันก็แห้งแล้งโดยสิ้นเชิง เต็มไปด้วยหินสีเทาและกรวดหิน ซึ่งจืดชืดจนไม่น่าพิสมัย

ถึงกระนั้น สภาพแวดล้อมของที่ตั้งค่ายกลับเต็มไปด้วยสีสันที่สวยงามและหลากสีสัน ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีพลังชีวิตประเภทหนึ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้พลุกพล่าน ซึ่งเหมือนกับฟ้าดินจะกลับกลายเป็นอุดมสมบูรณ์ มันถูกแต่งแต้มด้วยสีสันที่วิจิตรงดงาม

มันเป็นกลิ่นอายที่ก่อตัวขึ้นจากมหาเต๋าแห่งวารี มหาเต๋าแห่งอัคคี มหาเต๋าแห่งทอง และมหาเต๋าแห่งพฤกษา พลังแก่นแท้ที่บริสุทธิ์ของฟ้าดินนี้ ดูราวจะจุติลงมายังดินแดนรกร้างซึ่งถูกเต๋าแห่งสวรรค์ทอดทิ้ง และปรากฏการณ์ที่อุบัติขึ้นก็ยิ่งใหญ่อลังการ จนทำให้คนจากเผ่านรกขุมที่เก้าซึ่งอาศัยอยู่ที่นี่มาหลายชั่วอายุคนต่างจ้องมองด้วยดวงตาที่เบิกโพลง พากันงงเป็นไก่ตาแตก!

ผลกระทบทางสายตาที่รุนแรงนั้นเหมือนกับพายุที่โหมกระหน่ำเข้าใส่หัวใจของพวกเขา จากนั้นคนทั้งหมดก็รู้สึกอึ้งตะลึงงันไป!

“นั่นคือเคล็ดวิชาบ่มเพาะอะไร? ทำไมมันถึงช่างงดงามยิ่งนัก!” เจ้าดำพึมพำ

“ข้ารู้สึกว่าถ้าสามารถควบคุมพลังนั้นได้ ข้าก็จะสามารถฆ่าสุนัขทมิฬเฝ้านรกได้ด้วยมือของข้าเอง!” เจ้าหน้าบากลูบรอยแผลเป็นบนใบหน้า ดวงตาพลันกะพริบถี่ ก่อนจะส่องแสงเป็นประกายสดใสออกมา

“มันไม่ใช่เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ บางทีอาจเป็นพลังงานที่น่าอัศจรรย์และน่าเกรงขามอย่างยิ่งชนิดหนึ่ง” เจ้าโล้นเลียริมฝีปากของตนพลางจ้องเขม็ง

“นั่น…น่าจะเป็นเต๋ารู้แจ้ง ข้าเคยได้ยินท่านนักบวชเคยกล่าวถึงสิ่งนี้ นานมาแล้วก่อนที่โลกของเราจะถูกภพทั้งสามทอดทิ้ง แทบทุกคนในเผ่าของเราสามารถเข้าใจและควบคุมเต๋ารู้แจ้งได้ ทำให้เราสามารถสั่งลมและเมฆได้”

เจ้าหินที่สงบเสงี่ยมและเป็นผู้ใหญ่เกินวัยกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“เต๋ารู้แจ้งหรือ?”

ทุกคนต่างแสดงสีหน้าสับสนเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เพราะนับตั้งแต่พวกเขาเกิดมา ทุกคนล้วนอาศัยอยู่ในนรกขุมที่เก้าซึ่งถูกเต๋าแห่งสวรรค์ทอดทิ้ง ดังนั้นพวกเขาจะจินตนาการได้อย่างไรว่า พลังที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้จะมีอยู่ในโลก!

โดยไม่ได้ตั้งใจ ความร้อนรนกระสับกระส่ายพุ่งออกมาจากภายในหัวใจของพวกเขา และทุกคนก็ปรารถนาที่จะเข้าใจพลังงานที่เรียกว่าเต๋ารู้แจ้งเช่นกัน แต่ด้วยความคำนึงถึงหน้าตาของพวกเขา จึงไม่มีใครเต็มใจ ‘ยอม’ เลยสักคนเดียว

ถึงอย่างไร พวกเขาก็เป็นคนเลือดร้อนและไม่ยอมใครของนรกขุมที่เก้า เนื่องจากพวกเขาตัดสินใจว่าจะต่อต้านเฉินซี แล้วพวกเขาจะยอมจำนนเช่นนี้ได้อย่างไร?

เด็กเหล่านั้นพากันขมวดคิ้วและนิ่งเงียบ ในขณะที่พวกเขายืนหยัดในศักดิ์ศรีอย่างดื้อรั้น ไม่คิดยอมสยบให้กับใคร

“เด็กน้อยเหล่านี้เริ่มหวั่นไหวแล้ว” โม่ย่ากล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทว่าดวงตาของนางกลับเต็มไปด้วยความสับสน หญิงสาวรู้สึกว่าหากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ แม้ว่าเด็กน้อยเหล่านี้จะไม่หวั่นไหว แต่หัวใจของพวกเขาก็อาจถูกเฉินซีพิชิตได้

“ไม่ใช่แค่พวกเขา แม้แต่ข้าก็หวั่นไหวเล็กน้อย” เหมิงเหวยหัวเราะอย่างขมขื่น พลางถอนหายใจ “นั่นคือเต๋ารู้แจ้ง และนอกจากปราชญ์จากยุคบรรพกาลของเผ่านรมขุมที่เก้าของเรา จะมีผู้ใดที่เข้าใจมันหลังจากผ่านกาลเวลาอันยาวนานเช่นนี้?”

เขารู้สึกราง ๆ ว่า บางทีความสามารถเล็กน้อยที่เฉินซีแสดงออกมานั้น ไม่ได้มีความหมายอะไรกับตัวชายหนุ่มเลย แต่สำหรับเผ่านรกขุมที่เก้าของพวกเขา มันไม่ได้ด้อยไปกว่าการเปิดประตูสู่โลกใหม่ อีกทั้งยังทำให้พวกเขารู้สึกตกใจและโหยหาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

แม้แต่เหมิงเหวยเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมและเกิดความคาดหวัง เพราะเขาต้องการที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ซึ่งจะเกิดขึ้นในเผ่านรกขุมที่เก้าภายใต้การนำของคนนอกผู้นี้

“ถ้า…” โม่ย่าโพล่งขึ้นมาทันที ฟันที่ขาวราวกับหิมะของนาง พลันขบกับริมฝีปากเบา ๆ หญิงสาวแสดงสีหน้าซับซ้อนไม่แน่นอน หลังจากนั้นจึงกัดฟันแน่นและกล่าวว่า “ข้ากำลังบอกว่า หากคนผู้นี้ยอมถ่ายทอดวิธีทำการเข้าใจในเต๋ารู้แจ้งให้กับคนของเผ่าเรา เช่นนั้นข้าจะยอมจำนนต่อเขา ยอมรับเขาในฐานะหัวหน้าเผ่า และจะไม่ขัดขืนคำสั่งของเขาเด็ดขาด!”

เหมิงเหวยหัวเราะอย่างขมขื่น พลางส่ายศีรษะและกล่าวว่า “แม้ว่าจะเป็นในยุคบรรพกาล แต่การจะหยั่งถึงเต๋ารู้แจ้งได้นั้น ต้องมีความสามารถในการเข้าใจและพรสวรรค์ เงื่อนไขของเจ้าไม่บุ่มบ่ามไปหรือ?”

“บุ่มบ่าม? ฮึ่ม! ข้าไม่คิดเช่นนั้น” โม่ย่าแค่นหายใจเบา ๆ ผ่านจมูกของนาง ทำให้รูปร่างของหญิงสาวดูงดงามเร่าร้อน เช่นเดียวกับผมหางม้าสีดำขลับที่สยายเป็นลอนอย่างสง่างามของนาง ท่ามกลางสายลมอ่อน มันก็ยิ่งขับเน้นให้นางดูสะคราญใจและมากด้วยเสน่หา

เหมิงเหวยตกตะลึงและกำลังจะกล่าว แต่จู่ ๆ เสียงการสอนของเฉินซีก็ลอยเข้าหูเขา ทำให้สีหน้าของเจ้าตัวเปลี่ยนเป็นจริงจังทันที จากนั้นจึงเริ่มฟังอย่างตั้งใจ

เสี่ยวเฉิน เด็กขี้มูกโป่ง และเด็กเล็กคนอื่น ๆ ได้ตื่นจากสภาวะการรู้แจ้งถึงเต๋าแล้ว และดวงตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความสับสน ราวกับพวกเขาได้ประสบกับความฝันที่แปลกประหลาดและเหนือจริง

เฉินซีที่เห็นดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม และคิดที่จะตีเหล็กตอนยังร้อน เขาเริ่มอธิบายว่าเต๋ารู้แจ้งคืออะไร แล้วเราจะเข้าใจและใช้พลังงานประเภทนี้ได้อย่างไร…

ความสามารถในการทำความเข้าใจของเด็กเล็กเหล่านี้โดดเด่นเป็นอย่างมาก แต่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการรู้แจ้งถึงเต๋าของพวกเขายังต้อยต่ำ และพวกเขาเป็นเหมือนกระดาษเปล่า ซึ่งสิ่งที่เด็กพวกนี้ขาดก็คือความรู้!

หากกล่าวว่า ความทุกข์ยากในช่วงขอบเขตจุติเป็นการเปลี่ยนแปลงและการทำให้วิถีบ่มเพาะบริสุทธิ์ ทุกสิ่งที่เขาทำอยู่ในตอนนี้ก็เหมือนกับว่าชายหนุ่มกำลังประสบกับวัฏจักรแห่งชีวิตและกำลังทะลวงผ่าน!

หลังจากคิดได้เช่นนี้ เฉินซีก็รู้สึกโล่งอกและมั่นใจมากขึ้น อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความคาดหวังต่อเส้นทางการบ่มเพาะของตนเองในอนาคต

ไม่นานนัก เฉินซีก็ยืนขึ้นและหยุดสอน

คนของนรกขุมที่เก้าเหล่านี้ซึ่งบ้านเรือนถูกทำลายและถูกไล่ล่า จนต้องใช้เวลาทั้งวันไปกับการเดินทางอันยาวนานในทุก ๆ วัน ก็ได้แต่หยุดเพียงช่วงสั้น ๆ และปล่อยให้เด็กเหล่านี้ได้บ่มเพาะยามพักผ่อน

…และบัดนี้ มันก็ได้เวลาออกเดินทางแล้ว

ตามกิจวัตรของพวกเขา เหมิงเหวยกับโม่ย่าจะนำองค์รักษ์และเด็ก ๆ เหล่านั้นไปเก็บข้าวของ รวมทั้งจัดการทุกอย่างเพื่อเตรียมออกเดินทาง

ทว่าในขณะนี้ พื้นที่ตั้งค่ายทั้งหมดกลับเงียบกริบ แม้ว่าเฉินซีจะหยุดสอน แต่ก็ไม่มีใครตื่นจากการไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพยายามที่จะแยกแยะความรู้ทั้งหมดที่พวกเขาได้ยินจากชายหนุ่มอย่างเต็มที่

เมื่อเห็นเช่นนี้ รอยยิ้มน้อย ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนมุมปากของชายหนุ่ม เพราะเฉินซีรู้ว่าการสั่งสอนของเขาได้บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว และบางทีไม่นานหลังจากนั้น คนจากเผ่านรกขุมที่เก้าที่เรียบง่ายและเลือดร้อนจะยอมรับตัวเขาอย่างสมบูรณ์

ด้วยวิธีนี้ เฉินซีจะสามารถทำสิ่งที่นักบวชชรามอบหมายให้กับเขาได้สำเร็จ!

“สหายน้อย ขอบคุณเจ้ามาก!” กระโจมตรงกลางถูกเปิดออก นักบวชที่สูงวัยและผอมแห้งเดินออกมา อีกฝ่ายคุกเข่าลงบนพื้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและจริงจัง จากนั้นจึงโค้งคำนับด้วยความขอบคุณต่อเฉินซี

ท่าทางที่อุทิศตนและพิธีการโบราณที่ชายชราใช้ ทำให้ดูเหมือนพิธีการที่ใช้เมื่ออธิษฐานต่อเทพเจ้าในระหว่างการสังเวย มันทำให้เฉินซีตกตะลึงในใจและรู้สึกสะเทือนใจอย่างมาก อีกทั้งมันยังกระตุ้นความรู้สึกแปลก ๆ ในตัวเขา

เฉินซีเดินไปข้างหน้าและพยุงชายชราบนพื้นทันที ก่อนที่ชายหนุ่มจะกล่าวอย่างจริงจังว่า “ไม่ต้องกังวล ชีวิตของข้าได้รับการช่วยเหลือจากเผ่านรกขุมที่เก้า และตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะไม่ลืมทดแทนบุญคุณนี้อย่างแน่นอน”

นักบวชชราหัวเราะด้วยความพอใจ เขาแตะมือของเฉินซี และไม่กล่าวอะไรอีก

เพราะชายชรารู้ว่าเพียงเท่านี้มันก็มากพอแล้ว เมื่อได้รับคำสัญญาดังกล่าวจากเฉินซี …ชะตากรรมของเผ่านรกขุมที่เก้าก็อาจเปลี่ยนไปเพราะคำสัญญาที่ว่านี้!!!!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]