บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 742

บทที่ 742 ยอมรับความพ่ายแพ้หรือตาย

บทที่ 742 ยอมรับความพ่ายแพ้หรือตาย

เสียงร้องโหยหวนอย่างน่าสมเพชดังก้องอยู่ในอากาศ จนทำให้สีหน้าของทุกคนจากเขาวิญญาณนิรันดร์กลายเป็นเคร่งขรึม

“ช่างรวดเร็วยิ่งนัก!”

เวลาผ่านไปเพียงอึดใจตั้งแต่เริ่มการต่อสู้ แต่มือขวาของฟางจิ้งเลวี่ยกลับหักและนิ้วของเขาก็แหลก โดยที่พวกเขาไม่อาจตอบสนองต่อเหตุการณ์ดังกล่าวได้ทัน!

“รนหาที่ตาย!” ใบหน้าขอฟางจิ้งเลวี่ยบิดเบี้ยวขณะที่คำรามลั่น และปราณแท้ในร่างกายของเขาก็สั่นสะเทือนราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก มันปะทุแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีออกมา ตัวคนยกมือซ้ายขึ้นเหมือนขวานใหญ่ของเทพเจ้า และฟาดลงไปที่หัวของเฉินซี!

เขาไม่สนใจความจริงที่ว่ามือขวาของตนเองพิการ และตั้งใจจะต่อสู้กับอีกฝ่ายในระยะประชิด …ดังนั้นฟางจิ้งเลวี่ยจึงลงมืออย่างเด็ดขาด ไร้ความปรานี และไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าการที่เขาบ่มเพาะมาจนถึงระดับนี้ไม่ใช่เพราะโชคช่วยอย่างเดียว

ปัง!

เฉินซีฟาดด้วยหลังมือ ส่งอักขระยันต์เข้าต้าน ซึ่งไม่เพียงจะลบล้างการโจมตีนี้เท่านั้น แต่ยังตบหน้าฟางจิ้งเลวี่ยอย่างต่อเนื่อง สร้างแรงระเบิดจนผลักตัวคนกระเด็นออกไป เลือดไหลรินออกจากจมูกและปากของเขา ในขณะที่แก้มของเจ้าตัวก็ปูดบวม แม้แต่ฟันบางซี่ก็หลุดออกมา

เหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ตกตะลึง เพราะการเคลื่อนไหวของเฉินซีนั้นผ่อนคลายและเรียบง่ายยิ่ง แต่มันกลับแฝงความแข็งแกร่งที่ไม่มีใครเทียบได้ ทั้งทรงพลังและทำให้คู่ต่อสู้แทบไม่มีโอกาสได้ต่อต้านแม้แต่น้อย!

“ต้องบ่มเพาะสิ่งใด จึงจะบรรลุผลลัพธ์ที่น่ากลัวเช่นนี้ได้?”

ใบหน้าของผู้บ่มเพาะจากเขาวิญญาณนิรันดร์เปลี่ยนไป พวกเขาทั้งหมดต่างไม่กล้าเชื่อในสายตาของตนเอง ความแข็งแกร่งของฟางจิ้งเลวี่ยถือเป็นหนึ่งในอันดับต้น ๆ แต่ตอนนี้เขากลับไม่มีโอกาสที่จะต่อต้าน แล้วพวกเขาจะยอมรับสิ่งนี้ได้อย่างไร?

พวกเขาเป็นใคร?

พวกเขาเป็นศิษย์จากเขาวิญญาณนิรันดร์แห่งสรวงสวรรค์สงบเงียบ!

ไม่ว่าจะเป็นมรดกของนิกายหรือภูมิหลังของพวกเขา ล้วนแต่ไม่ธรรมดา อีกทั้งยังมีทรัพยากรและมีกองกำลังที่น่าหวาดหวั่นอยู่เบื้องหลัง

ในฐานะศิษย์กลุ่มแรกที่ปรากฏขึ้นในโลก พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นอัจฉริยะของนิกายที่มีการบ่มเพาะไม่ธรรมดาและครอบครองความแข็งแกร่งที่น่าตกตะลึง กระทั่งผู้อาวุโสของนิกายก็ได้คาดหวังกับศิษย์กลุ่มนี้ไว้อย่างมาก

ส่วนสิ่งที่พวกเขากังวลคือ สิบนิกายเซียนกับหกนิกายอสูรนั้นด้อยกว่าพวกเขามาก ดังนั้นความแข็งแกร่งของพวกเขาทั้งหมดย่อมเพียงพอที่จะกวาดล้างผู้บ่มเพาะรุ่นเดียวกันทั้งหมดในแดนภวังค์ทมิฬ และครองอำนาจสูงสุดเหนือผู้ใด!

ซึ่งความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้น ตั้งแต่พวกเขาเข้ามาในนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง พวกเขาก็มีความสุขต่อการได้รับการปฏิบัติที่ให้เกียรตินี้เป็นที่สุด และฟางจิ้งเลวี่ยได้สอนบทเรียนอย่างดุเดือดให้แก่หนึ่งในศิษย์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองที่พูดจาเย่อหยิ่ง …ทั้งหมดนี้ทำให้ความมั่นใจของพวกเขาพลุ่งพล่านยิ่งกว่าเดิม

ทว่าพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าฟางจิ้งเลวี่ยจะพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วเมื่อเผชิญหน้ากับเฉินซี!

มีเพียงใบหน้าขององค์หญิงไป๋หลี่ และผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ จากเขาวิญญาณนิรันดร์เท่านั้นที่สำรวมมั่นคง หากแต่ภายในแววตาที่เคร่งขรึมของพวกเขาซึ่งมองไปยังสังเวียนพินิจกระบี่ กลับไม่ได้สงบอย่างที่เห็นภายนอก!

พรวด!

บนสังเวียนพินิจกระบี่ ฟางจิ้งเลวี่ยกระอักเลือดออกมาคำโต ผมเผ้าของเขายุ่งเหยิง ในขณะที่มือขวาถูกบิดงอ และเสื้อผ้าของเจ้าตัวก็ถูกย้อมด้วยโลหิต จึงทำให้ตัวคนดูเหมือนเป็นคนละคนเมื่อเทียบกับความยโสที่เคยเป็นมาก่อนหน้า

การที่มือขวาของเขาถูกบดขยี้และตบหน้าฉาด ทำให้ศักดิ์ศรีของฟางจิ้งเลวี่ยเสียหาย และกระทั่งรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก

เขาโกรธแค้นจนแทบเป็นบ้า ทั้งที่ครอบครองกายาเบญจธาตุ มีศักยภาพที่จะกลายเป็นราชันผู้ไร้ใครเทียบได้ และพรสวรรค์ที่มีก็ไม่ธรรมดา เส้นทางการบ่มเพาะของเขาจนถึงตอนนี้ก็ราบรื่นราวกับสายลม แล้วเมื่อใดกันที่ชายหนุ่มจะเคยต้องมาทนทรมานกับความอัปยศอดสูเช่นนี้?

“บัดซบ! เจ้าสมควรตาย!!” ฟางจิ้งเลวี่ยคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว และลุกขึ้นยืนด้วยสภาพที่สะบักสะบอม จากนั้นเจ้าตัวก็คว้าจับอากาศตรงหน้า ทำให้เกิดเสียงหึ่ง ๆ ดังก้องออกมา ก่อนจะตามด้วยรอยแยกในอากาศ …ที่มีกระบี่โบราณอันเรียบง่ายปรากฏขึ้นจากภายใน

กระบี่เล่มนี้มีลักษณะตรงเหมือนไม้บรรทัด เรียบง่าย โบราณ และมีลวดลายต่าง ๆ มากมาย เช่น ลวดลายภูเขา แม่น้ำ พืช ดวงดาว ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ การศึกษา การทำไร่ และการตกปลา!

ทันทีที่จับกระบี่เล่มนี้ ท่าทางของฟางจิ้งเลวี่ยพลันเปลี่ยนไป เขากลายเป็นผู้สง่างามเหมือนดั่งจักรพรรดิโบราณที่จุติลงมายังโลก!

สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือ มือขวาที่พิการของชายหนุ่มกลับหายเป็นปกติในพริบตา! ยิ่งไปกว่านั้น กลิ่นอายของเขายังแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิมถึงสองเท่า

“กระบี่เต๋าจักรพรรดินภา!”

“ศิษย์พี่ฟางเสียสติไปแล้ว! นั่นเป็นสมบัติอมตะที่แท้จริง กระบี่เต๋าที่ปราชญ์ในยุคบรรพกาล จักรพรรดินภาเหลือทิ้งไว้ มันแฝงมหาเต๋าแห่งปราชญ์ และปราณของจักรพรรดิเมื่อใช้มัน …การต่อสู้ในครั้งนี้คงจะไม่จบลงแน่ หากไม่มีใครสักคนเสียชีวิต!”

“ไม่จำเป็นต้องกังวล มีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีมากมายอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงไม่มีอันตรายใด ๆ ต่อชีวิตของใคร อย่างมากที่สุด เฉินซีจะยอมรับความพ่ายแพ้และออกจากโถงพินิจกระบี่อย่างเชื่อฟัง”

ศิษย์ของเขาวิญญาณนิรันดร์พูดด้วยความตกใจเมื่อเห็นฟางจิ้งเลวี่ยชักกระบี่นี้ออกมา

กระบี่เต๋าจักรพรรดินภาเป็นสมบัติอมตะที่ถูกทิ้งไว้ตั้งแต่ยุคบรรพกาล ตามตำนานเล่าว่า มันคือกระบี่ของปราชญ์ในยุคบรรพกาลที่มีสมญานามว่า ‘จักรพรรดินภา’ และแม้ว่าวิญญาณศัสตราจะถูกทำลายไปแล้ว แต่อานุภาพของมันก็ยังทรงพลังเป็นพิเศษ และไม่ได้ด้อยกว่าสมบัติอมตะ

หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่า วิญญาณศัสตราของกระบี่เล่มนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดใหม่ ก็คงไม่มีทางที่กระบี่เล่มนี้จะตกไปอยู่ในมือของฟางจิ้งเลวี่ย ถึงอย่างไร พลังของสมบัติล้ำค่าดังกล่าว ก็สามารถดึงออกมาได้อย่างสมบูรณ์โดยผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีเท่านั้น

ในขณะที่บรรดาศิษย์ของเขาวิญญาณนิรันดร์ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก ศิษย์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองต่างเริ่มกังวล เพราะถึงอย่างไร พลังของกระบี่ในมือฟางจิ้งเลวี่ยนั้นยิ่งใหญ่และไม่ธรรมดา จนแม้แต่ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงยังตกใจ แล้วจะนับประสาอะไรกับฉางเล่อ หลงเจิ้นเป่ยและศิษย์คนอื่น ๆ

อานุภาพของมันน่ากลัวยิ่ง!

คนหนึ่งเป็นเหมือนการเกิดขึ้นของปราชญ์ การสืบเชื้อสายของกษัตริย์ ทุกหนทุกแห่งที่เจตจำนงกระบี่ผ่านไปต่างเต็มไปด้วยสติปัญญา ความเมตตา ความกล้าหาญ หรือปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่และยอดเยี่ยมอื่น ๆ อีกมากมาย ในขณะที่อีกคนกลับลุกโชนด้วยแสงสีเลือด ซึ่งมีจิตสังหารอันน่าเกรงขามและหนาแน่น ราวกับหมายจะเข่นฆ่าเทพเจ้าและสังหารปราชญ์ …ต้องการที่จะทำลายล้างปราชญ์ทั้งหมดในโลก!

ไม่ต้องพูดถึงการปะทะกันด้วยการบ่มเพาะของพวกเขา เพียงแค่การปะทะกันของกระบี่ทั้งสองเล่มนี้ มันก็ทำให้หัวใจของทุกคนในห้องโถงสั่นสะท้าน และคลื่นพายุที่ไม่อาจสงบได้ก็เกิดขึ้นในใจของพวกเขา

“ปราชญ์—สังหาร—ต้องห้าม—กระบี่!” แววตาขององค์หญิงไป๋หลี่เปลี่ยนไปมา และในที่สุด ริมฝีปากที่อวบอิ่มและอ่อนนุ่มของนางก็พ่นคำสองสามคำออกมาด้วยความยากลำบาก

ในเวลาเดียวกัน ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงก็จดจำกระบี่สีแดงเลือดในมือของเฉินซีได้เช่นกัน และร่างกายของเขาก็แข็งทื่อ ขณะที่ชายชราพึมพำ “กระบี่เล่มนี้ไม่ใช่ว่าหายไปในอาณาจักรเร้นลับเงาทมิฬ พร้อมกับผู้อาวุโสจากเผ่าหยาจื้อเมื่อหมื่นปีก่อนหรือ?”

“กระบี่ต้องห้ามสังหารปราชญ์!”

ตามตำนานว่ากันว่า กระบี่นี้เคยสังหารนักปราชญ์นับไม่ถ้วนในยุคบรรพกาล ทำให้เลือดไหลนองพื้นและย้อมท้องฟ้าครามจนเป็นสีแดง ในเวลานั้น ฝนเลือดของเหล่าปราชญ์ได้ตกลงมาเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน ในขณะที่สิ่งมีชีวิตจำนวนมหาศาลสามารถได้ยินเสียงคลื่นเสียงโหยหวนอันน่าเศร้าของบรรดานักปราชญ์ ซึ่งได้สั่นสะเทือนยุคบรรพกาลของทั้งสามภพ!

ต่อมา กระบี่เล่มนี้ได้ถูกผนึกโดยตัวตนทรงพลังอันสูงส่งและไม่ปรากฏในโลกเป็นเวลานาน ในขณะที่การสังหารที่เกิดจากกระบี่นี้และพลังอันน่าสะพรึงกลัวของมันได้กลายเป็นข้อห้ามที่ทำให้ทุกคนหน้าซีดยามกล่าวถึงมัน

หลังจากนั้นไม่นาน กระบี่นี้ก็ได้ถูกพบโดยผู้อาวุโสของเผ่าหยาจื้อเมื่อหมื่นปีก่อน และมันได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งโลก เพราะมันกลายเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าหยาจื้อ แต่น่าเสียดายที่กระบี่เล่มนี้และผู้อาวุโสของเผ่าหยาจื้อได้หายไปในอาณาจักรเร้นลับเงาทมิฬพร้อม ๆ กัน ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนในโลก ต่างต้องถอนหายใจด้วยความเสียดายอย่างยิ่ง

ถึงกระนั้น กระบี่ต้องห้ามเล่มนี้ซึ่งถูกกล่าวถึงในตำนาน กลับปรากฏอยู่ในมือของเฉินซี ดังนั้นผู้อาวุโสเลี่ยเผิงจะไม่แปลกใจได้อย่างไร?

โครม!

ฟางจิ้งเลวี่ยซึ่งอยู่บนสังเวียนพินิจกระบี่ในเวลานี้ ดูราวกับถูกฟ้าผ่า ตัวคนถูกระเบิดจนปลิวกระเด็น กระบี่เต๋าจักรพรรดินภาที่อยู่ในมือของเขาส่งเสียงคร่ำครวญ ก่อนที่จะเจาะเข้าไปในมิติและหายไป

“เจ้า…เจ้า… กระบี่อันใดกันที่อยู่ในมือเจ้า!?” ฟางจิ้งเลวี่ยกระอักเลือดออกมา ใบหน้าซีดเซียว และร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวอย่างรุนแรง เนื่องจากไม่เคยนึกเลยว่า ตัวเขาจะไม่สามารถทำอะไรกับอีกฝ่ายได้ ทั้งที่ใช้กระบี่เต๋าจักรพรรดินภา!

ทว่าเฉินซีกลับไม่ตอบ ใบหน้าของชายหนุ่มเย็นชาและไม่แยแส เขาถือกระบี่สีแดงเลือดดั่งกษัตริย์ที่เดินผ่านกองเลือดและความมืด จากนั้นดวงตาของชายหนุ่มก็เปล่งประกายด้วยแสงสว่างจ้า ซึ่งเผยให้เห็นอักขระยันต์ที่อยู่ภายใน

ฟึ่บ!

ฟางจิ้งเลวี่ยรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ดวงตาของเขา ราวกับกระบี่ที่แหลมคมได้ทำลายพวกมันอย่างหนักหน่วง ทำให้ดวงตาไม่สามารถมองเห็นได้อีกต่อไป จนอดไม่ได้ที่จะร้องออกมาอย่างน่าสมเพช “เจ้ากล้าทำลายดวงตาของข้าจริง ๆ ข้าจะฆ่าเจ้า! ข้าจะฆ่าเจ้า!” ฟางจิ้งเลวี่ยตกใจเป็นอย่างมาก เขาร้องโหยหวนอย่างน่าสมเพช และเอามือปิดตาขณะที่ร้องโหยหวน

ทว่าเฉินซีกลับไม่แยแส ชายหนุ่มกล่าวเพียงไม่กี่คำ “ยอมรับความพ่ายแพ้… หรือตาย!”

คำพูดนี้มันช่างเยือกเย็นและอำมหิตยิ่งนัก!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]