บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 757

บทที่ 757 ร่างของบิดา

บทที่ 757 ร่างของบิดา

ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงได้ประกาศคำตัดสินสุดท้ายออกมาแล้ว

จนกระทั่งนางออกจากโถงพินิจกระบี่มาไกลแล้ว จิตใจของไป๋หลี่เยียนก็ยังคงอยู่ในภวังค์สับสน นางพึมพำพูดประโยคซ้ำ ๆ กับตัวเองไปตลอดทาง “เป็นไปได้อย่างไร? มันเป็นไปได้อย่างไร?”

หัวใจของเหล่าศิษย์จากเขาวิญญาณนิรันดร์ที่อยู่ข้าง ๆ ล้วนอัดอั้น พวกเขาต่างพากันถอนหายใจ

หลังจากออกมายังโลกภายนอก ทุกคนได้เวียนไปเยี่ยมเยียนกองกำลังมากมายระหว่างทาง ซึ่งทุกที่ต่างก็เป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งได้รับความเคารพในฐานะแขกผู้มีเกียรติ และได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่

สิ่งนี้ได้กระตุ้นความเย่อหยิ่งในใจของพวกเขา ทำให้ศิษย์จากเขาวิญญาณรู้สึกว่านอกจากกองกำลังเพียงหยิบมือในแดนไร้นาม และสรวงสวรรค์สงบเงียบแล้ว กองกำลังอื่น ๆ ในโลกใบนี้ก็ไม่มีที่ใดมีค่าพอที่จะได้รับการกล่าวถึงอีก!

แต่ใครจะคิดว่าทันทีที่มาถึงนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง พวกเขาจะวิ่งชนกำแพงครั้งแล้วครั้งเล่า ประสบกับความพ่ายแพ้ซ้ำซาก ไม่เพียงศิษย์พี่ฟางจิ้งเลวี่ยกับศิษย์พี่ลู่ผิงจะพ่ายแพ้ลงอย่างน่าสังเวชด้วยน้ำมือของคู่ต่อสู้ แม้กระทั่งองค์หญิงไป๋หลี่ก็ยังต้องสูญเสียเงินจำนวนมากไปเพราะเหตุนี้ ทั้งยังต้องก้มศีรษะและยอมรับความผิดพลาดต่อผู้อาวุโสของอีกฝ่าย …เรื่องทั้งหมดนี้ทำให้พวกเขารู้สึกราวกับมีเข็มทิ่มแทงหัวใจ ความภาคภูมิใจที่เคยมีพังทลายลงในทันที!

ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาเสียใจและตื่นตระหนกที่สุดคือ มรดกสูงสุดของนิกายพวกเขาได้รั่วไหลออกมาจริง ๆ ซึ่งหากข่าวนี้ถูกเผยแพร่ส่งต่อกลับไปถึงนิกาย มันย่อมกระตุ้นความโกรธของพวกผู้อาวุโสระดับสูงอย่างแน่นอน และพวกเขาคงไม่สามารถหลีกเลี่ยง ทุกคนย่อมได้รับผลกระทบและถูกลงโทษไปตาม ๆ กัน…

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ สีหน้าของศิษย์เหล่านี้ก็ล้วนดูมืดมน ราวกับไก่อ่อนที่พ่ายแพ้จนต้องกระสับกระส่าย

และเรื่องทั้งหมดนี้เกิดจากคนเพียงคนเดียว…เฉินซี!

พวกเขาเชื่อมั่นว่า หากเฉินซีผู้ชั่วร้ายคนนี้ไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ในโถงพินิจกระบี่เมื่อเจ็ดวันก่อน หรือร่วมการเดิมพันในวันนี้ เหตุการณ์ที่น่าผิดหวังทั้งหมดนี้คงจะไม่เกิดขึ้น!

“เป็นไปได้อย่างไร… มันเป็นไปได้อย่างไร…” ไป๋หลี่เยียนยังคงพึมพำด้วยสีหน้าว่างเปล่าไปตลอดทางจนพวกเขาออกจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรองไป ราวกับว่าจิตใจของนางได้ล่องลอยไปไกลแสนไกล

“องค์หญิง พระองค์เป็นอะไรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ในที่สุดก็มีคนอดไม่ได้ที่จะถามออกไป

สิ่งนี้ทำให้หญิงสาวพลันสะดุ้งตื่นขึ้นจากภวังค์ ท่าทีของหญิงสาวเปลี่ยนกลับมาเป็นเฉียบขาดและเด็ดเดี่ยว “ข้าตัดสินใจแล้ว จนกว่าข้าจะตรวจสอบเจอว่าเฉินซีเข้าใจเต๋ารู้แจ้งนิรันดร์ได้อย่างไร ข้าสาบานว่าจะไม่กลับไปที่นิกายเด็ดขาด!”

ในขณะนี้ เฉินซีกำลังมองไปยังชุดเกราะขนนกหมอกใต้พิภพในมืออย่างประหลาดใจ พลางถอนหายใจด้วยความชื่นชม

สมบัติอมตะชิ้นนี้ได้รับการขัดเกลาจากวัตถุดิบอมตะ ‘ไหมขนนกหมอกใต้พิภพ’ และมีข้อจำกัดที่ผู้บ่มเพาะวางไว้อยู่ถึงสามสิบหกประการ ซึ่งมันไม่เพียงจะสามารถแปลงเป็นเสื้อผ้าที่มีรูปลักษณ์แตกต่างกันเมื่อสวมใส่เท่านั้น มันยังมีความสามารถในการป้องกันที่น่าตกตะลึงอย่างมาก ซึ่งเพียงพอที่จะต้านทานการโจมตีอย่างเต็มกำลังของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีได้โดยไม่แตกหัก!

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะวัสดุที่ใช้สำหรับสร้างสมบัติอมตะชิ้นนี้ ‘ไหมขนนกหมอกใต้พิภพ’ ที่ผลิตมาจากหนอนไหมหมอกใต้พิภพ แมลงศักดิ์สิทธิ์ในยุคบรรพกาล และแม้ว่าหนอนไหมหมอกใต้พิภพจะมีอายุได้เพียงหนึ่งวัน แต่ความแข็งแกร่งของพวกมันนั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง ทันทีที่พวกมันเกิดมา ก็มีพลังพอจะฉีกฟ้าดินออกจากกันแล้ว จึงนับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่อัศจรรย์และน่าเกรงขามยิ่งนัก!

ในชั่วพริบตา ก่อนที่พวกมันกำลังจะตาย เส้นไหมชนิดหนึ่งจะก่อตัวขึ้นภายในศพของพวกมัน …เส้นไหมนั้นละเอียดบางเบาราวกับลำแสงและยาวน้อยกว่าสามฉื่อ แต่มันเป็นวัสดุอมตะที่หายากมาก ทนต่อลมและไฟ มีความยืดหยุ่นสูง มันจึงถือเป็นสมบัติอมตะ โดยไม่ต้องแม้แต่ปรับแต่ง!

ยิ่งกว่านั้น หากไม่รวบรวมเส้นไหมประเภทนี้ให้ทันเวลา มันจะหายไปภายในเวลาสามอึดใจเท่านั้น ดังนั้นวัสดุอมตะประเภทนี้จึงหายากมากอย่างยิ่ง!

เพียงเท่านี้ เราก็สามารถรู้ได้แล้วว่าไหมขนนกหมอกใต้พิภพนี้มีค่าเพียงใด

“เฉินซี เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?” ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงที่อยู่ใกล้ ๆ ลูบเคราของเขาในขณะยิ้ม

“สมบัติล้ำค่า” เฉินซีตอบอย่างจริงจัง

เลี่ยเผิงได้มอบชุดเกราะนี้ให้กับเขา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ นับจากนี้เป็นต้นไป เฉินซีก็จะมีการป้องกันที่ทรงพลังเป็นพิเศษเพิ่มขึ้นอีกชั้นหนึ่ง และมันก็ไม่ต่างจากการมีชีวิตที่สองเลย เพราะถึงอย่างไร สิ่งนี้ก็เป็นสมบัติอมตะ!!

“กระบี่เซียนประกายหิมะนี้…” เลี่ยเผิงกล่าวขึ้น

ทว่าก่อนที่ชายชราจะทันได้พูดจบ เขาก็ถูกขัดจังหวะโดยทัศนคติที่แน่วแน่ของเฉินซี “ท่านอาจารย์ลุง ข้ารับกระบี่เล่มนี้ไว้ไม่ได้ขอรับ!”

เลี่ยเผิงชะงักไป จากนั้นเจ้าตัวก็ถอนหายใจ “เจ้าหนูน้อย เจ้ารู้จักขอบเขต เป็นคนชอบธรรม และมีพรสวรรค์ที่น่าทึ่งยิ่งนัก ข้าเลี่ยเผิงไม่เคยเห็นใครโดดเด่นได้เท่าเจ้ามาก่อน นับตั้งแต่ข้าทำหน้าที่เป็นผู้คุมกฎของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองมา”

ขณะที่พูด ชายชราก็ตบไหล่ชายหนุ่มเบา ๆ “ในยามนี้ จงฝึกฝนเงียบ ๆ อยู่ภายในนิกายไปก่อนเถิด ไม่ว่าลมและฝนข้างนอกจะแรงแค่ไหน มันก็ไม่อาจพัดเข้ามาในอาณาเขตของเราได้”

เฉินซีตกตะลึงและพยักหน้า

สามวันต่อมา

เวินหัวถิงผู้เป็นประมุขนิกายได้กลับมา และเรียกรวมตัวกลุ่มผู้อาวุโสเพื่อไปหารือเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ที่ยอดเขาสัประยุทธ์

ในวันนั้น ศิษย์ทุกคนของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองก็ได้ยินถึงข่าวการปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพในแดนภวังค์ทมิฬ ที่เป็นเหมือนสัญญาณบอกเหตุถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของทั้งสามภพ ทำให้ทั่วทั้งโลกต้องตกตะลึง นิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ทั้งสิบนิกายกับนิกายอสูรทั้งหก หรือแม้แต่นิกายซ่อนเร้นบางแห่งก็ได้เริ่มดำเนินการหลายอย่าง พวกเขาส่งผู้เยี่ยมยุทธ์ออกลาดตระเวนไปทั่วโลก เพื่อสืบหาที่อยู่ของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพ!

ในตอนค่ำ เฉินซีที่ถูกเรียกตัวได้มุ่งหน้าไปยังยอดเขาสัประยุทธ์

ในห้องโถงใหญ่อันโอ่อ่านั้นมีเพียงเวินหัวถิงคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ด้านใน เขาสวมมงกุฎทรงสูงและเสื้อผ้าโบราณ คิ้วของอีกฝ่ายโก่งดั่งยอดเขา แสงศักดิ์สิทธิ์ไหลเวียนอยู่ภายในดวงตาของเจ้าตัวดูราวกับหุบเหว ณ ก้นบึ้งของมหาสมุทร

หลังจากคำนับทักทายอีกฝ่ายแล้ว ชายหนุ่มก็ยืนรออยู่ด้านข้างด้วยความเคารพ หากแต่ในใจของเขากลับกระสับกระส่ายไม่น้อย

ชายหนุ่มทราบมาว่าทันทีที่ประมุขนิกายกลับมา อีกฝ่ายก็เรียกตัวเขามาในทันที ดังนั้นมันจะต้องมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับเฉินหลิงจวินผู้เป็นบิดาของเขาอย่างแน่นอน!

แน่นอนว่าเวินหัวถิงไม่เสียเวลาพูดเรื่องไร้สาระอะไรให้มากมาย เพียงส่งแผ่นหยกให้เฉินซีโดยตรง “บิดาของเจ้าทิ้งสิ่งนี้เอาไว้ ดูเอาเถิด”

โอม!

เฉินซีเปิดใช้งานแผ่นหยก ทันใดนั้นร่างของคนผู้หนึ่งพลันปรากฏขึ้น

พื้นหลังของฉากที่บันทึกอยู่ภายในนั้นเป็นพื้นที่มืดและเงียบสนิท โดยมีร่างหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงใจกลางอย่างภาคภูมิ พร้อมกับแผ่ความรู้สึกกดดันออกมาเบาบาง

นี่คือชายวัยกลางคนที่มีคิ้วรูปทรงเหมือนกระบี่ และมีภาพลักษณ์ดูเข้มแข็งแน่วแน่ เขายืนเอามือไพล่หลัง เปล่งกลิ่นอายที่เป็นอิสระและไม่สั่นคลอนออกมา

คำถามมากมาย ความขมขื่นที่มากเกิน และความโกรธความเดือดดาลที่มากล้น กำลังอัดแน่นอยู่ภายในใจของเฉินซี ก่อนหน้านี้เมื่อรู้ว่าพ่อของเขายังมีชีวิตอยู่ และอีกฝ่ายไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ชายหนุ่มก็สงสัยมาโดยตลอด

ในฐานะเสาหลักเพียงหนึ่งเดียวของครอบครัว เหตุใดบิดาของเขาถึงเพิกเฉยต่อทุกสิ่งและจากไป ปล่อยให้ตระกูลล่มสลาย ละทิ้งท่านปู่ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทิ้งเขาที่ยังเด็ก ทิ้งเฉินฮ่าวที่ยังเป็นทารก ทำให้พวกเขาต้องเผชิญความทุกข์ยาก?

เหตุใดคนผู้นี้จึงได้โหดร้ายนัก?

ทำไม!?

เฉินซีโกรธจนร่างสั่นสะท้าน แม้จะรู้ว่าพ่อของตนจากไปเพื่อช่วยผู้เป็นมารดา ชายหนุ่มก็ยังไม่สามารถให้อภัยเรื่องทั้งหมดนี้ได้!!

บางทีในฐานะสามี การกระทำของเขาอาจเป็นที่ยอมรับได้ แต่ในฐานะพ่อ ในฐานะลูกของท่านปู่แล้ว สิ่งที่เขาทำนั้นน่าผิดหวังเกินไป!

“บางทีมันอาจมีเหตุผลบางอย่างที่เจ้าไม่รู้ซ่อนอยู่ ยามนี้ถึงจะโกรธไปมันก็ไม่มีประโยชน์ รังแต่จะรบกวนการบ่มเพาะดวงจิตแห่งเต๋าของเจ้าเปล่า ๆ” จู่ ๆ เสียงที่ก้องกังวานดั่งระฆังก็ดังขึ้นที่ข้างหูของเฉินซี ปลุกให้เขาตื่นขึ้นจากภวังค์แห่งจากความโกรธที่ระเบิดออกมา ทำให้สติของชายหนุ่มฟื้นกลับมาอีกครั้ง

ตอนนั้นเอง เขาจึงตระหนักได้ว่าตนกือบจะสูญเสียการควบคุมดวงจิตแห่งเต๋า และปล่อยให้ตัวเองถูกมารในใจควบคุม เพราะแผ่นหยกที่บิดาทิ้งไว้!

“ขอบคุณขอรับท่านประมุข สำหรับคำแนะนำของท่าน” เฉินซีประสานมือคำนับและกล่าวขอบคุณ

เวินหัวถิงยิ้มด้วยใบหน้าอ่อนโยน ก่อนจะกล่าวด้วยท่าทีสง่างามอย่างผู้อาวุโส “การรู้แจ้งจะนำเจ้าไปสู่เส้นทางที่ถูกต้อง เช่นเดียวกับความสับสนจนหลงทางที่จะทำให้เจ้าจมดิ่งลงไปชั่วกัลป์ ทุกอย่างถูกตัดสินด้วยหนึ่งความคิด ทว่าหากเราก้าวไปโดยไม่ล้มมาก่อน แล้วจะรู้แจ้งกระจ่างได้อย่างไร?”

นี่คือคำกล่าวของนักพรตเต๋า มันมีความหมายว่า มนุษย์ไม่ใช่ต้นไม้หรือก้อนหิน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไร้ความรู้สึก แต่หากอารมณ์รุนแรงเกินไป จนทำให้เกิดการกระทำที่หุนหันพลันแล่นก็ถือเป็นความหลงผิด และถ้าความปรารถนาหนักหนามันก็คืออวิชชา ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแต่จะไปรบกวนดวงจิตแห่งเต๋า มีเพียงการสงบสติอารมณ์ตั้งจิตให้นิ่งเท่านั้นที่จะช่วยให้จิตได้ผ่อนคลาย ปราศจากมลทินจากปัจจัยภายนอก

เฉินซีพยักหน้า “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของท่าน”

เวินหัวถิงระเบิดเสียงหัวเราะ “อย่าได้จริงจังจนเกินไปนักเลย เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า จงทำตัวตามสบายเถิด”

ขณะที่พูด สีหน้าของเจ้าตัวก็พลันกลายเป็นจริงจังขึ้นทันที “เฉินซี ครั้งนี้ที่ข้าเรียกเจ้ามาที่นี่ ก็เพราะมีอีกเรื่องที่จะบอกเจ้า ศิษย์น้องเยว่ฉือ… ทรยศต่อนิกาย!”

ในตอนท้ายของประโยค แม้จะหักห้ามใจตัวเองไว้แล้ว แต่เวินหัวถิงก็อดไม่ได้ที่จะแสดงอารมณ์โกรธออกมา

ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง “เขาขอลี้ภัยไปยังนิกายวิถีกระแสสวรรค์หรือขอรับ?”

“คงจะเป็นเช่นนั้น”

เวินหัวถิงถอนหายใจ “อาจารย์ลุงเสวียนคุนตกลงที่จะยืนหยัดเพื่อเจ้าและลงโทษเยว่ฉือ แต่เขามาช้าไปก้าวหนึ่ง เมื่อเยว่ฉือได้ยินข่าว อีกฝ่ายก็ได้หลบหนีไปก่อน”

เฉินซียังคงนิ่งเงียบ เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะแยกแยะเนื้อหาของข่าวที่น่าประหลาดใจนี้ ซึ่งหากข่าวนี้แพร่ออกไปในโลกภายนอก มันย่อมทำให้เกิดความวุ่นวายไปทั่วโลกแห่งการบ่มเพาะอย่างแน่นอน

ท้ายที่สุดแล้ว เยว่ฉือก็เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสระดับสูงของหนึ่งในสิบนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ นิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ทั้งยังเป็นเจ้ายอดเขาจรัสตะวันออกที่มีอำนาจยิ่ง การทรยศอย่างกะทันหันของบุคคลที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้จะไม่ทำให้เกิดพายุลูกใหญ่ได้อย่างไร?

ทว่าก่อนที่ชายหนุ่มจะทันได้ตอบโต้ เวินหัวถิงก็เปิดเผยข่าวที่น่าตกใจยิ่งกว่าออกมา “อีกเรื่องหนึ่ง อีกสามวันนับจากนี้ปิงซื่อเทียนจะมาเยี่ยมนิกายเราด้วยตัวเอง!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]