บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 776

บทที่ 776 แบ่งสมบัติ

บทที่ 776 แบ่งสมบัติ

ทุกคนมีความสุขมากหลังได้ยินดังนั้น เนื่องด้วยวิญญาณอัสนีที่ก่อตัวขึ้นจากวิญญาณโลหิตนั้น ซุกซ่อนอยู่ในแดนจำกัดอัสนี จึงส่งผลให้ญาณเทวะอมตะไม่สามารถตรวจจับถึงมันได้ ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาจึงตกอยู่ในภาวะระแวดระวังตลอดเวลา

พวกเขากระทั่งยอมเสี่ยง และเลือกใครสักคนเป็น ‘เหยื่อ’ เพื่อล่อมันออกมา

ทว่าการปรากฏตัวของเฉินซีกลับไม่ต่างจากสวรรค์ประทานพร ชายหนุ่มทำให้ปัญหาตรงหน้าถูกปัดเป่าอย่างง่ายดาย แล้วอย่างนี้จะไม่ให้พวกเขาตื่นเต้นได้อย่างไร?

ซุนตงฮวาถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “เฉินซี พลังอิทธิฤทธิ์ที่เจ้าพูดถึง ใช่เนตรกระจ่างลึกล้ำหรือไม่?”

เฉินซีส่ายหน้าแทนคำตอบ

“หรือว่าจะเป็นเนตรเชื่อมสวรรค์?” ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีอีกคนหนึ่งถามต่อ

ชายหนุ่มยังคงส่ายหน้า

“ในเมื่อไม่ใช่ทั้งเนตรกระจ่างลึกล้ำ และเนตรเชื่อมสวรรค์ ถ้าเช่นนั้นก็…” ผู้เยี่ยมยุทธ์ของเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ เริ่มครุ่นคิดทั้งคิ้วขมวด ก่อนจะเผยความตกตะลึงออกมาบนใบหน้า “คงไม่ใช่เนตรเทวะแห่งความจริงหรอกกระมัง?”

เฉินซีพยักหน้า “ผู้อาวุโส ช่างตาถึง ศิษย์บ่มเพาะวิชาเนตรเทวะแห่งความจริงขอรับ”

จริงอยู่ที่พวกเขาพอจะมองออก แต่กระนั้นก็ยังอดตกใจไม่ได้อยู่ดี เมื่ออีกฝ่ายยืนยันในสิ่งที่คาดเดา จากนั้นทุกคนก็เริ่มพินิจมองชายหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับเพิ่งเคยพบกับเฉินซีเป็นครั้งแรก

ตามที่พวกเขารู้ เนตรเทวะแห่งความจริงเป็นดั่งพลังอิทธิฤทธิ์ต้องห้ามที่ถูกลบล้างไปในสายธารแห่งกาลเวลา และกลายเป็นตำนานมานับชั่วอายุได้

แต่ตอนนี้มันกลับปรากฏขึ้นอีกครั้งบนโลก และอยู่ในความครอบครองของชายหนุ่มผู้หนึ่ง …หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป มันคงจะได้เกิดความโกลาหลกันน่าดู!

โดยเฉพาะแสงแห่งการทำลายล้าง ซึ่งอยู่ภายในเนตรเทวะแห่งความจริง ว่ากันว่ามันสามารถปิดผนึกมหาเต๋าและสกัดกั้นกระบวนท่าโจมตีทั้งหมดได้ อีกทั้งมันยังเป็นหนึ่งในสามสิบอันดับแรกของเทียบพลังอิทธิฤทธิ์ทองคำในสามภพด้วย ดังนั้นพลังของมันจะต้องน่ากลัวอย่างเหลือเชื่อ!

ชายวัยกลางคนที่มีหนวดเคราสีดำนามว่าอวี้เฟิง ซึ่งเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหกที่ภายนอกดูเป็นคนสงบนิ่ง ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นจนหายใจไม่ทัน เขาหัวเราะลั่น “ดี! ดี! ดี!”

ไม่แน่ใจนักว่าคำเยินยอเมื่อครู่นี้เขามีให้เฉินซีหรือเนตรเทวะแห่งความจริงกันแน่

บรรดากลุ่มคนเครายาวคนอื่น ๆ ก็ยิ้มเช่นกัน พวกเขามีท่าทีอบอุ่นเป็นกันเอง สายตาอ่อนโยนจับจ้องไปยังเฉินซีราวกับว่าอีกฝ่ายมีศักดิ์อาวุโสไม่ต่างจากพวกเขามากนัก

สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มสับสนเล็กน้อย

ทว่าในเวลาไม่นาน เขาก็เข้าใจเรื่องทั้งหมดจากอวี้เฟิง หลังจากนั้นชายหนุ่มจึงพยักหน้าก่อนจะพูด “ศิษย์จะไม่เชื่อฟังคำชี้แนะจากผู้อาวุโสได้อย่างไรกัน?”

อวี้เฟิงและคนอื่น ๆ ต่างพากันระเบิดเสียงหัวเราะ พวกเขารู้สึกชื่นชมเฉินซีมากขึ้นไปอีก เจ้าหนุ่มคนนี้มีความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่เทียบเท่ากับขอบเขตเซียนปฐพีระดับสาม ทั้งที่ตอนนี้ยังบรรลุถึงเพียงขอบเขตสถิตกายา และนอกจากความโดดเด่นที่เกินใครแล้ว เขายังมีนิสัยสุภาพเรียบร้อย หากไม่บอกว่าเป็นศิษย์ของวิปลาสหลิ่วละก็ พวกเขาก็มีแผนจะจับตัวเฉินซีไปเลี้ยงดูเป็นศิษย์ให้จงได้!

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

สายฟ้าฟาดลงมาครั้งใหญ่ เฉินซีถือยันต์ศัสตราไว้ในมือขณะที่ปล่อยให้ปลายของมันพัดไปบนอากาศ ฉีกกระชากสายฟ้าชั้นแล้วชั้นเล่า! …ด้วยการโจมตีนี้ พายุแห่งสายฟ้าที่เคยโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง มันก็เหลือแต่สายฟ้าผ่าเส้นบางให้เห็น ซึ่งเป็นส่วนที่ชายหนุ่มปล่อยให้มันซัดลงสู่ร่างกายของเขาอย่างจงใจ

สิบจั้ง สามสิบจั้ง หนึ่งร้อยจั้ง… ยิ่งเข้าไปในแดนจำกัดอัสนีลึกมากเท่าไร คลื่นสายฟ้าเหล่านี้ก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น แม้แต่รัศมีทำลายล้างก็ยังขยายตัวเป็นวงกว้างเช่นกัน ทว่าเฉินซียังคงเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ราวกับไม่มีสิ่งใดสามารถสร้างความระคายให้เขาได้

เฉินซีได้พูดคุยกับอวี้เฟิงและคนอื่น ๆ แล้วว่าเขาจะรับบทเป็น ‘เหยื่อ’ เพราะด้วยวิธีนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลถึงอันตรายใด ๆ ที่มาแผ้วพาน เนื่องจากวิญญาณอัสนีไม่สามารถลอบโจมตีชายหนุ่มได้แน่นอน ด้วยการช่วยเหลือของเนตรเทวะแห่งความจริง และหากมันปรากฏตัวขึ้นมาแม้เพียงแวบเดียวก็ตาม เฉินซีก็จะมองเห็นมันได้ในทันที!!

นอกจากนี้ เฉินซีจำต้องเล่นกลเหมือนกับครั้งก่อนหน้าเพื่อที่จะล่อวิญญาณอัสนีให้ออกมา เขาสาวเท้าไปเบื้องหน้าพร้อมกับบ่มเพาะร่างกายโดยใช้สายฟ้า เพื่อเป็นการหลอกล่อให้อีกฝ่ายเกิดความสับสนไปด้วยในตัว

ในอีกด้านหนึ่ง อวี้เฟิงและคนอื่น ๆ ช่วยกันคุ้มกันชายหนุ่มด้วยญาณเทวะอมตะ หากยามใดมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น พวกเขาจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อจัดการกับวิญญาณอัสนีให้สิ้นซาก

และพวกเขาหาได้กังวลว่าวิญญาณอัสนีจะหนีไปได้ เพราะด้วยความช่วยเหลือจากเนตรเทวะแห่งความจริง ต่อให้อีกฝ่ายหลบหนี มันก็ยังต้องทิ้งร่องรอยให้ตามเจอจนได้!

“เจ้าหนุ่มน้อยคนนี้บ่มเพาะเต๋าแห่งกระบี่ได้ถึงระดับหมื่นกระบี่รวมหนึ่งแล้ว เรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์เต๋าแห่งกระบี่!” ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีสูดหายใจเฮือกใหญ่เพราะความตกตะลึง

“นั่นสินะ ยิ่งเราได้ทำความคุ้นเคยกับเขามากเท่าไร เขาก็ยิ่งมีเรื่องน่าตกใจให้ได้เห็นมากขึ้นเท่านั้น หลังจากที่เราออกไปจากที่นี่ เห็นทีจะต้องจับเข่าคุยกับหัวถิงแล้ว อย่างไรการให้เจ้าหนุ่มนี่ได้สืบทอดตำแหน่งเจ้านิกายก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลว”

“พูดอีกก็ถูกอีก!”

อวี้เฟิงและคนอื่น ๆ คอยสอดส่องไปรอบ ๆ ตัวอย่างระมัดระวัง พลางลอบสังเกตเฉินซีไปด้วย

…ตอนที่ได้เห็นปราณกระบี่ที่แผ่กระจายเป็นวงกว้างเพื่อเปิดทางในแดนจำกัดอัสนีอย่างง่ายดายของเฉินซี พวกเขาก็ยังเผลอชื่นชมอย่างอดไม่ได้

ทันใดนั้นเอง เฉินซีก็หยุดเคลื่อนไหว

ท่าทางที่ผิดปกตินี้ทำให้อวี้เฟิงและคนอื่น ๆ จริงจังมากขึ้น และพร้อมตั้งรับสำหรับการโจมตีที่อาจจะเกิดขึ้นด้วยความตื่นตัว

นั่นคือวิญญาณอัสนี! …ตอนนั้นเอง เฉินซีพลันกวัดแกว่งกระบี่ในมือเพื่อตัดผ่าสายฟ้าออกจากกัน พร้อมกับมองประเมินสายฟ้าเส้นเล็กที่อยู่ห่างออกไปหกลี้จากมุมสายตา

หากมองด้วยตาเปล่า สายฟ้าฟาดเส้นนั้นมีความยาวเพียงหนึ่งชุ่นเท่านั้น มันบางละเอียดประหนึ่งเส้นใยแมงมุมที่ก่อตัวขึ้นจากสายฟ้าอันทรงพลัง ท่ามกลางสนามพลังสายฟ้าโหมกระหน่ำ มันเป็นเพียงสายฟ้าที่หน้าตาดูธรรมดาเท่านั้น และด้วยลักษณะเช่นนี้เอง จึงไม่แปลกที่จะไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น!

ทว่าภายใต้การสอดส่องของเนตรเทวะแห่งความจริง สายฟ้าเส้นนี้กลับมีรูปลักษณ์แตกต่างออกไป มันคือร่าง ๆ หนึ่งที่ขดตัวเป็นอสนีบาตสีแดงก่ำซึ่งมีขนาดมหึมาด้วยความสูงสามสิบจั้ง รูปร่างของมันบิดเบี้ยว นัยน์ตาแดงฉาน ห้อมล้อมไปด้วยกลิ่นที่ดุดันไร้ความปรานี และบัดนี้ มันกำลังจ้องมองยังเฉินซีด้วยแววตาเยือกเย็น!

ฟิ้ว!

วิญญาณอัสนีได้ไร้หนทางขัดขืน ไม่ว่ามันจะดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่สามารถทะลุผ่านม่านแสงที่ก่อตัวขึ้นจากปราณกระบี่ไปได้ ประหนึ่งพุ่งชนกำแพงที่ไร้หนทางออก

“เจ้าตัวประหลาด! ตายซะ!” อวี้เฟิงส่งเสียงคำราม เคราและเส้นผมยาวสยายของเขาพัดพลิ้วดั่งเทพเซียน เขาฉวยโอกาสนี้โจมตีวิญญาณอัสนีอีกครั้ง สร้างแรงสั่นสะเทือนกระจายไปทั่วบริเวณ ทำให้วิญญาณอัสนีตกอยู่ในสถานการณ์เป็นรอง ได้แต่กระเสือกกระสนที่จะหลบหนีอย่างสุดกำลัง

โชคไม่ดีที่ทิศทางอื่น ๆ ล้วนถูกปิดกั้นไว้โดยผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีที่เหลือ พวกเขาต่างโจมตีอย่างพร้อมเพรียงกันอีกครั้ง ทำให้ปราณเซียนอันน่าสะพรึงกลัวมากมายไหลหลากดั่งกระแสน้ำคลั่งบดขยี้ไปยังเป้าหมายเดียว!

เปรี้ยง! วิญญาณอัสนีระเบิดตัว เพื่อคืนร่างกลับไปสูงสามสิบจั้งดังเดิม ทว่าร่างสะบักสะบอมนี้ไม่อาจยืนหยัดได้อีกต่อไป มันทรุดกายลงเยี่ยงสุนัขตาย ขณะที่ทั่วทั้งกายก็เต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ที่ปล่อยควันฉุย เห็นได้ชัดว่าเจ็บหนัก!

เฉินซีเก็บยันต์ศัสตราเมื่อเห็นภาพตรงหน้า เขาถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ความแข็งแกร่งของวิญญาณอัสนีนั้นเทียบได้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับห้า หากไม่ได้อวี้เฟิงและคนอื่น ๆ ร่วมมือกันโจมตีในครั้งนี้ ตัวเขาเพียงลำพังคงไม่อาจทำอะไรได้

ผัวะ!

ร่างวัยกลางคนของอวี้เฟิงพลันพุ่งตรงมายังวิญญาณอัสนี จากนั้นเจ้าตัวก็ใช้นิ้วควานเข้าไปในร่างกายของอีกฝ่ายโดยตรงประหนึ่งสอดตะขอเกี่ยว ก่อนที่ไม่นานนักจะถอนมือออกมาพร้อมกับผลึกแก้วสีเทาขุ่นมัวที่มีหน้าตาคล้ายเนินเขาลูกเล็ก

ผลึกแก้วนี้อัดแน่นไปด้วยปราณโลหิต มันมีความสูงมากกว่ายี่สิบสามจั้ง และมีความกว้างราวสี่จั้ง นับเป็นผลึกต้นกำเนิดโกลาหลที่มีขนาดใหญ่จนน่าตกใจ!

เฉินซีอดไม่ได้ที่จะตะลึงงันเมื่อได้เห็น หากเขาใช้ทั้งผลึกไปกับการขัดเกลายันต์ศัสตรา ผลลัพธ์จะออกมาเยี่ยมยอดเพียงไหนกัน?

“ฮ่า ๆ ด้วยผลึกต้นกำเนิดโกลาหลนี้ เราก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการขัดเกลาสมบัติวิเศษโกลาหลอีก” อวี้เฟิงระเบิดเสียงหัวเราะด้วยรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง

ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา พวกเขาต้องมีชีวิตอย่างขมขื่นมาตลอดระหว่างที่กำลังตามหาผลึกต้นกำเนิดโกลาหล และเมื่อตอนนี้พวกเขาได้รับมันมาครอบครองแล้ว …คลื่นแห่งความยินดีย่อมถาโถมออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง!

“เฉินซีมีส่วนช่วยในภารกิจครั้งนี้อย่างมาก ศิษย์พี่อวี้ เหตุใดพวกเราจึงไม่แบ่งผลึกต้นกำเนิดโกลาหลให้เจ้าหนุ่มน้อยผู้นี้ด้วยเล่า” ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีพูดขึ้นด้วยความยินดี ก่อนจะรีบปิดปากด้วยรู้สึกว่าตนอาจจะพูดอะไรผิดไป

ขณะเดียวกัน รอยยิ้มบนใบหน้าของคนอื่น ๆ ก็หุบลงโดยไม่ทันตั้งตัวเช่นกัน ความกังวลปรากฏขึ้นมาแทนที่ หากเป็นเวลาปกติ พวกเขาคงยินดีจะแบ่งปันอีกครึ่งหนึ่งให้กับเฉินซี ทว่าในตอนนี้นั้น หากสูญเสียผลึกต้นกำเนิดโกลาหลไปแม้แต่เสี้ยวเล็ก ๆ เสี้ยวเดียว พวกเขาก็จะไม่สามารถขัดเกลาสมบัติวิเศษโกลาหลได้เลย ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ย่อมหมายความว่าพวกเขาต้องรอเวลาไปอีกหลายปีเพื่อรวบรวมมัน…

“ให้รางวัลเขา! เขาสมควรได้รับรางวัล!” อวี้เฟิงกลับมามีสีหน้าปกติ ขณะที่เจ้าตัวพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “แต่ว่านะศิษย์หลานเฉินซี พวกข้าต้องการผลึกต้นกำเนิดโกลาหลนี้โดยด่วน ดังนั้นแล้วพวกข้าแต่ละคนจะมอบรางวัลให้เจ้าเป็นสมบัติกึ่งอมตะดีหรือไม่?”

สมบัติกึ่งอมตะทั้งหมดห้าชิ้น!

แน่นอนว่านี่เป็นรางวัลที่ไม่ว่าผู้บ่มเพาะคนใดก็ต้องอิจฉา ดังนั้นเฉินซีจึงค่อนข้างรู้สึกหนักอึ้งในใจ เขารู้ได้เลยว่าการกระทำของอวี้เฟิงนั้นเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ

…นอกจากอีกฝ่ายจะไม่หลอกลวงหรือขับไล่ยามหมดประโยชน์แล้ว เขายังหยิบยื่นของรางวัลที่ล้ำค่าให้แก่เฉินซีโดยไม่นึกตระหนี่อีกด้วย!

ทว่าสุดท้ายชายหนุ่มก็ยังคงส่ายหน้า

อวี้เฟิงและผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีต่างพากันคิ้วขมวด หรือแม้แต่สมบัติกึ่งอมตะทั้งห้าชิ้นก็ยังไม่เพียงพอจะสนองความต้องการของเจ้าหนุ่มนี่กัน?

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]