บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 792

บทที่ 792 ข่มขวัญผู้ยิ่งใหญ่จนล่าถอย

บทที่ 792 ข่มขวัญผู้ยิ่งใหญ่จนล่าถอย

เจตจำนงของผู้ยิ่งใหญ่เคลื่อนลงมายังธงเทพโลหิตผสาน! ขณะที่สีหน้าของไป๋หลี่เยียนพลันเคร่งขรึมเมื่อได้ยินคำพูดของข้ารับใช้ทั้งสอง …ภายใต้สถานการณ์นี้ ตัวตนที่สามารถเผยเจตจำนงลงมาได้ย่อมเป็นตัวตนที่เหนือกว่าขอบเขตเซียนสวรรค์อย่างแน่นอน!

ทุกคนในตอนนี้สัมผัสได้ว่ากลิ่นอายสูงส่งของธงเทพโลหิตผสานกำลังพวยพุ่ง พร้อมทั้งเผยพลังอันไร้เทียมทานที่ดุดันกว่าเดิมถึงสิบเท่า! เพียงแค่กลิ่นอายของมันอย่างเดียวก็ทำให้ผู้บ่มเพาะจำนวนมากหมดสติในทันที

“ฮ่า ๆ! ข้าสังเวยอายุขัยของตัวเองถึงสามพันปีเพื่อสื่อสารกับวิญญาณในแม่น้ำโลหิตแห่งยมโลก เพื่อเรียกการสนับสนุนจากอำนาจของธงเทพโลหิตผสานที่แท้จริง! และคงมีเพียงเซียนสวรรค์เท่านั้นที่ช่วยพวกเจ้าได้ หาไม่แล้ว… พวกเจ้าทุกคนจะต้องตายอย่างแน่นอน!” หลวงจีนจื่ออวิ๋นระเบิดเสียงหัวเราะด้วยใบหน้าซีดเซียว ขณะที่ดวงตาของเจ้าตัวลุกโชนด้วยเปลวเพลิงแห่งความบ้าคลั่ง อันเนื่องมาจากเคล็ดวิชาลับนี้กลืนกินอายุขัยเข้าไป ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บแสนสาหัสเสียจนไม่อาจก้าวหน้าบนหนทางแห่งการบ่มเพาะได้อีก

แต่ในตอนนี้ เขาไม่สนใจอะไรอีกแล้ว!

เฉินซีผู้นั้นร้ายกาจและน่าสะพรึงเกินไป มันทำให้เขาสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามถึงตาย และหากยังไม่แสดงเคล็ดวิชาลับนี้ออกมา เกรงว่าคงได้ตายที่นี่วันนี้แน่!

ถ้าเช่นนั้น สู้เสี่ยงชีวิตไปเลยไม่ดีกว่าหรือ? เขาจะไม่ยอมถูกมันจัดการเด็ดขาด!

อันใดนะ?

เรียกการสนับสนุนจากอำนาจของธงเทพโลหิตผสานที่แท้จริงหรือ?!

ทุกคนพลันรู้สึกว่าหัวใจถูกบีบรัดอย่างรุนแรง พวกเขาตกตะลึงเสียจนแทบจะหายใจไม่ออก เคล็ดวิชาลับนี้ไม่น่าสะพรึงเกินไปหน่อยหรือ? นี่คือภพมนุษย์เชียวนะ ทว่าหลวงจีนจื่ออวิ๋นกลับสามารถเชื่อมโยงและดึงเอาพลังจากแม่น้ำโลหิตในยมโลกได้อย่างนั้นหรือ?!!

ใบหน้าของเฉินซีมืดมนเช่นกัน เขาโคจรการบ่มเพาะทั้งหมดขณะใช้งานยันต์ศัสตราด้วยหมายจะบดขยี้อีกฝ่ายให้สิ้นซาก!

ปัง!

ทว่าเขาไม่คาดคิดเลยว่าธงเทพโลหิตผสานจะน่าสะพรึงยิ่ง เพราะก่อนที่เขาจะทันได้ฟาดฟันปราณกระบี่ออกไป มันได้ก่อตัวเป็นม่านโลหิตปกคลุมท้องนภา พร้อมกับซัดกวาดมายังร่างของชายหนุ่ม!

ทุกคนในที่แห่งนี้พลันไม่สบายใจขึ้นมา เมื่อได้เป็นสักขีพยานในเหตุการณ์นี้ พวกเขาไม่กล้าเชื่อว่าชายหนุ่มผู้มีความแข็งแกร่งอันไร้เทียมทานอย่างเฉินซีจะมิอาจขัดขืนได้!

หากเฉินซีตายขึ้นมา ใครบ้างจะต้านทานหลวงจีนจื่ออวิ๋นได้? จุดจบของพวกเขาอาจจะ…

ทุกคนต่างไม่กล้าคิดถึงเรื่องนี้ต่อ และต่างคนต่างไม่ได้ที่จะร่างสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว

ขณะเดียวกัน หลวงจีนจื่ออวิ๋นพลันแผดเสียงหัวเราะแหลมหูออกมา “น้องชาย นี่คือผลลัพธ์ที่มาขัดขืนข้า! ไม่ว่าพรสวรรค์ของเจ้าจะยอดเยี่ยมเพียงใด ไม่ว่าพลังจะขัดขืนสวรรค์มากแค่ไหน เจ้าก็ยังต้องตายเมื่อมาเผชิญหน้ากับข้าอยู่ดี!”

เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้จะเสียอายุขัยสามพันปี แต่มันก็สามารถแลกชีวิตกับอัจฉริยะที่แท้จริงผู้ขัดขืนสวรรค์อย่างเฉินซีได้!

และตอนนี้ เจ้าตัวก็กำลังรอให้เฉินซีถูกบดขยี้ ก่อนจะกวาดล้างตำหนักแห่งนี้ให้จมหายไปในทะเลโลหิต และช่วงชิงแผนที่สมบัติภูเขาร้างเต๋านภาจากเวินเทียนซั่ว เพราะหากสามารถระบุตำแหน่งคลังสมบัติที่อยู่ภายในภูเขาได้ เช่นนั้นมูลค่าของมันย่อมเหนือกว่ามูลค่าของอายุขัยสามพันปีเสียอีก!

นี่คือแผนของหลวงจีนจื่ออวิ๋น มันทั้งโหดเหี้ยม เด็ดขาด และไร้ยางอาย! ซึ่งไม่เพียงแค่โหดเหี้ยมต่อศัตรูเท่านั้น แต่ยังโหดเหี้ยมกับตัวเองอีกด้วย เขาคือบุคคลที่สิ้นหวังและไร้ความปรานี ไม่หวาดกลัวแม้จะถูกสับเป็นชิ้น ๆ หากสามารถทะลวงไปถึงสวรรค์ได้สำเร็จ!

ครืน!

ภายในธงสีโลหิต แม่น้ำโลหิตได้ไหลบ่าไปทั่วในเวลานี้ ขณะที่วิญญาณชั่วร้ายกับวิญญาณพยาบาทอาละวาดในพื้นที่โดยรอบ ที่แห่งนี้คือโลกอาบโลหิตโดยแท้ และเฉินซีก็ถูกกักขังอยู่ภายในนั้นราวกับแหนที่ลอยไปมาในมหาสมุทรกระจ่างใส ดูไร้ค่าเสียจนน่าสมเพช

ขณะนี้ ชายหนุ่มกำลังพยายามดิ้นรนอย่างสุดความสามารถ ทว่ากลับทำได้เพียงประคองตัวเองเท่านั้น ยังคงไร้ซึ่งอิสรภาพ!

เพราะธงเทพโลหิตผสานเหล่านี้เต็มไปด้วยเจตจำนงอันน่าสะพรึงกลัวของผู้ยิ่งใหญ่ มันเหมือนกับวิญญาณศัสตราของสมบัติอมตะ ซึ่งครอบครองความแข็งแกร่งที่เทียบเท่ากับเซียนสวรรค์ที่แท้จริง!

“ฆ่า!”

“ตาย!”

“ช่างเป็นกลิ่นอายของแก่นแท้โลหิตที่น่าหลงใหลนัก ข้าโหยหายมานานนับพันปี ช่างหิวกระหายยิ่งนัก!”

เสียงแตกร้าวบาดหูจำนวนมากปกคลุมอากาศธาตุก่อนจะฉีกกระชากแก้วหูของเฉินซี วิญญาณพยาบาทภายในแม่น้ำโลหิตคล้ายกับกองทัพไร้เทียมทานที่หัวเราะอย่างป่าเถื่อนก่อนจะพุ่งเข้าหาชายหนุ่ม

ถึงแม้วิญญาณพยาบาทเหล่านี้จะมีจำนวนมาก แต่พวกมันก็ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไร ทว่าสิ่งที่ทำให้เฉินซีรู้สึกหนักอึ้งคือมิติที่แผ่ขยายนี้ที่เต็มไปด้วยแรงดันอันน่าสะพรึงตลอดเวลามากกว่า!

แรงกดดันนี้ทำให้การบ่มเพาะทั่วทั้งร่างของเขาถูกสะกดเอาไว้ ทำให้ชายหนุ่มเป็นดั่งสัตว์ร้ายที่ถูกปิดล้อม เสมือนนักโทษในกรงที่ต่อให้ปลดปล่อยพลังทั้งหมดฝืนต้าน เขาก็ทำได้แค่ใช้พลังอำนาจออกไปเพียงสี่ในสิบส่วนเท่านั้น!

นี่คือการกักขังถึงตายอย่างแน่นอน เฉินซีรู้ว่าหากไม่อาจหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้ เช่นนั้นชายหนุ่มก็คงค่อย ๆ จมลงไปในมหาสมุทร และหมดสิ้นลมหายใจไปในที่สุด…

ฮึ่ม!

เขากัดฟันก่อนจะเก็บยันต์ศัสตราแล้วถือระเบียนแดนมรณะในมือซ้าย ถือพู่กันพิพากษามารในมือขวา!

อีกด้าน ทันทีที่ผู้ครองบาปมหันต์ตกตาย พวกเขาจะไม่สามารถเข้าสู่สังสารวัฏได้ ทว่าจะถูกลบล้างไปจากสวรรค์และโลกชั่วนิรันดร์ ต่อให้โชคดีเข้าสู่ยมโลกได้ คนพวกนี้ก็จะถูกส่งไปยังนรกขุมที่สิบแปด หรือเข้าสู่เส้นทางเดรัจฉาน เกิดใหม่กลายเป็นสัตว์ในชาติหน้า ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างไร้ที่สิ้นสุด

ด้วยทั้งหมดทั้งมวลนี้ แสงทองแห่งคุณธรรมจึงนับว่าเป็นพรอย่างหนึ่งจากเต๋าแห่งสวรรค์ ส่วนแสงแห่งบาปคือการพิพากษาอย่างหนึ่ง เต็มไปด้วยพลังอันมิอาจต่อต้าน!

ซึ่งผลลัพธ์ของทั้งสองอย่างนี้อาจจะไม่ชัดเจนนักสำหรับผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาหรือต่ำกว่านั้น แต่ทันทีที่บ่มเพาะถึงขอบเขตเซียนปฐพี จนกระทั่งเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์เก้าชั้น ผลประโยชน์ที่เกิดจากแสงทองแห่งคุณธรรมจะได้รับการเปิดเผยอย่างเต็มที่

เพียงชั่วพริบตา เฉินซีพลันสัมผัสได้ว่าทั่วทั้งร่างกายผ่อนคลายมากขึ้น จิตวิญญาณของเขากระปรี้กระเปร่า ส่วนร่างกายและจิตใจใสกระจ่างราวกับน้ำ ทำให้รู้สึกสงบ ถึงแม้จะยังคงดิ้นรนอยู่ภายในธงเทพโลหิตผสาน แต่ตัวเขากลับไม่ได้แปดเปื้อนกรรมแห่งโลหิตที่อยู่ข้างใน

“หืม? เขามีระเบียนแดนมรณะด้วยหรือ! พู่กันพิพากษามาร! …สองสิ่งที่น่าสาปแช่งนี้ถูกทวยเทพทำลายไปพร้อมกับจักรพรรดิยมโลกไปแล้วไม่ใช่หรือ!?” ทันใดนั้น เสียงเย็นเยือกดุจน้ำแข็งอันน่าสะพรึงก็ดังขึ้นจากภายในธงเทพโลหิตผสาน มันกวาดผ่านเฉินซี เป็นเกลียวเจตจำนงของผู้ยิ่งใหญ่ที่เคลื่อนลงมาในธง เขากำลังสังเกตเห็นตัวตนของระเบียนแดนมรณะกับพู่กันพิพากษามาร ก่อนจะไม่อาจรักษาความสงบนิ่ง และแผดเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่งออกมา

ทันทีที่สิ้นเสียงคำรามนี้ ทั่วทั้งร่างของเฉินซีพลันรู้สึกเย็นเยือกไปถึงกระดูกสันหลัง เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายร้ายกายที่คุกคามเข้ามา

แต่หลังจากนั้น พู่กันพิพากษามารในมือชายหนุ่มพลันสั่นไหวก่อนปลายพู่กันจะปาดไปในกลางอากาศด้วยตัวเอง ราวกับมันตัดสินใจที่จะวาดหยินหยางแล้วสร้างโลกขึ้นมาก่อนฟาดออกไปในแนวนอน

“อ๊าก!!!” เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดอันเดือดดาลดังขึ้น

“สารเลว! ภพทั้งสามกำลังจะเจอกับกลียุคแล้ว ถึงตอนนั้น ข้าจะสามารถหลบหนีจากผนึกภายในแม่น้ำโลหิตได้ ข้าจะฆ่าผู้ที่ขวางทางในยมโลกก่อนจะทำลายหกวิถีสังสารวัฏ! ข้าจะทำให้เจ้าและระเบียนแดนมรณะสูญเสียแหล่งกำเนิดพลังไปตลอดกาล!”

“ส่วนเจ้าสหายน้อย! ข้าจะจำเจ้าเอาไว้! รอข้ามาเด็ดหัวเจ้าช่วงกลียุคของสามภพก่อนเถอะ!” เสียงของอีกฝ่ายยังไม่ทันจางหาย ชายหนุ่มพลันสัมผัสได้ว่าเจตจำนงของผู้ยิ่งใหญ่รับรู้ได้ถึงการคุกคาม ก่อนจะหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว

‘เจตจำนงนี้อาจจะถูกธงเทพโลหิตผสานที่แท้จริงปลดปล่อยออกมา มันจึงสามารถทะลวงผ่านกำแพงกั้นระหว่างยมโลกและภพมนุษย์เพื่อเคลื่อนลงมาที่นี่ ความสามารถของหลวงจีนจื่ออวิ๋นผู้นี้ร้ายกาจยิ่งนัก น่าเสียดาย อีกฝ่ายคงคาดไม่ถึง ว่าข้าจะครอบครองระเบียนแดนมรณะกับพู่กันพิพากษามาร…!’ เฉินซีคล้ายกับตกอยู่ในห้วงความคิด ก่อนที่อึดใจต่อมาเขาจะเก็บระเบียนแดนมรณะกับพู่กันพิพากษามารไป

สมบัติสองชิ้นนี้ไม่สามารถเปิดเผยในโลกได้!

อย่างน้อยที่สุด หากไม่ตกอยู่ในสถานการณ์แห่งความเป็นความตาย หาไม่แล้ว เขาก็ไม่กล้าหยิบออกมาใช้จนกว่าการบ่มเพาะจะถึงจุดที่สามารถขัดขืนทวยเทพจำนวนมากในโลกได้!

“หืม? เหตุใดจึงเป็นแบบนี้!?” เมื่อเจตจำนงของผู้ยิ่งใหญ่หายไป หลวงจีนจื่ออวิ๋นก็สังเกตเห็นทันที ในขณะที่ใบหน้าของเขายังคงเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง ก่อนจะแข็งทื่อในทันใด

เป็นแบบนี้ได้อย่างไร!?

เขาใช้อายุขัยสามพันปีเพื่อทำให้เศษเสี้ยวของผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงเคลื่อนลงมาที่นี่ กระทั่งเซียนสวรรค์ก็ยังไม่สามารถขัดขืนได้แท้ ๆ เหตุใดจู่ ๆ ผู้ยิ่งใหญ่ที่ว่าถึงหายไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยล่ะ?

หลวงจีนจื่ออวิ๋นจับจ้องธงเทพโลหิตผสาน เขายังคงไม่กล้าเชื่อทุกสิ่งที่เห็น จึงได้ตกอยู่ในสภาพมึนงงสับสน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]