บทที่ 796 แม่น้ำเต๋าและภูเขามังกร
บทที่ 796 แม่น้ำเต๋าและภูเขามังกร
ร่างกายของเวินเทียนซั่วแข็งทื่อเมื่อได้ยินเงื่อนไขที่องค์หญิงเหลิ่งฉานเอ๋อร์เสนอขึ้นมา นางตั้งใจจะรับบุตรชายของเขาเป็นศิษย์นิกายวิถีกระแสสวรรค์ ทั้งยังรับเขาเป็นผู้อาวุโสด้วยอย่างนั้นหรือ?
นี่เป็นเงื่อนไขที่น่าสนใจอย่างยิ่ง!
ในฐานะที่เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี เวินเทียนซั่วมีความสามารถเพียงพอในการควบคุมลมฝนภายในแคว้นหวงเหลียงเท่านั้น เพราะภายในแดนภวังค์ทมิฬแห่งนี้ เขาไม่ใช่คนวิเศษวิโสอะไรมากมาย ไม่ได้คู่ควรอะไรกับนิกายที่ยิ่งใหญ่ทั้งสิบนั้นด้วยซ้ำ
ชั่วขณะหนึ่ง ใจของเวินเทียนซั่วพลันสั่นสะท้าน หากเป็นเช่นนี้ แม้ว่าเฉินซีจะตาย เขาก็คงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับตำหนักแห่งนี้ เพราะอย่างไรเสีย ไม่ว่าตำหนักของเขาจะกว้างใหญ่สักเพียงใด แต่คนในตระกูลของเขานั้นก็มีเพียงไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น การจะพาพวกเขาทั้งหมดไปที่นิกายวิถีกระแสสวรรค์ด้วยกันจึงเป็นเรื่องที่ไม่ได้ยากเลย
ถึงตอนนั้น ในฐานะผู้อาวุโสของนิกายวิถีกระแสสวรรค์ ตัวเขาย่อมสามารถสร้างอนาคตที่ดีให้แก่คนในตระกูลได้อย่างแน่นอน!
“ท่านพ่อ ข้าเต็มใจขอรับ!” ก่อนที่เวินเทียนซั่วจะได้พูดอะไร เวินหัวก็ชิงพูดขึ้นเสียงดังด้วยไม่อาจระงับความตื่นเต้นในใจ “เฉินซีทำให้ข้าต้องอับอายเช่นนั้น แล้วท่านพ่อ เหตุใดท่านยังเอาแต่ลังเลอยู่อีก?”
เวินเทียนซั่วเลิกคิ้วสูง เขารีบผุดลุกยืนและมองออกไปด้านนอกห้องราวกับกลัวว่าจะมีใครได้ยินเข้า
“ท่านอ๋องอย่าได้กังวลไป พวกเราได้ปิดผนึกสถานที่แห่งนี้ไว้ตั้งแต่ที่มาถึงแล้ว ดังนั้นเสียงใด ๆ ที่เกิดขึ้นภายในรัศมีเก้าสิบจั้งนี้จะไม่สามารถเล็ดลอดออกไปได้” องค์หญิงเหลิ่งฉานเอ๋อร์หัวเราะ สีหน้าของนางเปี่ยมด้วยความมั่นใจราวกับว่าสถานการณ์ทั้งหมดอยู่ในกำมือตน
ในขณะนั้น เวินเทียนซั่วเป็นกังวลว่าบทสนทนาที่เกิดขึ้นที่นี่จะลอยไปเข้าหูของเฉินซี เพราะอย่างไรก็ดีทั้งหลวงจีนจื่ออวิ๋นและคนอื่น ๆ ก็ล้วนแต่จบชีวิตอย่างอนาถด้วยน้ำมือของชายหนุ่ม!
ทว่าเขาพลันสบายใจมากขึ้นเมื่อหญิงสาวกล่าวเช่นนั้น
“แม่นางเหลิ่ง พูดตามตรง ความแข็งแกร่งของเฉินซีในยามนี้นั้นเหนือชั้นอย่างมาก แม้เขาจะบรรลุถึงเพียงขอบเขตสถิตกายา ทว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขานั้นเทียบได้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับห้า…” เวินเทียนซั่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา
ทว่ายังไม่ทันพูดจบ หญิงสาวก็ขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน “พวกข้ารู้เรื่องนี้ก่อนจะมาที่นี่เสียอีก อย่ากังวลไปเลยท่านอ๋อง การที่พวกข้ากล้ามาถึงที่นี่ ย่อมแปลว่าพวกข้ามีวิธีที่จะจัดการเขาอย่างแน่นอน”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ดวงหน้าอันงดงามของนางก็ฉายแววเด็ดเดี่ยวและอาฆาตแค้น
นางไม่ได้โป้ปด เมื่อปิงซื่อเทียนได้ยินว่าเฉินซีออกจากนิกายมาทำภารกิจ เขาก็ได้จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มไม่เพียงส่งผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีทั้งสิบสองคนออกมาเท่านั้น แต่ยังจัดหาศัสตราวุธขั้นสูงให้แก่พวกเขาด้วย!
เป้าหมายมีเพียงหนึ่งเดียวคือการบดขยี้เฉินซี!!
ซึ่งตอนที่ได้ยินว่าเฉินซีจัดการกับผู้ครองบาปมหันต์ทั้งแปดได้ด้วยตัวเอง เขาก็ตัดสินใจส่งผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหก ผู้อาวุโสอวิ๋นจูออกมาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย!
และหากพวกเขายังไม่สามารถสังหารเฉินซีได้อีก ก็น่าขายหน้าแล้ว!
แน่นอนว่าเวินเทียนซั่วหาใช่คนไร้เหตุผลหรือใจโลเลอะไร เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกัดฟันและพยักหน้า “ได้ ข้าตกลง ข้าจะทำตามที่แม่นางเหลิ่งสั่งทุกประการ!”
องค์หญิงเหลิ่งฉานเอ๋อร์พลันคลี่ยิ้มออกทันที นางรำพึงในใจเบา ๆ ‘เฉินซีเอ๋ยเฉินซี ถ้าครั้งนี้ข้ายังจัดการเจ้าไม่ได้อีก ข้าจะยอมรับว่าเจ้านั้นคู่ควรกับปรมาจารย์ชิง แต่หากเจ้าตายละก็ นั่นก็เป็นเรื่องที่โทษใครไม่ได้ ก็ใครใช้ให้เจ้าแข็งขืนต่อใต้เท้าปิงซื่อเทียนเล่า?’
…
ไม่กี่ชั่วยามก่อนรุ่งสาง
ที่ด้านนอกเมืองวารีเมฆา
เฉินซีตบไหล่เสิ่นเหยียนเบา ๆ ก่อนจะพูดว่า “จากที่นี่ไปถึงนิกายกระบี่เก้าเรืองรองนั้นมีระยะทางประมาณหมื่นสองพันหกร้อยลี้ มันเป็นหนทางที่ยาวไกลและต้องเผชิญกับภยันตรายตลอดเส้นทาง จงรักษาตัวด้วย หากเจ้าไปถึงที่นั่นได้อย่างปลอดภัยก็จะถือว่าผ่านการทดสอบ”
เสิ่นเหยียนพยักหน้ารับคำอย่างไม่ลังเล เขาพูดด้วยเสียงหนักแน่นว่า “โปรดวางใจ ต่อให้ข้าต้องคลาน ข้าก็จะคลานไปให้ถึงนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง!”
เฉินซียิ้มและหยิบยันต์หยกออกมาจากถุงเก็บของ ก่อนจะส่งให้เสิ่นเหยียน “เก็บยันต์หยกนี่ไว้ เมื่อเจออันตรายก็จงหักมันเสีย แล้วมันจะปกป้องคุ้มครองเจ้า แต่เจ้าจงพึงระลึกไว้ว่ามันใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น”
เสิ่นเหยียนรับยันต์หยกมาไว้ในมือแล้วจึงเก็บมันไว้ด้วยความระมัดระวัง เขาคุกเข่าลงก่อนจะเอ่ย “ขอบคุณท่าน เสิ่นเหยียนจะรักษาโอกาสนี้ไว้ให้ดีที่สุดอย่างแน่นอน!”
ทันที่ที่พูดจบ เขาก็ลุกขึ้น ก่อนที่ร่างผอมบางของเสิ่นเหยียนจะค่อย ๆ เลือนหายไปท่ามกลางความมืดมิดของราตรี
“สหายน้อย ข้ายังได้มอบยันต์เซียนจักรวาลให้เจ้าด้วย ฉะนั้น อย่าทำให้ข้าผิดหวัง…” เฉินซีพึมพำกับตัวเอง เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเสิ่นเหยียนจะสามารถผ่านบททดสอบนี้ไปได้อย่างราบรื่น
สายลมบางเบายามค่ำคืนพัดพาความหนาวเหน็บ เฉินซียังคงยืนตระหง่านท่ามกล่างกระแสลมเอื่อยอยู่นาน ก่อนจะหันหลังและเดินจากไป
ตราบใดที่เรื่องที่ไม่คาดฝันยังไม่เกิดขึ้น ภารกิจขจัดคนพาลของเขาก็นับว่าเสร็จสิ้น ‘สำหรับการผดุงความยุติธรรมในนามแห่งสวรรค์ ข้ายังเหลือผู้ครองบาปมหันต์อีกสองคนที่ต้องจัดการ…’ เฉินซีขบคิดเงียบ ๆ ระหว่างที่ออกเดิน
เฉินซีแหงนมองขึ้นไปอย่างเลื่อนลอย ไกลออกไปนั้นคือภูเขาร้างเต๋านภาที่ยังคงสูงตระหง่าน ก่อนที่เสียงรำพันจะแว่วภายในใจอย่างแผ่วเบา ‘ตั้งแต่ที่มาถึงเมืองวารีเมฆา ข้ายังไม่เคยได้เข้าไปสำรวจมันสักครั้ง ในเมื่อตอนนี้ข้าไม่มีเรื่องให้ต้องทำ จะลองไปดูก็คงไม่เสียหาย!’
ฟิ้วว!
เพียงชั่วพริบตา เขาก็เลือนหายไปในทันที
เต๋า!
ไม่ใช่ว่าสิ่งมีชีวิตและผู้บ่มเพาะทั้งหลาย ต่างก็เสาะแสวง ‘เต๋า’ มาทั้งชีวิตหรอกหรือ?
ยอดเขาที่สูงตระหง่านจนเกือบแตะขอบฟ้านี้ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก มันมีรูปร่างเหมือนกับหัวของมังกรที่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าและให้ความรู้สึกที่ทรงพลัง นอกจากนี้มันยังปลดปล่อยรัศมีอันยิ่งใหญ่กวาดออกไปทั่วโลก คล้ายต้องการทำลายแผ่นดินซึ่งเป็นกรงพันธนาการ และออกเดินทางมุ่งสู่จักรวาลอันกว้างใหญ่
‘นับเป็นการผสมผสานระหว่างความมหัศจรรย์และความประณีตงดงามได้อย่างลงตัว สถานที่ที่โดดเด่นเช่นนี้เหมาะจะเป็นสถานที่สำหรับการบ่มเพาะมากที่สุด ข้าสงสัยเหลือเกินว่าเหตุใดนิกายแห่งนี้จึงไม่อาจตั้งอยู่จนถึงทุกวันนี้…’ เฉินซีจมปลักอยู่กับภวังค์คำนึง ด้วยสังเกตเห็นความไม่สมเหตุสมผลมากมายในที่แห่งนี้
นอกจากนี้ เขายังพบว่ามีพลังมากมายซ่อนเร้นอยู่ใต้ภูเขารูปหัวมังกร พลังบางอย่างดูคลุมเครือเบาบาง ในขณะที่พลังบางส่วนไม่ได้หลบเร้น ทั้งยังแผ่กระจายไปทั่ว
ซึ่งเฉินซีประเมินได้คร่าว ๆ ว่า น่าจะมีคนซ่อนอยู่ภายในนี้ไม่ต่ำกว่าร้อยคน!
ดูเหมือนว่าพวกเขาคงจะได้รับข้อมูลบางอย่างและรีบเข้าไปข้างในทันทีด้วยหมายจะลองเสี่ยงโชค ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินหันหลังจากไป
เขาลองตรวจสอบภูเขารูปหัวมังกรด้วยเนตรเทวะแห่งความจริงอย่างถี่ถ้วน ทว่ากลับไม่สังเกตเห็นอะไรที่น่าสนใจเลย อีกทั้งชายหนุ่มยังได้ใช้กุญแจนภาเพื่อตรวจสอบพื้นที่ข้างในเช่นกัน แต่ก็ยังคว้าน้ำเหลว เห็นทีการอยู่ที่นี่ต่อไปรังแต่จะเสียเวลาเปล่า
บางที เขาควรจะออกไปจากที่นี่ก่อน ไม่แน่ตัวเขาอาจจะค้นพบบางอย่างจากแผนที่ขุมทรัพย์ในมือของเวินเทียนซั่วก็เป็นได้
อย่างไรก็ดี เฉินซีมีความมั่นใจว่าแม้ว่าเขาจะไม่ได้รับเวินหัวเป็นศิษย์ แต่เวินเทียนซั่วย่อมไม่มีทางกล้าห้ามไม่ให้ตัวเขาดูแผนที่อย่างแน่นอน นั่นก็เนื่องจาก หากไม่ใช่เพราะเขาได้สังหารหลวงจีนจื่ออวิ๋นและคนอื่น ๆ ในวันนั้น ตำหนักอ๋องเวินก็คงจะถูกทำลายย่อยยับไปแล้ว
ถ้าบุญคุณจากการช่วยชีวิตไม่เพียงพอจะแลกกับแผนที่ขุมทรัพย์ได้ สวรรค์คงได้พิโรธแน่นอน!
หนึ่งเค่อต่อมา เฉินซีก็กลับมายังที่พัก
แต่เขาไม่คาดคิดว่า เพียงแค่ก้าวเท้าเข้าไปในโถง จะได้พบเข้ากับเวินเทียนซั่วซึ่งกำลังรอเขาอยู่
“ผู้กล้าเฉิน ในที่สุดท่านก็กลับมา” เวินเทียนซั่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะทักทายอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม
ซึ่งนั่นทำให้เฉินซีต้องประหลาดใจ “ท่านอ๋องมีอะไรให้ข้ารับใช้กัน?”
“อันที่จริงแล้ว เหตุผลที่ข้ามาพบท่านในยามวิกาลก็มาจากแผนที่ขุมทรัพย์ของภูเขาร้างเต๋านภา” เวินเทียนซั่วยิ้มด้วยความขมขื่น “อย่างไรวันนี้ข่าวก็ได้แพร่กระจายออกไปแล้ว ข้าเกรงว่าหากชักช้าไปมากกว่านี้คงจะมีเรื่องวุ่นวายตามมาเป็นพรวน ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจจะเร่งวันสำรวจภูเขาร้างเต๋านภาให้เร็วขึ้น!”
[1] 道: ตัวอักษรจีนตัวนี้ อ่านออกเสียงว่าเต้า หรือเต๋าในภาษาจีนแต้จิ๋ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
ทำไมตอนที่ 1631-1637 อ่านไม่ได้ครับ...
อยากซื้อหนังสือเรื่องนี้จบรึยังมีขายรึยัง ราคาเท่าไหร่...
กำลังสนุกเลยจ้า1407...
1...
รออ่าน1296...
รออ่าน1184จ้า...
ตอนที่1111รออ่านยุ...
ตอน1109รออ่านยุ...
กำลังมันเลยครับ...
กำลังมันเลยครับ...