บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 806

บทที่ 806 ร้องขอความเมตตา

บทที่ 806 ร้องขอความเมตตา

แม่น้ำสายนี้ไหลวนผ่านภูเขาร้างเต๋านภา รูปทรงเหมือนกับคำว่าเต๋า มันมีความลึกราวหนึ่งแสนจั้ง ราวกับกำลังนำไปสู่หุบเหวไร้ที่สิ้นสุดใต้ผืนปฐพี

ที่นี่มีข้อจำกัดมากมาย รวมถึงสัตว์อสูรดุร้ายบางส่วนเช่นกัน

เมื่อดำตามทาง เฉินซีจึงพบเข้ากับข้อจำกัดจำนวนมาก และเมื่อลงลึกไปอีก พลังของข้อจำกัดเหล่านั้นก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น ดังนั้นเขาจึงต้องใช้เวลาในการทะลวงพวกมันทีละขั้น

โชคยังดีที่ความเข้าใจในเต๋าแห่งอักขระยันต์ของเขาได้ไปถึงระดับสูงสุดแล้ว ข้อจำกัดที่ดูจะชวนให้ปวดหัวสำหรับคนภายนอก จึงไม่อาจหยุดเขาจากการมุ่งหน้าต่อได้

สิ่งที่อยู่ตรงนี้ มันก็เหมือนกับการไขปัญหาที่มีตั้งแต่เรียบง่ายไปจนถึงซับซ้อน ระดับความยากจะซ้อนทับกัน แต่ขอเพียงเชี่ยวชาญในอักขระยันต์ มันก็เหมือนกับการเรียนรู้วิธีแก้ปัญหาอยู่ก่อนแล้ว ทำให้สามารถใช้เวลาเพียงน้อยนิดก็คลี่คลายโจทย์ปัญหาได้

เมื่อเทียบกับข้อจำกัดเหล่านี้แล้ว สิ่งที่เป็นปัญหามากที่สุดของเฉินซีกลับเป็นสัตว์อสูรที่อยู่ในแม่น้ำนี้มากกว่า แม้ภัยคุกคามของพวกมันจะไม่มาก แต่จำนวนของพวกมันกลับมีมากเกินไปคล้ายจะไร้สิ้นสุด ไม่ว่าสังหารไปเท่าไร สุดท้ายก็ไม่สามารถฆ่าพวกมันให้หมดไปได้อยู่ดี

และที่แปลกประหลาดยิ่งกว่าคือ สัตว์อสูรในแม่น้ำสายนี้ไม่เกรงกลัวความตายราวกับพวกมันไร้ซึ่งปัญญา ขอเพียงสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนกำลังเข้าใกล้อาณาเขต พวกมันก็จะเข้าโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า และถึงจะไม่อาจสร้างอันตรายอะไรได้ แต่ก็ทำให้เกิดความหงุดหงิดเป็นอย่างมาก เหมือนกับมดแมลงที่คอยมาก่อกวน

ด้วยความสิ้นหวัง เฉินซีจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเรียกร่างจำแลงออกมาช่วย โดยร่างหนึ่งมีไว้สังหารสัตวอสูร ขณะที่อีกร่างหนึ่งใช้ทะลวงข้อจำกัด

เมื่อทำเช่นนี้ จึงทำให้เรื่องง่ายขึ้นมาก

แท้ที่จริงแล้ว ร่างจำแลงนี้มีประโยชน์มากมายสำหรับผู้ขัดเกลากายา เพราะมันไม่เพียงจะมีสติปัญญาและประสบการณ์ในการบ่มเพาะ ร่างจำแลงนี้ยังแทบไม่ต่างจากร่างหลักเลย มันถึงกับมีพลังต่อสู้เทียบเท่ากับร่างหลักด้วยซ้ำ

แต่ต้องทราบก่อนว่าเหตุผลที่เหตุใดตัวตนขอบเขตสถิตกายา จึงสามารถจัดการผู้บ่มเพาะปราณแท้ในขอบเขตเดียวกันได้ มันก็เพราะนอกจากพละกำลังที่มากกว่าแล้ว ก็เห็นจะเป็น ‘ร่างจำแลง’ นี่ล่ะที่สร้างความได้เปรียบอย่างยิ่งยวด

ด้วยความแข็งแกร่งของขอบเขตสถิตกายา และพลังที่เพิ่มขึ้นทวีคูณยามบรรลุมหาเต๋าถึงขั้นสมบูรณ์ ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาที่ขัดเกลากายาก็จะสามารถเรียก ‘ร่างจำแลง’ เพิ่มได้อีกร่างตามจำนวนมหาเต๋าที่บรรลุ

เช่นเดียวกับที่มหาเต๋าของเฉินซีบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์แล้ว ชายหนุ่มจึงสามารถเรียก ‘ร่างจำแลง’ ที่ว่านี้ได้ถึงสิบร่างเลยทีเดียว

เวลาผ่านไปกว่าห้าชั่วยาม

ในที่สุดเฉินซีก็มาถึงก้นแม่น้ำ แต่ปราณจ้าววิญญาณในร่างกายก็ลดลงไปมากทีเดียว

ซึ่งเหตุผลนั้นง่ายดายมาก ยิ่งลงไปมากเท่าไร พลังข้อจำกัดก็ยิ่งมากตามเท่านั้น กระทั่งถึงขั้นที่ข้อจำกัดบางส่วนเทียบเท่าข้อจำกัดเซียน และจำต้องใช้เวลานานกว่าจะถอดรหัสของพวกมันได้

ในขณะเดียวกัน สัตว์อสูรเหล่านั้นที่อยู่ใต้แม่น้ำยังทรงพลังมาก ไม่ได้แตกต่างจากผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีพวกนั้น ทั้งยังมีจำนวนมากกว่า!

ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น ย่อมจินตนาการได้ว่าเขาต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันมหาศาลแค่ไหน หากเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น อาจจะไม่สามารถทะลวงอย่างปลอดภัยเช่นนี้ได้ด้วยซ้ำ!

ทว่าเฉินซีก็ได้รับผลประโยชน์มากมายเช่นกัน ด้วยการเดินทางดิ่งลึกลงมาเช่นนี้ ทำให้ชายหนุ่มได้พบเห็นข้อจำกัดและค่ายกลที่ไม่เคยเห็นมาก่อนมากมาย ซึ่งการถอดรหัสพวกมันถือเป็นการลับคมและพัฒนารากฐานการบ่มเพาะเต๋าแห่งอักขระยันต์อย่างหนึ่ง

โดยเฉพาะการทะลวงข้อจำกัดอันน่าสะพรึงในช่วงหลัง ที่ทำให้ความเข้าใจในเต๋าแห่งอักขระยันต์ของเขาลึกล้ำมากขึ้น หากไม่ได้ถูกจำกัดเพราะระดับการบ่มเพาะ ตอนนี้ชายหนุ่มคงจะศึกษาข้อจำกัดของเซียนอย่างละเอียดได้แล้ว!

ส่วนการต่อสู้โดยใช้ ‘ร่างจำแลง’ เด็ดหัวสัตว์อสูรนับไม่ถ้วน ก็ทำให้เขาสามารถควบคุมและฝึกฝนความแข็งแกร่งของร่างจำแลงนี้ได้ชำนาญขึ้น

ถึงอย่างไร ก่อนจะถึงวันนี้ ระดับการบ่มเพาะของร่างนี้ก็อยู่ที่ขอบเขตจุติเท่านั้น แต่ตอนนี้เขาได้บรรลุมาถึงขอบเขตสถิตกายาแล้ว ทั้งระดับการบ่มเพาะและปราณจ้าววิญญาณจึงผ่านการเปลี่ยนแปลงสะเทือนปฐพีมาเรียบร้อย!

และเมื่อนี่คือขอบเขตใหม่ ชายหนุ่มย่อมต้องใช้เวลาในการขัดเกลาจนกว่าจะชำนาญ

หลังจากคำนวณอย่างละเอียดแล้ว พลังต่อสู้ของอีกร่างก็นับว่าไม่เลวเลย เพราะจากเคล็ดวิชามากมายที่เขาฝึกฝน ก็ย่อมมากพอแล้วที่จะทำให้พลังแข็งแกร่งขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ!

เนตรเทวะแห่งความจริง ก่ออัสนีผสานดารา และฝ่ามือมหาดารา ก็ล้วนแต่เป็นพลังที่มีความเฉพาะตัว เมื่อใช้รวมกับร่างแปลงสามเศียรหกกร ผลลัพธ์ของมันจึงยิ่งเท่าทวีขึ้นไปอีก!!

“น่าเสียดายที่ร่างหลักกำลังพักฟื้นอยู่ในโลกดารา ไม่อย่างนั้น หากหลอมรวมกับร่างนี้ ความแข็งแกร่งที่สามารถสำแดงออกมาจะต้องเพิ่มขึ้นมากอย่างแน่นอน…”

ใต้แม่น้ำแห่งนี้ดูราบเรียบอย่างยิ่ง พื้นปูด้วยหินแข็งแปลกประหลาดสีดำสนิท ไม่มีหญ้าขึ้นแม้แต่นิดเดียว

ซึ่งหลังจากมาถึงที่นี่ มันก็ไม่มีข้อจำกัดอะไรอีก ไม่มีฝูงสัตว์อสูรมากมาย บรรยากาศเงียบสงบยิ่งนัก

ตามเส้นทางของแผนที่สมบัติซึ่งเฉินซีจดจำได้ เขาเพียงต้องว่ายตามเส้นทางลับที่ใต้แม่น้ำไปจนสุดทาง จากนั้นชายหนุ่มก็จะสามารถเข้าไปในบริเวณรอบนอกของคลังสมบัติได้!

ทว่าเขากลับไม่ได้ลงมือทันที แต่เลือกสถานที่เพื่อฟื้นฟูการบ่มเพาะอย่างเงียบงันแทน

หนึ่งวันต่อมา

เมื่อเฉินซีตื่นขึ้นจากการทำสมาธิ เขาพลันยืนขึ้น ก่อนจะรีบตรงไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล

หากมองจากโลกภายนอก แม่น้ำสายนี้มีรูปทรงเหมือนกับตัวอักษรที่สื่อถึงเต๋า และมีความยาวเพียงหนึ่งพันลี้เท่านั้น แต่เส้นทางลับที่ใต้แม่น้ำกลับคล้ายจะลึกล้ำไร้ที่สิ้นสุดเสียอย่างนั้น!

แต่ต้องบอกว่า การซ่อนที่นี่นับว่าปลอดภัยยิ่ง อย่างน้อยการที่คนธรรมดาจะทะลวงผ่านข้อจำกัดกับอุปสรรคจำนวนมากในแม่น้ำเข้ามาได้ก็ยังคงเป็นเรื่องยาก

สิ่งเดียวที่ทำให้เฉินซีประหลาดใจก็คือตอนที่เขามาถึงที่นี่ ยังต้องเดินทางอย่างยากลำบาก แล้วเวินเทียนซั่วผู้อยู่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับสอง สามารถมาถึงที่นี่ได้อย่างไรกัน?

…เพราะจากสิ่งที่เขาพบเจอตลอดเส้นทาง การที่เวินเทียนซั่วจะสามารถทะลวงผ่านได้ด้วยตัวคนเดียวนั้นเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง

“คนผู้นี้ซ่อนตัวเก่งยิ่ง เห็นได้ชัดว่าพึ่งคนอื่นจนมาถึงที่นี่ได้” มีความเย็นชาปรากฏบนริมฝีปากของเฉินซี เขาไม่ลังเลอีกต่อไป ก่อนหลบเข้าไปในประตูหิน

“เฮ้อ ถ้านิกายวิถีกระแสสวรรค์ไม่มาก้าวก่าย ข้าอาจจะเข้าไปในคลังสมบัติของตำหนักเต๋านภา พร้อมกับเด็กคนนั้นไปแล้ว เหตุใดจะต้องอ้อมไปอ้อมมาเช่นนี้ด้วย?”

เวินเทียนซั่วที่อยู่ในห้องโถงละสายตาออก เขาขมวดคิ้วก่อนจะถอนหายใจด้วยเหตุผลบางอย่าง

“เสียดายหรือ?”

เสียงหนึ่งดังขึ้นในหูของเขา ทำให้เวินเทียนซั่วตอบโดยไม่คิดว่า “แน่นอน”

หลังจากนั้นสีหน้าของเจ้าตัวพลันแข็งทื่อ เมื่อเงยหน้าขึ้นด้วยความตกตะลึง ก็ได้เห็นร่างเคร่งขรึมที่คาดไม่ถึงเข้ามาในห้องโถงเมื่อใดไม่ทราบ กำลังยืนอยู่ไม่ไกลนัก!

คนผู้นั้นสวมชุดคลุมเต๋าสีเหลืองส้ม ใบหน้าหล่อเหลา เป็นเฉินซีนั่นเอง!

“จะ…จะ…จะ…เจ้ายังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร!?” ม่านตาของเวินเทียนซั่วพลันหดลงราวกับเห็นภูตผี เขาถึงขั้นพูดติดอ่างออกมา

“ข้าจะตายได้อย่างไรในเมื่อคนหน้าไม่อายที่จะต้องถูกล้างแค้นอย่างเจ้ายังมีชีวิตอยู่?”

นอกจากนี้ ชายหนุ่มยังได้กล่าวเสริมด้วยเสียงนิ่งเรียบว่า “ข้าไม่เสียดายเลยที่ช่วยทุกคนในตำหนักอ๋อง แต่ข้าเสียดายที่ไม่สามารถฆ่าเจ้าก่อนหน้านี้ได้ ดูตอนนี้สิ ดูเหมือนทวยเทพจะทนไม่ไหวจนถึงขั้นตระเตรียมให้ข้าได้มาพบกับเจ้าที่นี่เป็นกรณีพิเศษเลยนะ”

ถึงแม้น้ำเสียงจะราบเรียบ แต่หัวใจของเวินเทียนซั่วกลับสั่นสะท้าน สีหน้าแปรเปลี่ยนไปมาก ในที่สุด เขาพลันคุกเข่าลงจนเกิดเสียงดังตุบ!

“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะนิกายวิถีกระแสสวรรค์บีบบังคับให้ทำ ข้าสาบานต่อทวยเทพเลยว่านี่ไม่ใช่ความตั้งใจเดิมของข้า ขอผู้กล้าเฉินโปรดเมตตาไว้ชีวิตข้าด้วย”

เวินเทียนซั่วมีใบหน้าเศร้าสร้อยขณะคุกเข่าตะโกนเสียงดัง

ถ้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง แม้แต่เฉินซีคงไม่คาดคิดว่าจะมีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีที่ยอมคุกเข่าขอขมาราวกับคนน่าเวทนา เพื่อร้องขอความเมตตาโดยไม่สนศักดิ์ศรีเช่นนี้!!!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]