บุบผาร้อยเสน่ห์ นิยาย บท 153

บทที่153 ระหว่างทางเจอคนดี

ที่ชายฝั่งไฟไหม้ไปทั้งแถบ ผู้คนมากมายก็ตะโกนโหวกเหวกวุ่นวาย

“บัดซบที่สุด!” ชายหัวโล้นเหงื่อท่วมรีบกระชากจูเย่นมากอดไว้แน่น: “ท่านหัวหน้า! หญิงสาวผู้นี้กระโดดลงน้ำไปต้องเสียชีวิตลงแน่นอน ถึงตอนนี้ท่านกระโดดตามไป จะตามทันหรือไม่ทันก็ไม่อาจรู้ได้!”

จูเย่นในเวลานี้ถึงได้อารมณ์เย็นลง แล้วมือก็จับดาบเล่มยาวออกมาพาดไปที่ลำคอของคนแจวเรือและพูดสั่ง: “กลับไปบนฝั่ง”

มองไปที่ผิวน้ำนั้นอีกครั้ง ก็ไม่มีร่องรอยของใครแล้ว

ท่ามกลางหอนางโลม นอกจากคอกม้าด้านหลังที่ไฟไหมแล้ว สถานที่อื่นๆกลับยังคงอยู่เหมือนเดิม ม้าของโหวเซ่อวิ่งหนีไปสองตัวในขณะที่เกิดความโกลาหล จูเซที่ทั้งหัวทั้งหน้าเปื้อนเขม่าก็ไปลากม้าที่เหลือทั้งหมดกลับคืนมา

แม่เล้าแห่งหอนางโลมโมโหจนฟันกระทบกันกึกๆ แล้วรีบสั่งผู้ช่วยข้างกาย: “ยังไม่รีบไปลากตัวนางสารเลวนั่นกลับมาให้ข้าอีก! ข้าอุตส่าห์คิดว่าก่อนที่นางจะไปจะเอาสูตรต่างๆให้กับข้า ยังไม่พอยังต้องมาสร้างคอกม้าขึ้นมาใหม่อีก!”

“มามา(แม่เล้า) เมื่อสักครู่ก่อนที่แม่นางท่านนั้นจะไป นางได้ยัดกระบอกไม้ไผ่นี่ให้ข้า”ผู้ช่วยอีกคนที่อยู่ข้างๆหน้าเต็มไปด้วยเขม่า รีบส่งกระบอกไม้ไผ่ให้กับนาง

แม่เล้าเพียงแอบมองข้างในมีสูตรยาสี่ใบและวิธีการฝึกโยคะอีกสิบกว่าใบ หลังจากนั้นก็พูดออกมาหนึ่งประโยค: “ทั้งตีทั้งด่าก็ไม่สามารถเก็บคนไว้ได้ มิเช่นนั้นหากฝึกสอนดีๆคงจะขายได้ราคาดี”

“แม่นางคนนี้ช่างเป็นคนมีน้ำใจนัก” แม่เล้าเงียบลงสักครู่ เหมือนนึกย้อนไปถึงอดีต ท้ายที่สุดก็ยิ้มกว้างออกมาแล้วเก็บกระบอกไม้ไผ่ไว้: “ช่างมันเถอะ ไม่ต้องตามแล้ว หากว่ามีคนถามขึ้นมา ก็ให้บอกว่ามามาของข้ากำลังจัดการกับปัญหาภายในหอก็ยุ่งพอแล้ว จะมีใครมีคนมาช่วยพวกเขาตามคนกัน”

จูเย่นรีบเร่งกลับมา จูเซที่นั่งอยู่บนกองฟาง ก็สะอื้นอย่างเงียบๆ

“เจ้ายังกล้าร้องไห้อีก” จูเย่นเดินเข้าไปตบเข้าที่ใบหน้าของนาง: “เจ้าไม่ให้ข้าฆ่านาง สุดท้ายล่ะ! ดูนางสิจุดไฟเผาตำบลเหยสุ่ยไหม้ไปกว่าครึ่ง ตอนนี้ก็โดดลงไปในแม่น้ำแล้ว!จะไปหาจากที่ไหนอีก!”

หากตอนนี้ไม่มีแล้วม้า ถึงแม้ว่าตำบลเหยสุ่ยจะยังเป็นความลับ แต่ก็เหมือนกัน ตราบใดที่ยังอยู่ที่นี่ก็เป็นการยากที่จะติดต่อกับคนอื่นๆ และแม้ว่ากู้อ้าวเวยยังมีชีวิตอยู่จริงๆ พวกเขาก็ไม่มีเวลามาค้นหา ทำได้เพียงกลับไปยังจวน และค้นหาร่องรอยอื่นของตระกูลหยุน

“ข้า……เพราะข้ากลัวว่าซูพ่านเอ๋อคนนั้นจะล่อลวงท่านอีก!”

ดวงตาทั้งคู่จ้องมองกัน พี่ชายและน้องสาวทั้งคู่ต่างไม่มีคำพูดเอ่ยออกมา ในที่สุดจูเย่นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ และนั่งลงข้างๆจูเซ: “ต่อไป ข้าจะไม่อาลัยอาวรณ์ต่อนางมากมายขนาดนั้นแล้ว”

“ข้าเองก็จะไม่ปิดบังท่านอีกแล้วเช่นกัน”

……

น้ำในแม่น้ำหนาวเย็นไปจนถึงกระดูก กลับเทียบไม่ได้กับช่วงเวลาที่ปีนขึ้นมาบนฝั่ง

บาดแผลเปื่อยนั้นเจ็บจนแทบไม่มีความรู้สึก ลำคอที่สำลักน้ำจนทรมานดั่งไฟเผา แต่นางกลับผายมือทั้งสองข้างออกแล้วหัวเราะออกมาอย่างผ่อนคลาย มองไปที่แสงตะวันในป่าเบื้องหน้า ยอดภูเขาที่สลับซับซ้อนกันไกลออกไปจนหาที่สิ้นสุดไม่ได้ บางทีถ้ายังไม่ออกไปภายในสามวันนี้นางก็คงจะต้องตายอยู่ที่นี่ แต่ก็ยังหัวเราะเสียงดังออกมาได้ พร้อมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า

นี่นับเป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นโลกนี้อย่างอิสระ!

ไม่ได้โชคดีที่ถูกใครช่วยเหลือขึ้นมา และยังอาการบาดเจ็บสาหัสที่ยังไม่ได้รักษา ตรงหน้าก็ไม่มีทางไป

“ถึงอย่างนั้น ข้ากลับยังมีชีวิตอยู่” นางไอแค็กๆพร้อมหัวเราะเสียงดัง แล้วลากร่างที่อ่อนล้าเดินเข้าไปในป่า และต้องขอบคุณที่ที่นี่มีน้ำที่ใสสะอาดกับสมุนไพรธรรมดา และต้องรีบจัดการกับบาดแผลที่แช่น้ำจนเปื่อย จากนั้นก็เดินตุปัดตุเป๋เข้าไปในป่า โดยแค่หวังว่าก่อนฟ้ามืดจะสามารถหาเจอสถานที่ให้หยุดพัก

แต่ช่างน่าเสียดายที่คนขอไม่สมความปรารถนา หลังจากที่ฟ้ามืด ก็ต้องเข้าไปอยู่ในโพรงไม้ท่ามกลางป่าใหญ่ ไฟชุด(คล้ายตะบันไฟ)ไม่สามารถใช้ได้ นางจึงรีบใช้หญ้ามาปกปิดที่ปากโพรงไม้ไว้

สุดท้าย กู้อ้าวเวยก็นั่งอยู่บนรถม้าจนได้ นี่จึงทำให้นางโล่งใจไม่น้อย แต่ก็ไม่กล้าเมินเฉยจึงนำยาสมุนไพรที่เหลือมาบิดเอาน้ำออก แม้แต่ที่ข้อเท้าของตนก็ใส่ยาด้วย

เด็กสาวที่อยู่ข้างหลังพยายามชะโงกหัวจะดู นางจึงรีบซ่อนข้อมือข้อเท้าของตนเองไว้ แล้วยิ้มบาง: “ฮูหยิน บาดแผลนี้น่ากลัว เด็กๆเห็นแล้วอาจไม่ค่อยดี”

“อย่าได้กังวล อาโม่ตั้งแต่เล็กก็ติดตามท่านพ่อเขาไปช่วยรักษาผู้คน บาดแผลอะไรก็เห็นมาจนหมดแล้ว” นางโบกๆมือ แล้วบอกให้เรียกนางว่าเฟิงเมี่ยว และสามีนางนามว่าซู๋โหย่วเว่ย และนางตั้งครรภ์มาแล้วสี่เดือน นี่จึงคิดว่าจะไม่ออกไปเดินทางรักษาแล้ว จึงจะกลับไปที่บ้านเกิดจะได้ดูแลครรภ์อย่างสบายใจ

กู้อ้าวเวยเพียงแค่ยิ้มๆ ซู๋โหย่วเว่ยที่อยู่ข้างหน้าจึงได้จัดยาให้กับนาง เฟิงเมี่ยวก็ให้นางดื่มน้ำเล็กน้อย เด็กสาวตัวน้อยอ้วนกลมนั้นก็ไม่สนใจเนื้อตัวของนางที่สกปรกมอซอ เอาแต่จ้องไปที่แมวไม้เชือกสีแดงตรงเอวของนาง

”ใช่แล้ว เจ้ามาจากที่ใดกัน ต้องการให้ข้าช่วยส่งข่าวให้กับครอบครัวเจ้าไหม”

“ข้ามาจากเทียนเหยียน หากว่าข้าส่งจดหมายออกไป จำเป็นต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะถึง?” กู้อ้าวเวยค่อยๆคิดว่า ดูเหมือนว่านางจะลอยอยู่บนแม่น้ำเป็นเวลานาน ตอนที่ขึ้นฝั่งก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว

สองสามีภรรยามองหน้ากัน ก็นิ่งชะงักมองไปที่นาง: “ถ้าหากว่าเจ้าจะส่งจดหมายไปเทียนเหยียน ครึ่งเดือนหรือสองถึงสามเดือนถึงจะสามารถส่งถึง”

ไกลขนาดนี้เชียวหรือ?

ในใจก็คิดบางอย่างได้ ถ้าเป็นเช่นนี้ นางก็ไม่ต้องการที่จะนั่งอยู่เฉยๆ จึงได้พูดต่อ: “ข้าก็พอจะมีฝีมือในการรักษาอยู่บ้าง สามารถช่วยบ้านเกิดของพวกท่านเป็นลูกมือในร้านขายยา สามารถให้ข้าอาศัยอยู่สักพักได้หรือไม่ จะได้หาเงินเล็กน้อยไว้สำหรับเป็นค่าเดินทาง?”

“อย่าได้กังวล เพียงแต่จดหมายที่จะส่งในอีกสักครู่ เจ้าจะให้ส่งไปที่ใดกัน?” เฟิงเมี่ยวหัวเราะเบาๆ

“เทียนเหยียน ตำหนักอ๋องจิ้ง” เพียงคำพูดนี้พูดออกมา คู่สามีภรรยาตรงหน้าก็ตาโตเบิกกว้างทันที มีเพียงแค่เด็กสาวตัวน้อยที่หัวเราะอย่างขบขัน: “พี่สาว โกหกคนเป็นสิ่งที่ไม่ควรนะ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุบผาร้อยเสน่ห์