บุบผาร้อยเสน่ห์ นิยาย บท 429

บทที่429 แข่งหมากล้อม

หลังจากนั้น3วัน เรื่องที่กู้เฉิงได้ออกตามหายหยุนหว่านเพื่อตามหาตำรับยาอายุวัฒนะได้ถูกทูลแก่องค์ชายสาม

เมื่อซ่านจินจื๋อทราบเรื่องก็อยากให้กู่เซิงรีบฆ่ากู้เฉิงเสีย แต่เขากลับได้รับจดหมายฉบับหนึ่งที่มีใจความว่า"ท่านพ่อข้าได้หายสาบสูญไปเมื่อวานนี้ ขอให้ท่านอ๋องโปรดทรงระมัดระวัง"

"ส่งคนไปตามฆ่าปิดปาก แล้วอีกยังปล่อยข่าวเพื่อให้พวกที่เก็บเงินเกิดความหวาดกลัว":ซ่านจินจื๋อพูดพร้อมกับปัดมือ

ในขณะเดียวกัน กู้อ้าวเวยก็ได้รับข่าวคราวเช่นกัน ยิ้มอย่างเย็นชา พร้อมกับพูดว่า "กุ่ยเม่ยทำได้ดีมาก เมื่อได้ตัวกู้เฉิงก็เท่ากับว่าพวกเราชนะไปแล้วครึ่งทาง ส่งเขาไปให้ท่านหยุนหว่านที่เมืองเย่นจัดการ แล้วก็โยนความผิดเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ให้เขาเสีย"

ซ่านเชิ่งหานมองดูผู้คนที่เข้าออกห้อง แล้วเห็นว่าทั้งเยว่และฉางอีฉินนั่งอยู่ด้านข้างมองดูจดหมายต่างๆ ในมือของกู้อ้าวเวยอย่างตกตะลึง

เมื่อธูปที่จุดหมดไป กู้อ้าวเวยได้วางของที่อยู่ในมือลง ให้หวางโม่จุดไปเผาโรงเรียนแล้วโยนความผิดให้กู่เซิง พอดีกับที่เขาให้คนมาสืบข้อมูล"ตกดึก ได้มีเปลวเพลิงลุกโชน หวางโม่และเจิ้งฉิงคุนได้สั่งให้ไปที่ตำหนักเฉิงเสี้ยงเพื่อขอคำอธิบาย

กู่เซิงไม่เพียงแต่ยากแก่การตามหาตัว ตกดึกยังต้องไปดับไฟ ซ่านจินจื๋อนอนไม่หลับทั้งคืน วันต่อมากลับได้รับข่าวว่าไฟไหม้โรงเรียนนั้นเป็นขุนนางใต้บังคับบัญชาเป็นคนลงมือทำ เมื่อองค์ชายสามได้ทราบข่าวเกี่ยวกับเรื่องไฟไหม้ จึงได้มีการให้ขุนนางมีการระดมเงินช่วยเหลือ และสามารถตรวจสอบที่เก็บภาษีต่างๆ ได้ด้วย

ขุนนางกลุ่มหนึ่งได้เข้ามาที่ตำหนักอ๋องจิ้งพร้อมทั้งร้องไห้เสียงดังว่า"หากฝ่าบาททรงตรวจสอบขึ้นมา แม้แต่หมวกบนหัวก็ไม่สามารถรักษาไว้ได้แน่"

การเก็บเงินภาษีนั้นมีปัญหามาสักระยะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ท่านอ๋องใช้เงินหนึ่งแสนเพื่อช่วยชาวบ้านจากภัยน้ำท่วม เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แก้ลำบาก"

ขุนนางต่างๆ ต่างก็เถียงกันไม่หยุดหย่อน ซ่านจินจื๋อครุ่นคิดอยู่นาน พร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่โกรธว่า"นำเรื่องของกู่เซิงกู้เฉิงไปทูล ถึงแม้ว่ากู้เฉิงจะหายสาบสูญ หากเรื่องไม่ถึงหน้าฝ่าบาททุกอย่างต้องมีทางออก

หลังจากนั้นสองยาม ซ่านจินจื๋อได้นำพลทหารไปปิดล้อมประตูเมืองทั้ง4ด้าน

กู่เซิงโมโหพร้อมกับกำหลักฐานที่ได้จากองค์หญิงหลิงเอ๋อไว้แน่น ฝ่ายซ่านจินจื๋อได้ให้ซูพ่านเอ่อร์ล่วงหน้าไปก่อน พร้อมทำข่มขู่ว่าจะเอาชีวิตของฮัวหลีและกู้จี้เหยาเพื่อเป็นการปิดปากของเขา "กากเรื่องนี้แพร่ออกไป คนที่ต้องตายไม่เพียงแค่เจ้าหรือกู้เฉิงเท่านั้น แต่ยังมีน้องสาวทั้งสองของเจ้าด้วย พอถึงเวลานั้นเจ้าจะได้เห็นการตายของพวกนางอย่างช่วยอะไรไม่ได้เลย"

"ไม่งั้นก็ตายด้วยกัน"กู่เซิงท้ากลับ ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ยอมหยุดลงง่ายๆ

ในระหว่างที่ยื้อเวลาอยู่นั้น ซ่านจินจื๋อก็ได้ให้คนไปซ่อนเงินและกองทหารของตัวเองจากที่ต่างๆ ไปฟังไว้ พร้อมทั้งสั่งเฉิงซานว่า"ให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ไปแก้ไขเรื่องไฟไหม้ให้กับกู่เซิง"

"พวกเราไม่ได้แตกหักกับกู่เซิงแล้วหรือ"เฉิงซานถามด้วยความไม่เข้าใจ

เวลานี้เราก็เหมือนกับตั๊กแตนบนเส้นด้ายเดียวกัน ต่อหน้าทำทีแตกหักเพื่อให้ฝ่าบาทไม่สงสัย" สายตาของซ่านจินจื๋อฉายแววน่ากลัว "แล้วค่อยเขียนจดหมายต่อฝ่าบาทว่าตอนนั้นข้ามองอัครเสนาบดีผิดไป"

เมื่อเรื่องเกิดขึ้น ฝ่าบาทได้ส่งคนไปตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดทันที

อีกฝั่งหนึ่ง กู้อ้าวเวยรับฟังเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ครุ่นคิดสักพัก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงต่ำๆ ว่า ปล่อยข่าวเรื่องเชือกทวงชีวิตออกมา แล้วบอกว่าปีศาจของเขาลูกนั้นที่จริงแล้วเป็นบรรพบุรุษตระกูลหยุน เมื่อนางปรากฏตัวขึ้นแคว้นชางหลานจะต้องคืนตำแหน่งฮ่องเต้แน่นอน"

เมื่อพูดจบ ขุนนางในที่ประชุมต่างขานรับ

ซ่านจินจื๋อขมวดคิ้วขึ้นทันที ยังไม่ได้พูดอะไร องค์ชายสามก็เดินออกมา พร้อมคำนับ "ข้าคิดว่า ขุนนางเมิ่งพูดก็มีเหตุผล แต่เรื่องไฟไหม้โรงเรียนนั้นเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น

พอหันไปมองสองคนนั้นที่พูดแก้ไขปัญหาได้อย่างดีเยี่ยม ก็ยิ่งทำให้องค์ชายสามเอาความสัมพันธ์ของกู่เซิงมาขาย คนอื่นต่างพากันสรรเสริญอย่างลับๆ

แต่ซ่านจินจื๋อกลับเอาเชื้อเพลิงไปเติม แม้ว่าเมิ่งซู่จะส่งคนไปเอง พูดแบบนี้ก็ดูน่าเชื่อถือ ต่อหน้าฝ่าบาทเองก็ดูจะมีเหตุมีผลอยู่ แต่เขากลับคิดว่า: “กระหม่อมเห็นด้วยกับความคิดของใต้เท้าเมิ่งกับองค์ชายสาม อีกอย่างในพิธีการล่าสัตว์ป่าในฤดูใบไม้ร่วง ทุกเมืองก็จะส่งขุนนางมาร่วมยินดี ควรจะเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ”

ซ่านเซิ่งหานก็พลันดีใจขึ้นมา เดิมทีคิดว่าที่ตัวเองพูดมานั้นอาจจะยังมีเหตุผลไม่พอ แต่ไม่นึกว่าซ่านจินจื๋อจะไม่รีบร้อน ในเวลาแบบนี้ถ้าต้องรอก็เท่ากับว่าเป็นการให้เวลาอีกฝ่ายไปหาหลักฐาน

พอคิดไปคิดมา ตอนนั้นก็เป็นองค์ชายสามที่ช่วยกู้เฉิงเอาไว้ เรื่องโทษนั้น ทั้งสองคนต่างก็ได้รับเท่ากัน

พอองค์ชายสามกลับมาที่ตำหนัก และเล่าทุกอย่างให้กู้อ้าวเวยฟังแล้วนั้น นางก็พลันหัวเราะออกมา: “อยู่ต่อหน้าคนอื่นนี่ซ่านจินจื๋อช่างดูมีความอดทนมากเหลือเกิน ถ้าต้องการจะจัดการเขาละก็ ไม่เพียงแค่ต้องใช้หลักฐานของขุนนางที่ทุจริต แต่ยังต้องใช้หลักฐานที่แน่นหนากว่านั้นอีก”

“หลักฐานพวกนั้นก็เป็นหลักฐานที่หนักแน่นแล้ว” ซ่านเซิ่งหานพูดขึ้นอย่างประหลาดใจ: “เสด็จอามีความสามารถในการทำศึกอย่างมาก จะเอาหลักฐานที่แน่นกว่านี้ยังไง”

“ก็คือหลักฐานที่บอกว่าเขาต้องการจะเป็นฮ่องเต้ ในเมื่อเมิ่งซู่ส่งคนของตัวเองไป ถ้าเป็นอย่างนั้นความสัมพันธ์ระหว่างฝ่าบาทกับซ่านจินจื๋อก็อาจจะเกิดการบาดหมางกันได้” พูดเสร็จ นางก็ทำสัญญาณมือให้กุ่ยเม่ย แล้วก็พูดเบาๆ : “ช่วงนี้ทางซูพ่านเอ๋อร์มีการเคลื่อนไหวอะไรมั้ย?”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุบผาร้อยเสน่ห์