บุบผาร้อยเสน่ห์ นิยาย บท 443

บทที่ 443 ศัตรูเข้าโจมตี

ทั้งสองคนเดินทางกลับมายังบ้านทรุดโทรมผุพังนั้นภายใต้ท้องฟ้าที่มืดดำ ครั้งนี้เพราะว่ากู้อ้าวเวยรู้สึกปวดที่ขาถึงได้นอนหลับไปตั้งนานแล้ว  

แต่ซ่านจินจื๋อกลับเอนพิงอยู่ที่ข้างเตียง มองดูใบหน้าที่หลับสนิทของหยูนเฉิน ก็ยิ่งรู้สึกว่าคนทั้งสองเหมือนกันมากขึ้นไปอีก

ยื่นมือออกไปจับเข้าที่แก้มของเขาด้วยใจที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย กลับมองเห็นหยูนเฉินที่ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นด้วยความตกตะลึง ตกใจเสียจนซ่านจินจื๋อต้องลดมือของตัวเองลง กระซิบพูดขึ้นกับปีศาจในตัว 

สะดุ้งตื่นจากความฝันขึ้นมาอีกครั้ง กู้อ้าวเวยปวดหัวจนตบเบา ๆ ที่หัว ยกมือขึ้น “ถุงนุ่นของข้าล่ะ”

เงียบสนิท  

ผ่านไปเป็นเวลานานนางถึงรู้สึกตัวขึ้นว่าไม่ได้อยู่ข้างกายของกุ่ยเม่ย อีกทั้งซ่านจินจื๋อกำลังส่งสายตาจับจ้องมาที่เขา

ตรงจุดนี้ที่ไม่เหมือนกับกู้อ้าวเวย นอกจากเรื่องแต่งตัวแล้วกู้อ้าวเวยล้วนแล้วแต่ทำเองทั้งหมด  

โดยที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าท่าทีที่ทำไปตามสัญชาตญาณของตนเองได้สลายความรู้สึกที่อยู่ในใจที่ไม่สามารถเอ่ยพูดของซ่านจินจื๋อได้ กู้อ้าวเวยลดมือลงอย่างเก้ ๆ กัง ๆ รีบเอ่ยปากกล่าวคำขอโทษออกมาหนึ่งทีแล้วเอนกายนอนลงอีกครั้ง รับรู้ได้ถึงกลิ่นไอความชื้นที่ได้แพร่สะพัดลอยมาเตะจมูก ทำให้นางรู้สึกดีขึ้น พูดขึ้นอย่างอิดหนาระอาใจไปว่า “พรุ่งนี้พวกเขาจะลงมาไหม?”

“อื้ม”  ซ่านจินจื๋อพยักหน้า และนอนลงไปทั้งชุดเดิม

ต่างคนก็ตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองจนผ่านไปหนึ่งคืน จนกระทั่งมาถึงตอนเที่ยงของวันที่สอง พลทหารในมือของซ่านเซิ่งหานก็ได้พาคนออกมาจากป่ารกชัฏเป็นไปตามที่คาดหมาย ทั้งซ่านจินจื๋อและกู้อ้าวเวยต่างก็เก็บงำเรื่องป้ายหลุมฝังศพเอาไว้อย่างมิดชิด  

บางทีฮ่องเต้องค์นั้นอาจจะเป็นจักรพรรดิผู้โง่เขลา แต่ว่าพระองค์ก็ได้สวรรคตลงในสมรภูมิรบ ยังไม่ได้ประทับให้สงบลงสักครึ่งภายใต้สุสานหลวง ยังนับว่าเป็นการยึดถือพระองค์เอาไว้ 

มีพลทหารรีบพุ่งตัวเข้ามา นำเอาเสื้อคลุมตัวทั้งหนาและหนักแห้งสนิทเอามาคลุมไว้ที่ไหล่ของกู้อ้าวเวย กระซิบพูดขึ้นว่า “ฝ่าบาททรงเป็นกังวลต่อพระองค์ยิ่งแล้ว ขอเชิญเสด็จไปกับพวกกระหม่อม”  

แต่อีกฟากหนึ่งนั้น   เฉิงซานเองก็ได้เร่งฝีเท้ามาอยู่ที่ข้างกายของซ่านจินจื๋อ “แคว้นเจียงเยี่ยนพลันก็เกิดการโจมตีเข้า องค์ชายสามเสด็จล่วงหน้าไปก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าโง่เอ้ย เขาเป็นแค่องค์ชายที่เชี่ยวชาญในตำราแต่หาได้ชำนาญในการออกรบไม่”ซ่านจินจื๋อก้าวเท้ายาว ๆ ไปด้านหน้าด้วยความหัวรัดฟัดเหวี่ยง เมื่อได้กำชับให้คนกลุ่มหนึ่งไปจัดการแก้พิษในสถานที่ที่มีพิษของคลองลั่วส่วยแล้ว พลันก็รีบไปตัดกำลังเสเบียงของศัตรูในทันที

กู้อ้าวเวยคิดอยากจะไปด้วย แต่พลทหารสองนายกลับออกแรงหยุดนางเอาไว้  

เยว่ที่เผยใบหน้าครึ่งหนึ่งภายใต้หน้ากาก “ฝ่าบาททรงไม่อนุญาตให้ต่อไปพระองค์อยู่เพียงลำพังกับอ๋องจิ้งอีก”  

“เป็นการเปิดเผยหรือเป็นการส่วนตัว?”กู้อ้าวเวยรู้สึกหัวร้อนหงุดหงิดใจ ในเพลานี้ศึกใหญ่ก็ใกล้เข้ามา คงจะไม่เอาแต่ดูแลนางแล้วส่งกลับไปยังค่ายทหารหรอกนะ

“เป็นการเปิดเผยและเป็นการส่วนตัว”เยว่เน้นคำว่าเป็นการส่วนตัวอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ  

กู้อ้าวเวยจำใจต้องถูกส่งขึ้นรถม้า เดินทางไปยังสถานที่ปลอดภัย เตรียมการอพยพอย่างง่าย ๆ อยู่กับพวกผู้ช่วยหรือไม่ก็ตระเตรียมจุดตั้งรับ  

ไปถึงกลางทางกุ่ยเม่ยก็ได้ลากนางกลับไปยังค่ายทหาร เอาถุงผ้าฝ้ายมาห่อที่หัวเข่าและน่องของนางไว้เป็นชั้น ๆ ถึงแม้จะดูบวมออกมาอยู่บ้าง แต่พอสวมเสื้อคลุมเอาไว้พลันก็มองไม่เห็น

 “เจ้าติดตามเขาไปทีก็หลายวัน องค์ชายสามแทบจะคลุ้มคลั่ง” กุ่ยเม่ยกระซิบพูดขึ้น

“นี่มันผิดปกติ”กู้อ้าวเวยรู้สึกเพียงแค่ว่าปวดหัว ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วซ่านเซิ่งหานมองเห็นในความสามารถของตัวเอง หรือว่าตัวตนของตัวเองแล้วกันแน่

กุ่ยเม่ยส่ายหน้าไปมาไม่หยุด ในตอนจังหวะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ผ้าม่านตรงประตูก็ถูกเลิกออกอย่างรุนแรง  

เยว่ที่อยู่ในชุดทหารเต็มยศใบหน้างอง้ำเดินเข้ามา “พวกเราต้องไปอีกเมือง”

“เกิดอะไรขึ้น?”  

“อ๋องจิ้งเอาเรื่องที่ฝ่าบาทไม่เคยเข้าร่วมรบมาเป็นสาเหตุ บังคับให้พระองค์กลับไปประทับเฝ้าเมือง อีกทั้งยังให้พระองค์ไปคอยสอบถามข้าราชสำนักในเมือง ทูลออกไปอย่างชัดเจนเลยว่าไม่อยากให้ฝ่าบาทต้องแบ่งแรงใช้ความพยายามเลยสักนิด”เยว่พูดขึ้นอย่างโมโห คำสั่งของเบื้องสูงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องฟัง นางจำต้องช่วยกู้อ้าวเวยจัดแจงสัมภาระทั้งหมด

ซ่านจินจื๋อหัวเด็ดตีนขาดก็ไม่มีวันยอมเอาอำนาจทหารในมือมอบให้กับซ่านเซิ่งหานอย่างง่ายดาย

เมืองที่จะต้องไป ลางทีอาจจะเงียบสงบลางทีอาจจะเป็นที่ที่อันตราย ซ่านจินจื๋อยังไงก็ไม่มีทางที่จะเข้าช่วยในทันที  

สำหรับเรื่องนี้ กู้อ้าวเวยเพียงแค่ดึงที่แขนเสื้อของกุ่ยเม่ยเอาไว้เบา ๆ พูดเสียงเบา ๆ ว่า “พวกเราไปเดินเล่นในเมืองกันสักหน่อยเถอะ”  

“อย่างมากสุดก็ไม่เกินหนึ่งชั่วยาม”กุ่ยเม่ยพยักหน้า เมื่อได้รับความเห็นชอบจากซ่านเซิ่งหานแล้ว พลางใช้มือหนึ่งกึ่ง ๆ ประคองกู้อ้าวเวยลงจากกำแพงเมือง เดินไปมาในเมืองที่ไร้ซึ่งกลิ่นไอของผู้คน

ซ่านเซิ่งหานรู้สึกราวกับถูกกู้อ้าวเวยกีดกันตัวเองออก ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น  

แต่บนระหว่างทางบนท้องถนน กุ่ยเม่ยก็พูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ท่านอ๋องเป็นผู้ชำนาญในการทำศึก องค์ชายสามชนะเขาไม่ได้หรอก”  

“ชนะไม่ได้ก็ชนะไม่ได้ไปสิ ข้าเพียงแค่หวังว่าฝั่งตรงข้ามจะไม่ยึดครองเอาเมืองกวนผิง ในเมื่อนับไปแล้วก็ไม่ได้มีกำลังใด ๆ และก็ไม่ต้องไปทนเห็นพลทหารต้องพากันไปตาย”กู้อ้าวเวยถอนหายใจออกมาเบา ๆ ทีหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้หันไปมองซ่านเซิ่งหานที่อยู่บนกำแพงเมือง เพียงแค่พูดด้วยเสียงกระซิบว่า “ไม่ว่าช้าหรือเร็วราชบัลลังก์ก็ต้องพลอยทำให้พวกเขาตามืดบอกไปได้สักวันอยู่ดี”

 “ท่านอ๋องเพียงแค่ทำเพราะซูพ่านเอ๋อ” 

“นั่นมันก็เพราะว่าราชบัลลังก์มีสิทธิที่มากพอ”  กู้อ้าวเวยเงยหน้าขึ้น ก็มองเห็นนกที่อยู่บนท้องฟ้าถลาลงสู่บนบ่าของนาง

นำเอากระดาษออกมาจากกระบอกไม้เล็ก ๆ กู้อ้าวเวยกลับตะลึงงันไปเล็กน้อย “ทำไมถึงได้……”

 “ทำไมกัน?” กุ่ยเม่ยรีบแย่งกระดาษนั้นมาในทันที

“บิดาของลี่วานคืออ้ายจือ บุตรสาวของแม่ทัพอ้ายแคว้นเจียงเยี่ยน”

กู้อ้าวเวยใจหนักอึ้ง “ในตอนแรกอ้ายจือเคยพบซ่านจินจื๋อ ถ้าหากว่าเพื่อราชบัลลังก์แล้วซ่านจินจื๋อได้ร่วมมือกับแคว้นเจียงเยี่ยน”  

เสียงยังไม่ทันได้หยุดชะงักลง ม้าจากข้างกายของกู้อ้าวเวยก็ได้วิ่งไป เสียงกลองและเสียงฉาบอันนับไม่ถ้วนก็ดังขึ้นในทันที

สีหน้าของกุ่ยเม่ยและกู้อ้าวเวยก็ดูแย่ลงในทันที

ข้าศึกโจมตี

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุบผาร้อยเสน่ห์