บทที่219 วิชาฝึกร่างกายชั้นที่หนึ่ง
เสี่ยวอู่มองเห็นกล่องอาหารที่จูนจิ่วถือกลับมา ด้วยความตะลึง สุดท้ายก็ไม่เพียงจัดวางไว้บนโต๊ะจนเต็ม ยังจะวางไว้ตรงที่นั่งพักได้อีกหนึ่งโต๊ะ จึงจะหมด
ไม่เพียงจะมีรายการที่เสี่ยวอู่ขอ กับข้าวทั้งเนื้อและมังสวิรัติอย่างละสิบชนิด ยังมีน้ำแกง ของหวานหลังอาหาร ของว่างเป็นต้น เสี่ยวอู่ตะลึงจนตาค้าง “เหมียว นี่มันงานเลี้ยงชาววังหรืออย่างไร”
“นี่ยิ่งกว่างานเลี้ยงของชาววังอีกนะ ลองชิมดูเถอะ”จูนจิ่วมองไปยังโม่อู๋เยว่ ยื่นตะเกียบคู่หนึ่งให้เขา
เห็นได้ชัดว่าพ่อครัวที่ทำกับข้าวก็ไม่รู้ว่ามีคนกินกันเท่าไหร่ เมื่อเห็นรายการอาหารที่สั่ง ก็เตรียมตะเกียบไว้เจ็ดแปดคู่ จูนจิ่วเห็นโม่อู๋เยว่เลิกคิ้วมองนางแต่ไม่เอ่ยอะไร กะพริบตาถามออกไปว่า “เจ้าไม่หิวหรือ”
ฮัดเช้ย
เหลิ่งยวนที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดจามออกมา เขาเอามือปิดปากกลัวเสียงจะเล็ดลอดออกมา ค่อยๆถอยไปยังเงามืดอีก กล่าวในใจว่า หิว อยู่กับเจ้านายมาก็หลายปี ยังไม่เคยเห็นเวลาเจ้านายหิวเลย
จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองโม่อู๋เยว่และจูนจิ่ว เหลิ่งยวนพูดเสริมขึ้นเบาๆว่า แม้จะหิว ก็คงรู้สึกหิวกระหายในวิญญาณของจูนจิ่ว
เหลิ่งยวนพูดถูก ในความทรงจำของโม่อู๋เยว่เองก็จำไม่ได้แล้วว่ากินมื้อสุดท้ายเมื่อไหร่ ตอนเด็กๆเขาแข็งแรงมากจนไม่จำเป็นต้องกินอาหารธัญพืชเนื้อสัตว์ผักเพื่อให้อิ่มท้องเลย โม่อู๋เยว่ไม่โลภต่อความอยาก ฉะนั้นการกินสำหรับเขาแล้วไม่จำเป็นต้องมีอยู่ด้วยซ้ำไป
เหลิ่งยวนคิดว่าโม่อู๋เยว่จะปฏิเสธจูนจิ่ว แต่เขากลับยื่นมือออกไปรับตะเกียบที่จูนจิ่วยื่นมาให้
โม่อู๋เยว่มองจูนจิ่วเงียบๆ มองนางขยับตะเกียบ ท่วงท่าสง่างามเจริญตาเจริญใจ เมื่อได้กินอาหารถูกปาก ในตาจะประกายแสงแห่งความพึงพอใจ ราวกับรสชาตินั้นอร่อยยิ่งนัก
จูนจิ่วเหลือบมองโม่อู๋เยว่ “ท่านไม่กินหรือ”
ถือตะเกียบแต่ไม่ขยับ เอาแต่จ้องนาง จูนจิ่วประหลาดใจ เป็นไปได้ไหมว่าโม่อู๋เยว่จ้องมองนางก็รู้สึกอิ่มแล้ว
“กิน”โม่อู๋เยว่ยิ้มมุมปากเบาๆ เขาขยับตะเกียบคีบเนื้อน้ำแดงขึ้นมาหนึ่งชิ้น จูนจิ่วมองโม่อู๋เยว่ทุกกิริยา ตะลึงเบาๆ ที่แท้มีคนสามารถกินข้าวแล้วเหมือนราวกับภาพวาดได้ ไม่ว่าจะมองยังไง ก็ดูดี
เมื่อโม่อุ๋เยว่มองไปที่นาง นางรีบเก็บสายตาทันที นางกินข้าวต่อโดยสงบ
มีเพียงเหลิ่งยวนที่มองภาพนั้นจนอ้าปากตาค้าง เขาค้นพบอย่างปราดเปรื่องว่า สิ่งที่โม่อู๋เยว่กินนั้นล้วนเป็นจานอาหารที่จูนจิ่วเคยกิน จูนจิ่วขยับตะเกียบอยู่ข้างหน้า โม่อู๋เยว่ก็กินอยู่ตามหลัง แม้จะเป็นแค่การชิมอย่างละคำเท่านั้น สำหรับเหลิ่งยวนนั้นก็ยังถือว่าเป็นเรื่องฟ้าถล่มดินทลายอยู่ดี
จากคนโดดเดี่ยวไร้มิตร จนเป็นเพื่อนกินอาหารอย่างใจเย็นกับจูนจิ่ว เหลิ่งยวนอุทานในใจ มีเพียงจูนจิ่วเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงโม่อู๋เยว่ได้
สุดท้ายก็ส่งคืนกล่องอาหารให้กับลูกศิษย์ที่รออยู่ในสวน จูนจิ่วกำชับว่า “ทีหลังขอเพียงแค่อาหารมีเนื้อสัตว์สามอย่างมังสวิรัติสองอย่างน้ำแกงหนึ่งถ้วย ไม่ต้องมากขนาดนี้แล้ว ”
จริงๆแล้วอาหารที่มีเนื้อสัตว์สองอย่างมังสวิรัติหนึ่งอย่างน้ำแกงหนึ่งถ้วยก็พอแล้ว แต่คิดได้ว่ามีโม่อู๋เยว่อยู่ จูนจิ่วจึงเพิ่มสำรับขึ้นอีกนิด ลูกศิษย์พยักหน้ายิ้มรับ คำนับและถือกล่องอาหารขึ้น“ขอรับ ข้าเข้าใจแล้ว อาจารย์อารีบพักผ่อนเถอะ”
คืนแรกในสำนักเทียนอู่จง เงียบสงบดี
จูนจิ่วตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ เสี่ยวอู่โดดเข้ามาในห้องทางหน้าต่าง “เจ้านาย ชิงหยู่มาแล้ว”
เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย จูนจิ่วเดินไปเปิดประตู พอดีกับที่ชิงหยู่ยกมือขึ้นกำลังจะเคาะประตู ยืนอึ้งไปชั่วครู่ มุมปากของชิงหยู่ก็เผยยิ้มอบอุ่น “ช่างบัญเอิญจริงๆศิษย์น้อง คงไม่ใช่ว่าเจ้าได้ยินเสียงฝีเท้าของศิษย์พี่หรอกกระมัง”
“น่าเสียดาย เป็นเสี่ยวอู่ที่เห็นท่าน”จูนจิ่วเอ่ย เสี่ยวอู่เดินไปนั่งข้างเท้านาง ค่อยๆเอียงหัวแนบกระโปรงของจูนจิ่วลูบหัวไปมา
ชิงหยู่ก้มลงมองเสี่ยวอู่ ชื่นชมว่า “แมวของศิษย์น้องช่างฉลาดจริงๆ”
ชิงหยู่ “วิชาฝึกร่างกายของสำนักเทียนอู่จงเรา ทั้งหมดแบ่งเป็นห้าชั้น จากสูงลงต่ำ แบ่งเป็นเทียง(ฟ้า)ตี้(ดิน)สวง(ดำ)หวง(เหลิอง)เหริน(คน)ตามลำดับ แต่ลูกศิษย์ทุกคนที่เข้าสู่สำนักเทียนอู่จง ก็ต้องเริ่มเรียนจากชั้นที่หนึ่งทั้งนั้น ขอเพียงเจ้าผ่านด่านได้แล้ว ก็จะสามารถเรียนชั้นต่อไปได้”
“วิชากำลังภายในก็วางมันไว้ตรงนี้”จูนจิ่วถามชิงหยู่
ก้อนหินก้อนใหญ่ขนาดนี้ไม่มีทางขยับได้ ตั้งเด่นหราอยู่ในลานฝึกต่อสู้ ไม่กลัวถูกขโมยวิชาหรือไง
ชิงหยู่เข้าใจความคิดของจูนจิ่ว รอยยิ้มบนมุมปากของเขายิ่งเด่นชัดขึ้น มองไปยังจูนจิ่ว อย่างเอาแต่ใจ“ศิษย์น้อง คิดอยากขโมยเรียนวิชาฝึกร่างกายของสำนักเทียนอู่จงของเรา จำเป็นต้องมีวิชาจิตจึงจะได้ ไม่มีวิชาจิต เรียนไปก็เป็นแค่กังฟูหมัดเท้าธรรมดา”
“อ๋อ”จุนจิ่วพยักหน้า
“มา ศิษย์พี่จะบอกเจ้าเรื่องวิชาจิต”ชิงหยู่พูดขึ้นอย่างไม่เร็วไม่ช้าบอกเรื่องวิชาจิตให้กับจูนจิ่วฟังหนึ่งรอบ เขาพูดต่อว่า “เดี๋ยวข้าจะนำหนังสือบันทึกวิชาจิตมาให้เจ้า เจ้าเอากลับไปท่องจำให้ขึ้นใจอีกหน่อยจะได้สะดวก”
“ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น ข้าท่องจำขึ้นใจแล้ว”
ได้ยินดังนั้นก็ประหลาดใจ “เจ้าท่องจำขึ้นใจแล้ว”
“ใช่”จูนจิ่วท่องวิชาจิตอย่างเป็นวรรคเป็นเวรหนึ่งรอบ ทำเอาชิงหยู่ยืนอึ้งไม่ได้สติ เขาเพียงหันไปพูดแค่รอบเดียว จูนจิ่วกลับจำขึ้นใจแล้ว ความจำช่างทรงพลังมากไปแล้ว
เมื่อท่องอักษรสุดท้ายจนจบ จูนจิ่วยิ้ม “เป็นอย่างไรบ้าง ข้าท่องถูกหรือไม่”
“ถูกต้องทั้งหมด แต่ว่าศิษย์น้องเจ้าเพียงท่องขึ้นใจเท่านั้น เจ้าเข้าใจความหมายหรือไม่ ต้องนำวิชาจิตกับวิชากำลังภายในมาประสานรวมกัน มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ
หนังสือยังไม่จบ ไม่อัปต่อแล้วเรอค่ะ...