บทที่ 363 ฆ่าจูนจิ่ว ล้างอาย
ไม่เคยพบเจอคนที่หลงตัวเองภูมิใจในตัวเองขนาดนี้มาก่อน
มู่จิ่งหยวนหัวเราะออกมา “พอแล้วกระมังฝู้หลินจ้าน มีบุรุษที่ไหนกันชมตัวเองว่าหน้าตาดี”
“เช่นนั้นก็คือหล่อ ข้าหล่อเหลาสง่างาม แต่พี่ชายข้านั้นเย็นยะเยือกเหมือนน้ำแข็งแกะสลัก โอ๊ะ จูนจิ่วเจ้าต้องจำได้แน่ๆ ”ฝู้หลินจ้านเปลี่ยนคำพูด หันไปยิ้มให้จูนจิ่วอย่างสดใส
หากไม่ใช่เพราะฝู้หลินจ้ายเคยช่วยพวกเขาเอาไว้ ชิงหยู่อยากจะชกหน้ายิ้มของเขาสักหมัด คนพวกนี้แต่ละคนทำไมต้องมาแหย่ศิษย์น้องของเขาด้วย นอกจากเจ้าอ้วนหลี่อี้หมิง คนอื่นเขาก็สู้ไม่ได้สักคน ผู้อาวุโสโม่ท่านรีบกลับมาเถอะ ข้าจะปกป้องลูกศิษย์ท่านไม่อยู่แล้ว
จูนจิ่วไม่เห็นความกังวลบนใบหน้าของชิงหยู่ นางยิ้มบางๆ “จำได้ ข้าติดหนี้บุญคุณพวกท่านไว้ครั้งหนึ่ง”
“ฮ่าๆๆ เรื่องนั้นไม่เป็นไร”ฝู้หลินจ้านหัวเราะอย่างสบายอารมณ์ แล้วเขาก็หันไปทักทายกับชิงหยู่ ฝู้หลินจ้านที่เย็นดุจน้ำแข็งก็เดินเข้ามาพยักหน้าเหมือนส่งสัญญาณทักทาย
ตั้งแต่ต้นจนจบ พวกของหงยิงเหมือนไร้ตัวตนไม่มีคนมอง
สีหน้ายิ่งอึมครึมไม่น่ามอง หงยิงยิ้มเย็นอย่างชั่วร้ายจดจำพวกเขาทุกคนไว้ในสมอง จูนจิ่ว มู่จิ่งหยวน พี่น้องฝู้หลินจ้านนางจะไม่ปล่อยไปสักคน
หลังจากพวกเขา ก็มีลูกศิษย์ของทั้งสามสำนักศึกษามากันเรื่อยๆ หนึ่งในนั้นก็คือหยุนหนีกับลูกศิษย์ของสำนักศึกษาไท่ชูที่จูนจิ่วรู้จักดี ส่วนสำนักศึกษาอื่นมีหลี่อี้หมิงกับฝู้หลินจ้านคอยแย่งกันแนะนำ จูนจิ่วก็ค่อยๆรู้จักทีละคน พวกเขาจึงปักหลักพักกันที่นี่ และยังมีคนคอยไปเคาะไปผลักเพื่อหาวิธีเปิดประตูเป็นระยะ
เห็นมรดกของอ๋องเซ่หยิ่งอยู่ตรงหน้า ไม่มีใครอยากถอดใจ ส่วนเรื่องงานล่าสัตว์ทิพย์ ตอนนี้ยังมีใครจำได้อีก
หลี่อี้หมิงค่อยๆเขยิบตัวเข้าไปใกล้จูนจิ่ว ปรากฏว่าเพิ่งจะเขยิบได้เพียงนิดเดียวก็ถูกชิงหยู่จ้องเขม็ง หลี่อี้หมิงเบ้ปากนั่งลงอย่างไม่พอใจ เขายืดคอยาวโน้มตัวมองไปยังจูนจิ่วพูดว่า “พี่สาว ท่านมีความคิดดีๆอะไรหรือไม่ อย่างเช่นจะเปิดประตูอย่างไร”
“ไม่มี”
“ออ ”พี่สาวช่างเย็นชาเหลือเกิน หลี่อี้หมิงน้อยใจอย่างน่าสงสาร
เขาโตจนอายุสิบแปดแล้ว ยังไม่เคยเห็นหญิงสาวที่งดงามขนาดนี้มาก่อน ไม่เพียงแต่สวยงาม ทั้งยังสุขุมทั้งดุทั้งดูดี ดีกว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักศึกษาที่คอยแหย่เขามาก เสียดายที่พี่สาวไม่สนใจเขา
เห็นปฏิกิริยาของหลี่อี้หมิงแล้ว ฝู้หลินจ้านก็รู้สึกสนุกหันไปขยิบตาให้กับฝู้หลินซวง เห็นฝู้หลินซวงไม่มองตนเอง ฝู้หลินจ้านก็มองไปยังจูนจิ่วเอ่ยขึ้นว่า “จูนจิ่ว เจ้าอยากได้มรดกของอ๋องเซ่หยิ่งหรือไม่ ”
จูนจิ่ว “ดูก่อนค่อยว่ากัน ”
เห็นปฏิกิริยาของจูนจิ่วที่แสนจะสงบนิ่ง ทำเอาทุกคนที่เห็นต่างก็รู้สึกประหลาดใจและชื่นชม ไม่ตระหนกเมื่อเผชิญความวุ่นวาย ดูผ่อนคลายสบายใจ แต่พวกเขาคงทำจิตใจให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้
แต่ก็มีคนที่มีความคิดอื่น คำดูถูกและถากถางส่งผ่านมา “ดูก่อนอะไรกัน มีศิษย์พี่หงยิงของข้าอยู่ทั้งคน นางไม่มีทางเอามรดกของอ๋องเซ่หยิ่งได้หรอก อย่าว่าแต่ดูเลย ข้าว่าแม้แต่ประตูนางก็เข้าไม่ได้ ”
หงยิงยิ้มเย็น มองจูนจิ่วที่ค่อยๆเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า พูดไม่ผิด มรดกของอ๋องเซ่หยิ่งเป็นของนาง จูนจิ่วอย่าแม้แต่จะคิด
เห็นท่าทีของหงยิงที่ยังไม่ทันเข้าประตู ก็มั่นอกมั่นใจนักว่ามรดกต้องเป็นของนาง ทุกคนต่างก็หัวเราะ คิดว่าพวกเขาตายกันหมดแล้วหรืออย่างไร
ฝู้หลินจ้านกอดอกโต้กลับไปว่า “พูดเหมือนกับว่าพวกเจ้ามีวิธีเปิดประตูอย่างไรอย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นก็เชิญหงยิงเจ้าลองไปเปิดดู ให้พวกเราได้ดูเสียหน่อย”
“ทำไมข้าต้องเปิดประตูปล่อยพวกเจ้าเข้าไปด้วย ให้พวกเจ้าไปแย่งมรดกของอ๋องเซ่หยิ่งกับข้าหรือ”หงยิงเชิดอกที่อวบอิ่มขึ้น เพื่อให้ลูกศิษย์ของเทียนซูกลัวนาง ส่วนอีกสองสำนักนั้นต่างรำคาญอยากขจัดนาง
ฝู้หลินจ้านยิ้ม แต่สายตากลับเย็นชาไร้ความรู้สึก ฝู้หลินซางไม่พูด แต่ท่าทีเห็นได้ชัดว่าอยู่ข้างจูนจิ่ว
หลี่อี้หมิง“ยังมีข้าอีกคน เจ้าผู้หญิงเลว อย่ารังแกพี่สาว”ท่านปู่เคยบอกไว้ หญิงที่สวยงามล้วนต้องรักเอ็นดู เหมือนที่ท่านปู่รักท่านย่า ท่านพ่อรักท่านแม่ หงยิงแม้จะงดงาม แต่นางคืองูพิษต้องอยู่ห่างให้ไกล จูนจิ่วไม่เหมือนกัน
เห็นศัตรูเก่าของตนต่างยืนอยู่ข้างจูนจิ่ว ดวงตาของหงยิงก็มีสีแดงเลือดปรากฏขึ้น นางใช้แรงดึงเส้กลับมา โกรธจนตัวสั่น แววตาชั่วร้ายมองพวกเขาเขม็ง “ดี ดีมาก ข้าจะจำพวกเจ้าไว้”
มู่จิ่งหยวนกับพี่น้องฝู้หลินจ้านต่างก็เป็นนักจิตใหญ่ แม้จะสู้กันหนึ่งต่อหนึ่งก็มีความยากลำบาก หงยิงคงไม่สู้แบบหมู่กับพวกเขา เสียแรงแล้วยังไม่มีผลดี นางทำได้เพียงเก็บมือ วางแผนที่ฆ่าจูนจิ่วครั้งต่อไปอย่างแค้นใจ นางไม่เชื่อว่าคนพวกนี้จะคอยปกป้องจูนจิ่วตลอดเวลา นางต้องหาโอกาสได้แน่
ฆ่าจูนจิ่ว ล้างอาย
ครั้งนี้ นางจะไม่ให้โอกาสจูนจิ่วเด็ดขาด ไปวางค่ายกลที่ชั่วร้ายและทรงพลัง
ไม่มีค่ายกล จูนจิ่วกับชิงหยู่รวมกัน นางสามารถฆ่าพวกเขาได้ในสองแส้เท่านั้น
ตะคอกหงยิงแล้ว มู่จิ่งหยวนก็มองไปยังจูนจิ่วที่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ นั่งอยู่หน้าประตูจ้องมองอย่างละเอียด แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเป็นระยะ มู่จิ่งหยวนสงสัย “ทำไมหรือ”
“ประตูจะเปิดแล้ว”
อะไรนะ ทุกคนต่างตกตะลึง ต่างจ้องมองไปยังจูนจิ่วอย่างพร้อมเพรียงกัน
จากนั้นก็มองไปยังท้องฟ้า ใต้เมฆดำมีพระจันทร์สีเลือดโผล่ออกมา จูนจิ่วสายตาเย็นชา “พระจันทร์สีเลือดคือกุญแจของประตู ”แสงจันทร์สีเลือดสาดส่องลงมา ทำให้อักษรยันต์ที่ประตูระยิบระยับเปล่งแสงออกมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ
หนังสือยังไม่จบ ไม่อัปต่อแล้วเรอค่ะ...