เจ้าสำนักศึกษาไท่ชูคิดว่าตัวเองผ่านประสบการณ์ชีวิตมาหลายสิบปี เห็นคนมาไม่น้อย จูนจิ่ว ไม่มีใครเหมือนนางเลย ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์ หรือว่าสมองที่ฉลาดเป็นกรด แม้แต่เจ้าสำนักศึกษาไท่ชูยังต้องชื่นชม
แต่ไม่ช้าก็คิดถึงเรื่องยุ่งยากในตัวจูนจิ่ว เจ้าสำนักศึกษาไท่ชูถอนหายใจ เขาพูดว่า “จูนจิ่ว ข้ามีเรื่องอื่นจะถามเจ้าจริงๆนั่นแหละ นั่งลงเถอะ”
ทุกคนต่างนั่งลง เจ้าสำนักศึกษาไท่ชูพูดต่อว่า “คิดว่าเจ้าคงเดาออกแล้ว ที่ข้าจะถาม ก็คือเรื่องสำนักศึกษาเทียนซูกับเทียงฉิว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เทียงฉิวลงมือกับเจ้า ”
เดิมที่คิดว่าคงเป็นความละโมบของผู้อาวุโสใหญ่ แต่หลังจากสอบสวนแล้ว จึงได้รู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกันลึกซึ้งมาก ไม่เหมือนที่พวกเขาเห็นแค่ภายนอกเท่านั้น
ผู้อาวุโสใหญ่ถูกสังหาร ก็สมควรแล้ว แม้เขาจะยังมีชีวิตอยู่ เจ้าสำนักศึกษาไท่ชูก็คงต้องไล่ล่าเขาเพื่อล้างมลทินให้สำนัก แต่คิดไม่ถึง ว่าเบื้องหลังของผู้อาวุโสใหญ่ไท่ชูจะเป็นเทียงฉิว อีกทั้งยังใช้อำนาจทีมีในมือ ลงมือกับพวกจูนจิ่ว
“ในการแข่งขันทั้งห้าสำนักคงเป็นครั้งแรกที่ลงมือ เทียงฉิวมาเพราะต้องการของล้ำค่าในมือเจ้า ”เจ้าสำนักศึกษาไท่ชูพูด
พอพูดออกไป บรรยากาศในห้องก็เปลี่ยนไป
มู่จิ่งหยวนมองจูนจิ่วอย่างเป็นห่วง ในสายตาของเขากับเจ้าสำนักศึกษาไท่ชูไม่มีเรื่องผลประโยชน์ และไม่มีความโลภแม้แต่น้อย ชิงหยู่เห็นสีหน้าของพวกเขา ก็ยังคงขมวดแน่นไม่ได้ผ่อนคลาย มองคนจะมองแค่ภายนอกไม่ได้ ปกป้องศิษย์น้องนั้นต้องระวังแล้วระวังอีก
จูนจิ่วพยักหน้าเบาๆ นางเอ่ยด้วยส้ำเสียงเย็นสงบ“พูดให้ถูกคือ การแข่งขันของทั้งห้าสำนักไม่ใช่ครั้งแรก สิบปีมานี้เทียงฉิวตามหาข้าอยู่ตลอด เพื่อหวังจะได้ของล้ำค่าในมือข้า ก่อนจะมีการแข่งขันของทั้งห้าสำนัก ข้าไม่เคยรู้จักตัวตนของพวกเขามาก่อน ”
จูนจิ่วพูดถึงความเป็นมาคร่าวๆให้พวกเขาฟัง ได้ฟังแล้วเจ้าสำนักศึกษาไท่ชูกับมู่จิ่งหยวนต่างมีสีหน้าซับซ้อนและชื่นชม อายุน้อยๆก็ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ยังสามารถต่อกรกับเทียงฉิวได้
ร้ายกาจ สองคำ จูนจิ่วเหมาะสมคำนี้ที่สุดแล้ว
“ศิษย์น้องจูน ข้ากับท่านปู่ไม่ถามเจ้าเรื่องของล้ำค่านั่น แต่เจ้าต้องรู้ว่า เทียงฉิวหากไม่ได้ดังหวังจะไม่รามือ เจ้าตบหน้าพวกเขาที่สำนักศึกษาจื่อเซียว ยิ่งเป็นการกระตุ้นให้พวกเขาเดือดดาลและอำมหิตมากขึ้น”
มู่จิ่งหยวนพูด “ตอนนี้เจ้าอยู่ที่สำนักศึกษาไท่ชูนั้นปลอดภัย แต่เกรงว่าความปลอดภัยนี้จะมีเวลาจำกัด”
พวกเขารู้นิสัยใจคอของเจ้าสำนักศึกษาจื่อเซียวเป็นอย่างดี ยังมีความอหังการของเทียงฉิว หลายปีมานี้สิ่งที่พวกเขาอยากได้ ก็ทำได้สำเร็จตามเป้าหมายอย่างไม่สนใจวิธีการ
พวกจูนจิ่วเป็นลูกศิษย์ของสำนักศึกษาไท่ชู พวกเขาต้องปกป้องนาง แต่ต้องพูดให้ชัดเจน พวกเขาไม่สามารถปกป้องจูนจิ่วได้ตลอดไป ไม่ช้า ต้องเผชิญหน้ากับสำนักศึกษาเทียนซู
“จูนจิ่ว เจ้าเคยคิดจะกลับไปที่สองสำนักสิบแคว้นหรือไม่”จู่ๆเจ้าสำนักศึกษาไท่ชูก็ถามนางขึ้นมา สายตาเลือดเย็น จูนจิ่วยิ้มมองไปทางเจ้าสำนักศึกษาไท่ชูและมู่จิ่งหยวน นางเอ่ยขึ้นว่า “ขอบคุณความห่วงใยของเจ้าสำนักกับศิษย์พี่มู่มาก แต่ข้าจูนจิ่วไม่เคยกลัวใคร เทียงฉิวแล้วอย่างไร ไม่สู้พวกท่านทำใจให้สบาย คอยดูต่อไปว่าข้ากับเทียงฉิว ท้ายที่สุดแล้วใครจะตายในมือใคร”
ซู๊ด
สูดลมหายใจเข้า มู่จิ่งหยวนตกใจ “ศิษย์น้องจูนเจ้านี่จริงๆเลย โปรดอภัยในคำพูดที่ไม่น่าฟังของข้า สำนักศึกษาเทียนซูเป็นสำนักที่แกร่งที่สุดในสำนักศึกษาทั้งสาม แล้วก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตำหนักไท่หวงมากกว่าพวกเรา เจ้าจะต่อกรกับเขา เท่ากับรนหาที่ตาย”
“ศิษย์พี่มู่ ตอนที่ศิษย์น้องข้าบอกว่าจะทำลายสำนักตันจงนั้น ข้าก็คิดเช่นนี้ แต่สุดท้ายข้าก็เชื่อนาง และศิษย์น้องก็ทำสำเร็จ”ชิงหยู่เอ่ยขึ้น
“แต่นี่ไม่เหมือนกัน”
สำนักตันจง เจี้ยนจง ชางไห่จะเทียบกับสำนักศึกษาเทียนซูได้อย่างไร พวกเขาทั้งหมดรวมกัน ก็ยังไม่เท่ากับนิ้วมือเดียวของสำนักศึกษาเทียนซู ที่นั่นมีนักจิตใหญ่อยู่หลายคน เบื้องหลังยังมีตำหนักไท่หวง
มู่จิ่งหยวนยังอยากจะเตือนพวกเขา แต่ไม่รู้ว่าควรเริ่มจากตรงไหน เขาหันไปมองเจ้าสำนักศึกษาไท่ชูเพื่อขอความช่วยเหลือ แค่เจ้าสำนักก็ส่ายหัวให้กับเขา
ด้วยสายตาของเขา เห็นท่าทีของจูนจิ่วแล้ว บางทีชิงหยู่ก็กังวล แต่เขาไม่มีเงื่อนไขที่จะไม่ฟังจูนจิ่ว พวกเขาเตือนไม่ก็ไม่เป็นผล
ใบเฟิงทั้งภูเขาเปลี่ยเป็นสีแดง เมื่อลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่าน ก็มีใบเฟิงร่วงหล่น หนึ่งในใบไม้ที่ร่วงลงมาหล่นลงบนหัวของจูนจิ่ว ตอนนี้เองมีมือหนึ่งยื่นมารับใบเฟิงไว้ จูนจิ่วลืมตาขึ้นและยิ้ม
“อู๋เยว่”
“เหมียว”เสี่ยวอู่ก็ลืมตาขึ้นบนอ้อมอกของจูนจิ่ว ยืดแขนขาบิดขี้เกียจ จูนจิ่วลูบไปที่ก้นกลมๆของมัน โอ สัมผัสช่างดีจริงๆ
โม่อู๋เยว่ “ข้าควรยินดีกับเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ที่บรรลุอีกขั้นแล้วหรือไม่ ”
“คำนี้ท่านพูดกี่ครั้งแล้ว ไม่ต้องพูดอีกแล้ว ”บรรลุหนึ่งครั้งยินดีหนึ่งครั้งนั้นก็ปกติ แต่พูดบ่อยๆก็ไม่จำเป็น ความคิดของจูนจิ่วหากให้คนอื่นรู้เข้า เกรงว่าคงถูกรุมด่า แน่นอนว่าผลของการรุมด่า ก็คือถูกนางสั่งสอนทั้งหมด
ตั้งแต่เก็บตัวจนถึงบัดนี้ เป็นเวลาสามเดือน จูนจิ่วจากนักจิตชั้นห้า ได้บรรลุมาเรื่อยๆจนถึงชั้นแปด เฉลี่ยบรรลุเดือนละหนึ่งขั้น มีคู่เปรียบเทียงจึงจะรู้สึกเจ็บปวด ดูอย่างพวกมู่จิ่งหยวน ฝู้หลินจ้านเขาต่างก็เป็นเหมือนโอรสสวรรค์ เร็วที่สุดก็บรรลุปีละหนึ่งขั้น แค่นี้ก็รู้แล้วว่าจูนจิ่วนั้นดึงดูดความเกลียดชังมากแค่ไหน
แม้แต่ชิงหยู่ ก็ถูกทารุณจนต้องกุมหน้าอกนั่งลงที่มุมกำแพง พลางนั่งลง เก็บอาการดีใจในความหายนะของผู้อื่นเมื่อพวกมู่จิ่งหยวนเห็นตอนจูนจิ่วออกจากการเก็บตัว สีหน้าพวกนั้นคงพอจะเยียวยาจิตใจที่แตกสลายของเขาได้
เสี่ยวอู่กระโดดลงมา จูนจิ่วก็ยืนขึ้นบิดเอว พอดีกับที่โม่อู๋เยว่ยื่นมือไปจับเอวนางเอาไว้ “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ผอมลง”
จูนจิ่วหน้าดำคล้ำ “รู้จักอะไรคือเอวอรชรอ้อนแอ้นหรือไม่ เรือนร่างข้านั้นได้มาตรฐานแล้ว ”
โม่อู๋เยว่ชะงักเบาๆ เขามองไปที่มือของตัวเอง แค่มือเดียวก็สามารถกุมเอวทั้งหมดไว้ได้แล้ว มุมปากยิ้มชั่วร้าย เขาพูดว่า “ใช่ดีมาก”สัมผัสดีมาก
“เหมียว”เสี่ยวอู่สีหน้าไร้อารมณ์ ครุ่นคิดถึงดวงใจดวงน้อยๆของแมวโสด เจ้านายควบคุมโม่อู๋เยว่ด้วย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ
หนังสือยังไม่จบ ไม่อัปต่อแล้วเรอค่ะ...