“น่าจะพอได้แล้วมั้ง ลู่อันหราน”
ลู่จิ้นยวนกล่าวเตือนอย่างเย็นเยียบ ลู่อันหรานทำคอย่นหดเข้าไป จากนั้นก็หยุดคิดไปชั่วครู่ สุดท้ายแล้วจึงไม่ได้เร่งเร้าอะไรต่อ
ไม่อย่างนั้นแล้ว คุณพ่อคงจะระเบิดแน่
ทั้งสามคนหาที่นั่งที่ว่างอยู่และนั่งลงไป จากนั้นก็กินอาหารที่ซื้อกันจนหมด
ผ่านไปสักพัก เย่หวานจิ้งก็โทรศัพท์เข้ามาหา บอกว่าคิดถึงลู่อันหรานให้เขากลับไปหาหน่อย
“พวกคุณกลับไปกันเถอะ เดี๋ยวฉันจะไปโรงพยาบาลเยี่ยมแม่พอดี”
แน่นอนว่าเวินหนิงไม่มีทางที่จะไปอยู่ต่อหน้าเย่หวานจิ้งเพื่อให้ได้รับความทรมานชอกช้ำหรอก จึงตอบไปอย่างเรียบๆ
ลู่จิ้นยวนเองก็พูดอะไรออกมาไม่ได้ และลู่อันหรานเองก็อยากให้แม่เป็นคนพาเขาไปด้วย แต่แม้ว่าเขาจะยังเล็ก ก็ยังดูออกถึงบรรยากาศระหว่างแม่กับคุณย่าที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก
ดังนั้น จึงโบกมือลาอย่างเป็นเด็กดี “คุณแม่บ๊ายบาย รอผมกลับมาหานะ”
เวินหนิงเองก็ยกมือขึ้นโบกกลับ มองดูสองพ่อลูกจากไป แล้วจึงค่อยเรียกรถไปโรงพยาบาล
ทันทีที่ขึ้นมาบนรถแท็กซี่ รอยยิ้มจางๆ ที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเวินหนิงก็จางหายไปแล้ว
ทันทีที่นึกถึง คนที่ตามหาอย่างยากเย็นแสนเข็ญ กลับไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของไป๋หลินยวี่แล้ว เธอก็รู้สึกทรมานขึ้นมา
และไม่รู้เลยว่าเด็กที่ถูกสลับเปลี่ยนตัวกับเธอในตอนแรกนั้น สุดท้ายแล้วเป็นอย่างไรบ้าง......
แม่แท้ๆ ของเธอ ทำไมถึงทำแบบนี้กันนะ
ทั้งหมดนี้ ราวกับได้เข้ามาพัวพันอยู่หมอกอันหนาทึบที่หนักอึ้ง ทำให้เธอมองอะไรไม่กระจ่างและไร้ซึ่งเป้าหมาย
ขณะที่กำลังคิดเช่นนั้น เวินหนิงก็มาถึงโรงพยาบาล
เธอมุ่งไปยังห้องพักผู้ป่วย VIP ของไป๋หลินยวี่อย่างไม่จำเป็นต้องคิดอะไรเลย
ตอนนี้แม้ว่าสภาพร่างกายของไป๋หลินยวี่จะอ่อนแอ แต่เพราะว่าหายาชนิดพิเศษเจอ แม้จะไม่ได้เป็นการรักษาที่ต้นตอของโรคร้าย แต่ก็ถือได้ว่าดีกว่าในตอนแรกมากเลยทีเดียว
บางทีจึงสามารถลงจากเตียงมานั่งพักได้
เวินหนิงเปิดประตูออก ไป๋หลินยวี่นั้นอยู่ภายใต้การดูแลของพยาบาลและกำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง
เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจึงหันหน้าไปดู พอเห็นเวินหนิงก็ยิ้มออกมาในทันที “หนิงหนิง ลูกมาได้อย่างไรกันเนี่ย
แม่ไม่ได้บอกแล้วเหรอว่าไม่ต้องมาโรงพยาบาลบ่อยๆ นักก็ได้ การจัดการรธุระของตัวเองให้เรียบร้อยเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดใช่ไหม”
เวินหนิงได้ยินเช่นนั้น ภายในใจก็รู้สึกขมขื่นจนจุกอก
ตอนนี้ไป๋หลินยวี่ไม่รู้ถึงเรื่องราวความจริงนั้น แต่ว่า ความห่วงใยของเธอนั้นเป็นความจริงอย่างแน่นอน
ไม่ว่าแรกเริ่มเดิมทีเรื่องราวมันจะเป็นมาอย่างไร เธอก็ไม่นึกเสียใจเลยที่ได้กตัญญูต่อไป๋หลินยวี่
แม้ว่าเธอจะไม่ใช่คนที่คลอดตนเองออกมา แต่ด้วยความเมตตาในการอบรมเลี้ยงดูนี้ เธอจะต้องใช้ทั้งชีวิตในการทดแทน
“หนูยุ่งขนาดนั้นที่ไหนกันล่ะ ไม่ได้เป็นคุณนายที่มีงานนับหมื่นนับพันต้องให้เข้าร่วมสักหน่อย มาเยี่ยมแม่ไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำเหรอ”
เวินหนิงเก็บซ่อนอารมณ์ของตัวเองไว้ข้างใน จากนั้นก็เดินเข้าไปหาแล้วนวดบีบไหล่ให้กับไป๋หลินยวี่
“ตอนนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง
ยังรู้สึกแย่เอามากๆ อยู่ไหม”
“ไม่เป็นอะไร ยาคราวนี้ได้ผลดีมาก ตอนที่แม่ตื่นขึ้นมาดีกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย ไม่ได้รู้สึกอ่อนแรงคิดแต่อยากจะนอนแล้ว ไม่แน่ว่า อีกแปปเดียวแม่ก็อาจจะหายได้เลยนะ”
“อื้ม ต้องหายได้แน่นอน”
เวินหนิงยิ้มตอบกลับไป แต่ภายในใจกลับไม่ได้รู้สึกยินดีตามเลย
ยาชนิดนี้ให้ผลลัพท์ดีก็จริงอยู่ แต่กลับไม่ได้มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคเลย เพียงแค่ช่วยทุเลาอาการป่วยให้เบาลง อีกทั้ง คุณหมอยังเคยพูดอีกว่าถ้าหากใช้ยาตัวนี้ติดต่อกันเป็นเวลานานล่ะก็ อาจจะดื้อยาขึ้นมาได้ พอถึงตอนนั้น เรื่องก็จะยุ่งขึ้นมาแล้ว
ดังนั้น ในช่วงที่ก่อนจะมีอาการดื้อยานั้นเธอจำเป็นที่จะต้องตามหาผู้บริจาคไขกระดูกให้ได้โดยเร็วที่สุด
ทั้งสองคนพูดคุยกันไปพลาง และก็นิ่งเงียบกันไปพลาง แม้ว่าจะดูอึมครึมอยู่เล็กน้อย แต่สองแม่ลูกนั้นกำลังมีความสุขกับช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้มาก
“อื้ม จริงสิ เหอจื่ออันกลับมาแล้วนะ”
เป็นฉับพลันที่เวินหนิงนึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วจึงเอ่ยปากพูดออกไป
ไป๋หลินยวี่ยังคงจำเหอจื่ออันได้เป็นอย่างดีมาโดยตลอด ดังนั้น เวินหนิงจึงคิดว่าการที่จะให้พวกเขามาพบหน้ากันสักครั้งก็อาจจะเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลย
“หืม?
จริงเหรอ? ”
ลู่อันหรานเองก็เดินเข้าไปหาอย่างว่าง่าย หลังจากนั้น เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองได้สั่งชานมไข่มุกกลับบ้านเพื่อที่จะได้เอากลับมาดื่ม จึงไปหยิบเอามาให้เย่หวานจิ้งเป็นของฝาก
เด็กตัวเล็กๆ ชอบของหวานพวกนี้มากเป็นที่สุด และลู่อันหรานก็รู้สึกว่ามันอร่อย จึงอยากจะให้คนในครอบครัวได้กินเป็นธรรมดา
หลังจากที่เย่หวานจิ้งเห็นเช่นนั้น สีหน้าก็ดูแย่ขึ้นมา
ชานมไข่มุก?
นั่นมันคืออะไรกัน?
ไม่ใช่ว่ามีแต่คนธรรมดาสามัญถึงจะกินของพวกนี้หรอกหรือ
ลู่อันหรานไปเรียนรู้คุ้นชินกับการกินอาหารที่ไร้รสนิยมแบบนี้มาตอนไหนกัน
“อันหราน ทิ้งของที่อยู่ในมือไปเถอะ คุณย่าให้คนไปชงชาแดงชั้นเลิศที่สุดให้หลานดีกว่านะ ดีไหม”
เย่หวานจิ้งฝืนกลั้นอดทนแล้วเอ่ยชักชวนลู่อันหราน ในใจก็พยายามคิดหาวิธีว่าจะทำอย่างไรให้ลู่อันหรานอยู่ที่บ้านเพื่อให้ตัวเธอได้อบรมสั่งสอน
“ไม่เอา อันนี้คุณแม่ซื้อให้ผม ผมว่ามันอร่อยมากเป็นพิเศษ ถ้าคุณย่าไม่กินงั้นเดี๋ยวผมกินเอง”
นิสัยเด็กๆ ของลู่อันหรานก็ปรากฏขึ้นมาแล้ว ชาแดงอะไรนั่น ขมเสียขนาดนั้น เขาไม่ชอบเลยสักนิด
เมื่อได้ยินลู่อันหรานพูดว่าคุณแม่ของเขาเป็นคนซื้อให้ สีหน้าของเย่หวานจิ้ง ก็ยิ่งแย่ขึ้นไปอีก
ยัยเวินหนิงคนนั้น แม้จะไปเปลี่ยนหน้า แต่ก็ยังเป็นนังแพศยาเหมือนเมื่อก่อนไม่มีเปลี่ยน........
ตอนนี้คิดที่จะเปลี่ยนลู่อันหรานให้เป็นเหมือนกับตนเอง หวังจะปกป้องตำแหน่งที่ยืนของตนเองอย่างงั้นเหรอ?
“อันหราน ของพรรค์นั้นหลานจะกินซี้ซั้วไม่ได้นะ สกปรกมาก เข้าใจไหม
เร็วๆ สิ ทิ้งมันไปซะ! ”
เย่หวานจิ้งยื่นมือออกมาแล้วแย่งของที่อยู่ในมือของลู่อันหราน
“แม่ ขอแค่ครั้งนี้นะ อย่าเข้มงวดมากขนาดนี้ได้ไหม”
ลู่จิ้นยวนมองดูท่าทางที่รู้สึกผิดของลู่อันหราน ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากพูดออกมา
“ครั้งสองครั้งอะไรกันล่ะ ต้องโทษยัยผู้หญิงคนนั้น คอยเอาแต่ไปปลูกฝังเรื่องแบบนั้น จะอัปรีย์เกินไปแล้วนะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บ่วงแค้นแสนรัก