“เป็นผู้ชายคนหนึ่ง หน้าซีดมาก ดูเหมือนป่วยหนัก” องครักษ์ตอบ
หยุนถิงขมวดคิ้ว นางเพิ่งมาที่นี่ไม่ถึงสองวันก็มีคนได้ยินชื่อเสียและมาหานาง ไม่ใช่ว่ามีคนคอยเฝ้าตามนางก็คือมีคนคอยเฝ้าตามจวนเจ้าเมืองโดยตลอด
“ให้เขาไปเลย ซื่อจื่อเฟยไม่มีเวลารักษาเขา” จวินหย่วนโยวส่งเสียงหึอย่างเย็นชา
“ขอรับ!” องครักษ์รีบไปแจ้งตามคำสั่ง
หยุนถิงเห็นแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร สิ่งที่นางคิดในใจนั้นจวินหย่วนโยวก็คงได้นึกถึงแล้วเหมือนกัน ถึงปฏิเสธอย่างเย็นชา
“ท่านพ่อ ทำไมไม่รักษาโรคให้คนนั้นนะ” จวินเสี่ยวเทียนถาม
“เพราะคนนั้นไม่ได้ป่วยจริง แต่กลับจงใจมาสอดแนมข่าวหรือไม่ก็คือคิดทำอะไรไม่ดีต่อแม่ของพวกเจ้า เราเพิ่งมาที่นี่ไม่กี่วันก็มีคนมาขอการรักษา ข่าวมันแพร่เร็วเกินไปไหม” จวินหย่วนโยวอธิบาย
“เข้าใจแล้ว” จวินเสี่ยวเทียนพยักหน้าอย่างแรง
ณ นอกจวนเจ้าเมือง
เมื่อหรันจู๋ซีนั่งอยู่บนรถม้านั้นได้ยินคำตอบขององครักษ์ก็ไม่ได้โกรธ แต่กลับยกรอยยิ้มที่แฝงความหมายรู้สึกสนุก
ถ้าหยุนถิงจะยินยอมอย่างง่ายๆ มันก็ไม่สนุกแล้ว
“ไปกันเถอะ” หรันจู๋ซีพูดอย่างเนิบๆ
คนลากรถรีบขับรถม้าไปจากที่นี่ หลงยีที่เพิ่งกลับมารายงานเสร็จเห็นเข้าก็รีบแอบไล่ตามไป
รถม้าเคลื่อนตรงไปที่เมือง มีเสียงไอของหรันจู๋ซีจากภายในรถ เห็นได้ชัดว่าอาการไอของเขาค่อนข้างรุนแรงและในที่สุดรถม้าก็หยุดที่โรงเตี๊ยมที่ใกล้สุด
คนลากรถประคองหรันจู๋ซีเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม หลงยีที่ซ่อนอยู่ในที่ลับเห็นว่าโรงเตี๊ยมนี้เป็นร้านของจวนซื่อจื่อพอดี เรื่องมันบังเอิญเกินไปจึงทำให้หลงยีเกิดความสงสัยโดยอดไม่ได้
ช่วงเย็นวันนั้น ผู้จัดการโรงเตี๊ยมนั้นวิ่งไปยังจวนเจ้าเมืองด้วยความป่วนปั่น “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย แย่แล้ว มีลูกค้าคนหนึ่งอาเจียนเป็นเลือดและหมดสติในโรงเตี๊ยม ผู้คนพากันล้อมชมอยู่ ข้าน้อยกลัวเรื่องมันจะเข้าหนักอีก และไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรดี จึงมาขอพบซื่อจื่อ”
หยุนถิงได้ยินดังนั้น และหวนรำลึกถึงสิ่งที่หลงยีเล่าให้ฟัง นางก็เดาว่าต้องเป็นคนที่มาขอการรักษาในตอนกลางวันนั้นอย่างแน่นอน “ถ้าเขาไม่ยอมแพ้ ข้าไปพบเขาก็แล้วกัน”
“ข้าจะไปกับเจ้า” จวินหย่วนโยวรีบเอ่ยขึ้น
“ได้”
โม่เหลิ่งเหยียนช่วยดูแลเด็กๆทั้งสอง หยุนถิงและจวินหย่วนโยวก็ออกไปแล้ว
ณ โรงเตี๊ยม
เมื่อหยุนถิงและจวินหย่วนโยวมาถึงโรงเตี๊ยม ก็เห็นว่าห้องโถงเต็มไปด้วยผู้คน “ทุกคนถอยไปหน่อย ซื่อจื่อเฟยมาแล้ว!” ผู้จัดการโรงเตี๊ยมรีบเอ่ยขึ้น
ทุกคนจึงหลีกทางให้ทันที หยุนถิงเดินเข้าไปก็เห็นว่ามีชายในชุดสีฟ้านอนอยู่บนพื้น มุมปากของเขามีรอยเลือดเล็กน้อย ใบหน้าซีดมาก และเม้มริมฝีปากเบาบางนางย่างแน่น หน้านิ่วคิ้วขมวด
“ผู้จัดการ ท่านกลับมาได้สักที คุณชายหมดสติตั้งนานแล้ว ข้าน้อยก็ไม่กล้าขยับเขา กลัวจะทำให้อาการของเขาแย่ลงอีก ท่านรีบมาดูให้หน่อย”คนรับใช้ที่อยู่ด้านข้างพูดอย่างกังวลใจ
“เจ้าไว้ใจเถอะ ทักษะทางการแพทย์ของซื่อจื่อเฟยไม่มีใครเทียบได้” ผู้จัดการโรงเตี๊ยมเอ่ย
หยุนถิงรีบย่อกายลงเพื่อตรวจชีพจรให้เขา จากนั้นสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปทันที “เขาเป็นโรคปอด เหมือนไม่ใช่โรคที่เกิดขึ้นชั่วคราวในระยะหลัง ดูเหมือนว่าได้เกิดจากการถูกพิษมากกว่า”
บรรดาผู้คนต่างตกตะลึง และมองไปที่ผู้จัดการโรงเตี๊ยมพร้อมกันโดยไม่รู้ตัว ทำให้ผู้จัดการโรงเตี๊ยมรู้สึกหวาดกลัวทันที “พวกเจ้าอย่ามองข้าเลย อาหารของโรงเตี๊ยมข้าล้วนทำจากวัตถุดิบอาหารสดใหม่ ไม่อาจมีพิษได้หรอก”
“เขาไม่ได้ถูกพิษในวันนี้ อย่างน้อยก็มีเวลาสิบปีแล้ว ตอนนี้ร่างกายของเขาถูกทำลาย อ่อนแอมากจึงทำให้สารพิษระเบิดอีก” หยุนถิงอธิบาย
ทุกคนจึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ผู้จัดการโรงเตี๊ยมก็รู้สึกโล่งใจอย่างลับๆ “ซื่อจื่อเฟย ยังมีวิธีทำให้เขาฟื้นตัวหรือไม่”
“ข้าก็ไม่เคยเห็นพิษนี้มาก่อน ต้องตรวจสอบอีกที” หยุนถิงหยิบเข็มเงินที่เก็บไว้ในเส้นผมของนางและเจาะไปยังจุดฝังเข็มบนร่างกายของหรันจู๋ซีในขณะที่พูด
ผ่านไปเวลานาน หรันจู๋ซีที่หมดสติและนอนบนพื้นก็ได้สอบสนองจริงๆแล้ว
มือของหยุนถิงที่ถือจี้หยกนั้นสั่นเทาโดยไม่รู้ตัว “นายท่าน พาเขากลับไปที่จวนเจ้าเมืองเถอะ ข้ามีเรื่องจะต้องถามเขา”
“ได้” จวินหย่วนโยวรีบรับคำ แล้วก็สั่งคนมายกหรันจู๋ซีขึ้นไปในรถม้าและไปจากที่นี่แล้ว
เรื่องมันเกี่ยวโยงถึงตระกูลแม่ของถิงเอ๋อร์ จวินหย่วนโยวย่อมจะไม่เพิกเฉยโดยธรรมชาติ
คนรับใช้มองรถม้าที่ห่างจากไป มุมปากของเขาก็โค้งขึ้น คุณชายเดาถูกอย่างที่คิดไว้ เขารีบวิ่งเหยาะๆตามไปทันที
ณ จวนเจ้าเมือง
หยุนถิงรีบสั่งคนยกหรันจู๋ซีเข้าไป ป้อนยาถอนพิษให้เขาหนึ่งเม็ดและฝังเข็มให้เขาด้วย
โม่เหลิ่งเหยียนเห็นพวกเขาได้พาชายคนหนึ่งที่หมดสติกลับมาด้วย จึงมองไปที่จวินหย่วนโยวโดยไม่รู้ตัว
จวินหย่วนโยวเดินเข้ามา และพูดด้วยเสียงเบาจนมีเพียงสองคนเท่านั้นที่ได้ยินว่า “ให้คนมาเฝ้าตามชายคนนี้เลย ข้าสงสัยว่าเขามีจุดประสงค์บางอย่าง จึงจงใจทำเป็นหมดสติด้วยการถูกพิษเพื่อเข้าใกล้ถิงเอ๋อร์”
“ได้!” โม่เหลิ่งเหยียนรีบเพิ่มศิษย์เฝ้ายามในจวนเจ้าเมืองและเรือนของหยุนถิงอีกร้อยกว่าคนทันที
จวินเสี่ยวเหยียนบังเอิญได้ยินการสนทนาระหว่างพวกเขา ใบหน้าของนางบึ้งตึง และเดินเข้าไปในห้องโดยไม่ได้ลังเล
เห็นท่านแม่กำลังรักษาโรคให้ลุงแปลกหน้าคนนี้อยู่ จวินเสี่ยวเหยียนเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง “ท่านแม่รู้จักเขาไหม”
“ไม่รู้จักเขา แต่แม่ต้องรู้อะไรบางอย่างจากเขา” หยุนถิงตอบตามความจริง
“งั้นท่านแม่ไปทำงานต่อสิ ข้าก็แค่เฝ้าดูเฉยๆ จะไม่สร้างปัญหาให้กับท่านแม่แน่” จวินเสี่ยวเหยียนพูดและใช้มือไปแตะขาของหรันจู๋ซีโดยแกล้งทำเป็นไม่ได้ตั้งใจ
หรันจู๋ซีที่กำลังแสร้งทำเป็นหมดสติรู้สึกเพียงว่ามีอะไรบางอย่างกัดขาของตนและเจ็บจะตาย ขาจึงสั่นเทาทีหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
“ท่านแม่ เขาขยับขาแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมนางข้ามพิภพ
อัพต่อด้วยจ้า...
รอตอนต่อจ้า...
แต่ละบทที่่อ่านแล้ว ควรมีสีหรือเครื่องหมายที่แตกต่างกัน ผู้อ่านจะได้ทราบว่าเรืื่องนี้อ่านไปถึงบทไหนแล้ว...
รำคานโฆษณาที่เลื่อนเข้ามา เข้าใจได้ว่าต้องหารายได้ แต่ควรนำไปวางไว้ด้านล่างสุด ไม่ด้านซ้ายก็ด้านขวา จะได้ไม่เสียอารมณ์ในการอ่าน ปกติโฆษณาที่อยู่ระหว่างหน้าก็ใหญ่และมากอยู่แล้ว...
ขอร้องทงทีมงานช่วยอัพเดทจนจบด้วยนะคะ😭😭😭😭😭...
เรื่องนี้ทางทีมงานจะอัพเดทต่อมั้ยค่ะ😭...
รอตอนใหม่อยู่นะคะ😭🙏🏻...
เมื่อไหร่จะอัพเพิ่มค่ะหายไปเป็นเดือนแล้วนะ...
รอค่ะ ตามเรื่องนี้มานานมาก อัพตอนต่อจาก 1070 ให้หน่อยค่ะ...
สนุกมากค่ะ รออ่านตอนต่อไปอยู่นะคะรบกวนลงต่อให้จบด้วยค่ะ กำลังสนุก...