ใครก็คิดไม่ถึงว่า ถังเสี่ยวไป๋จะพูดออกมาแบบนี้
ถังเสี่ยวไป๋......
เป็นคนโง่จริง ๆ? หรือว่าแกล้งโง่กันแน่?
ทว่า เรื่องนี้ก็ไม่สำคัญอะไรแล้ว ที่สำคัญก็คือ เย่อู๋เทียนกลับที่จะให้ถังเสี่ยวไป๋เรียกขานเขาว่าคุณปู่
เย่อู๋เทียนเองก็ถูกถังเสี่ยวไป๋พูดล้อเล่นจนตลกไปด้วยเหมือนกัน และพูดขึ้นว่า: “ฉันไม่ได้กำลังทำให้นายอับอาย”
เมื่อพูดจบ
ถังเสี่ยวไป๋ก็เรียกเย่อู๋เทียนว่า: “คุณปู่”
“......”
“......”
“......”
ทุกคนเงียบกริบกันไปทั้งหมด
ถังเสี่ยวไป๋ ที่เมื่อครู่มีท่าทางที่หยิ่งผยอง ตอนนี้กลับมาเรียกขานเย่อู๋เทียนว่าคุณปู่อย่างง่ายดายขนาดนี้?
หัวสมองของเขามีพัฒนาการที่ผิดปกติไปแล้วอย่างนั้นเหรอ?
เขามองไม่ออกหรือว่าเย่อู๋เทียนกำลังจงใจทำให้เขาอับอายอยู่?
เมื่อครู่เขานั้นต้องการจะลงมือฆ่าเย่อู๋เทียนเลยเชียวนะ!
เย่อู๋เทียนทำไมถึงจะรับเขาเข้าเป็นลูกศิษย์ได้ง่ายดายขนาดนี้เลยเหรอ?
เย่อู๋เทียนไม่ได้คืนคำ พยักหน้าเล็กน้อย แล้วก็หันหน้ามองไปที่เฉียนเป่ยเฉิน และพูดว่า: “เฉินเอ๋อร์ มานี่หน่อย”
เฉียนเป่ยเฉินเดินเข้ามาหา
ด้วยความประหม่าเล็กน้อย
เพราะเขารู้ว่า อาจารย์ของเขาเย่อู๋เทียนนั้นไม่เคยพูดล้อเล่นอะไรมาก่อน
หลังจากที่เฉียนเป่ยเฉินเดินเข้ามาแล้ว สายตาที่มองไปยังถังเสี่ยวไป๋นั้น ก็ค่อนข้างซับซ้อน และในแววตากลับมีความเคารพเลื่อมใสขึ้นมาบ้างด้วย
หมดหนทาง
เพราะคนธรรมดาที่นั่งกันอยู่ในที่แห่งนี้ บางทีอาจจะคิดว่าถังเสี่ยวไป๋นั้นเก่งกาจล้ำเลิศ
เพียงแค่ใช้ชี่กระบี่ก็สามารถที่จะฟันโต๊ะที่ทำมาจากหยกให้แตกหักออกเป็นสองส่วนได้ ซึ่งง่ายดายราวกับว่าหั่นเต้าหู้ แต่ในสายตาของเฉียนเป่ยเฉินแล้ว มันช่างน่าตื่นตกใจเป็นยิ่งนัก!
ผู้ที่เป็นนักบู๊ จะต้องอยู่ในแดนพลังปราณและมีพลังเหนือกว่าพลังตันสุดขอบ ถึงจะสามารถแผ่ซ่านพลังลมปราณได้ แต่พลังลมปราณประเภทนี้ ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำร้ายผู้อื่นได้
ซึ่งจะต้องถึงขั้นพลังปราณสุดขอบก่อนเป็นอย่างน้อย
ส่วนระดับที่จะสามารถใช้พลังลมปราณฆ่าคนได้นั้น จะต้องมีพลังขั้นแดนที่แข็งแกร่งมากขึ้นกว่านี้
นั่นก็คือพลังมืด
ก่อนหน้านี้ที่โรงแรมว่างไห่ เย่อู๋เทียนใช้มือข้างเดียวกดทับลงมา ราวกับว่าเป็นฝ่ามือปกคลุมท้องฟ้าในการเอาชนะถังเจิ้งเฟิงได้บนทะเล ซึ่งก็คือใช้พลังมืดนี้เอง!
ส่วนในวันนี้ พลังกระบี่ที่ถังเสี่ยวไป๋ใช้ฟาดฟันเย่อู๋เทียนนั้น ได้รวมชี่เป็นเส้นพลัง และขับเคลื่อนบนตัวกระบี่
ชัดเจนว่า......
พลังความสามารถของถังเสี่ยวไป๋นั้น ก็เข้าสู่ขั้นพลังมืดแล้ว!
ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งคนนี้ คิดไม่ถึงว่าจะนับถือเด็กหนุ่มที่อ่อนต่อโลกไร้ประสบการณ์แบบนี้เป็นอาจารย์?
ช่างน่าเหลือเชื่อมากจริง ๆ!
เวลานี้ ถังเสี่ยวไป๋ก็ได้สังเกตไปที่เฉียนเป่ยเฉิน โดยสังเกตประมาณสิบวินาที ใบหน้าก็กระตุกขึ้น
เขานึกว่าศิษย์รักของเย่อู๋เทียนจะเป็นถึงยอดฝีมือที่เก่งกาจอะไรนั่น
ตอนนี้ดูเหมือนว่า รูปร่างราวกับเป็นแท่งไม้ไผ่ ร่างกายก็ไม่มีท่วงท่าความเป็นนักบู๊อะไรเลย......
คนนี้เหรอ?
เย่อู๋เทียนพูดกับถังเสี่ยวไป๋ว่า: “คุกเข่าคารวะนับถือเป็นอาจารย์สิ”
ถังเสี่ยวไป๋รู้สึกได้ว่า ตนเองนั้นถูกทำให้อับอายจริง ๆ แล้ว จึงพูดขึ้นอย่างหนักแน่นว่า: “ฉันต้องการที่จะนับถือนายเป็นอาจารย์! ไม่ใช่จะนับถือไอ้กระจอกนี้เป็นอาจารย์สักหน่อย! ”
เย่อู๋เทียนชะงักเล็กน้อย แล้วหันหน้าถามไปที่เฉียนเป่ยเฉินว่า: “เขากำลังดูหมิ่นอาจารย์ ทำอย่างไรดี? ”
เฉียนเป่ยเฉินกระพริบตาสองครั้ง และพูดว่า: “ง่ายมาก”
เมื่อพูดจบ
เฉียนเป่ยเฉินก็ลงมืออย่างรวดเร็ว
โดยชกเข้าไปที่ทรวงอกของถังเสี่ยวไป๋
ตุบบบ!
ทันใดนั้น ถังเสี่ยวไป๋ก็ราวกับว่าวที่เส้นเชือกขาด กระเด็นลอยไปไกลกว่ายี่สิบเมตร
แต่ยังไม่ทันรอให้ถังเสี่ยวไป๋ร่วงตกลงสู่พื้น เฉียนเป่ยเฉินก็พุ่งตรงเข้าไปหาราวกับเป็นเสือชีต้า ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหน้าของถังเสี่ยวไป๋ จับที่ท่อนแขนของเขา และเหวี่ยงสะบัดไปมาซ้ายขวา
ตุบบ!
ตุบบ!
ตุบตุบตุบบบบบบบบ!
เฉียนเป่ยเฉินที่รูปร่างผอมกระหร่อง จับที่ท่อนแขนของถังเสี่ยวไป๋ แล้วก็เหวี่ยงร่างกายของเขากระแทกลงไปที่พื้นอย่างรุนแรง และยังจะซ้ายทีขวาทีอีกด้วย
ทุกคนในที่แห่งนี้ ต่างก็ตกตะลึงกันทั้งหมด
นี่มัน......
หลังจากที่เหวี่ยงไปมายี่สิบกว่าครั้งแล้ว เฉียนเป่ยเฉินก็พลาดทำหลุดมือ แต่ไม่ทันรอให้ถังเสี่ยวไป๋ตกลงถึงพื้น ถังเสี่ยวไป๋ก็ถูกเหวี่ยงกระเด็นออกไปไกลอีกครั้ง
ร่างกายล่องลอยอยู่กลางอากาศ
ลอยไปจนถึงฝาผนังกำแพงทางฝั่งตะวันตกของห้องโถงจัดเลี้ยง
ตุบ!
ถังเสี่ยวไป๋ราวกับว่าเป็นหุ่นไม้กระบอกอย่างไรอย่างนั้น กระแทกเข้ากับฝาผนังอย่างจัง จนร่างกายฝังเข้าไปอยู่ในฝาผนังเลยทีเดียว
ผ่านไปเจ็ดถึงแปดวินาที ก็ยังไม่ร่วงตกลงมา
ถังเสี่ยวไป๋อยู่ในสภาพที่สับสนมึนงงไปหมดแล้ว
เมื่อเย่อู๋เทียนเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว พูดตามจริง เขาก็แปลกใจบ้างเหมือนกัน และพูดกับเฉียนเป่ยเฉินด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า: “นายโง่หรือเปล่าเนี่ยะ? เขาเป็นนักกระบี่ วิชาความสามารถก็อยู่ที่กระบี่ พลังในร่างกาย ที่จริงแล้วก็แค่ขั้นพลังปราณชั้นยอดเท่านั้น นายลงมือหนักไปหน่อยแล้ว! ”
เฉียนเป่ยเฉินสีหน้าเป็นกังวล จึงรีบวิ่งเข้าไปหาถังเสี่ยวไป๋ และถามว่า: “ลูกศิษย์ นายไม่เป็นไรใช่ไหม? ”
ฟู่ว์!
ถังเสี่ยวไป๋กระอักเลือดออกมา
หุ้นส่วนสามสิบสองเปอร์เซ็นต์ของหลี่ซื่อ กรุ๊ปแห่งเมืองหนานกั่ง จะต้องยอมมอบให้กับหยางเฟยเอ๋อร์อย่างง่ายดายแบบนี้เลยเหรอ?
เมื่อคิดถึงจุดนี้ หลี่จิงหงก็พลันพูดกับฉาวซิงที่อยู่ด้านข้างว่า: “ลุงฉาว ฉันพลันนึกขึ้นได้ว่า ฉันยังมีธุระด่วนอย่างอื่นอีก ฉันจึงต้องขอตัวไปก่อนแล้ว”
ฉาวซิงตื่นตกใจ ไม่นานนักก็เข้าใจได้ถึงเจตนาของหลี่จิงหงในตอนนี้แล้ว จึงพูดว่า: “มีธุระอะไร ไว้ค่อยคุยกันหลังวันนี้ก็ได้ ไม่รีบร้อน”
หลี่จิงหงสูดหายใจลึก แล้วก็หันมองไปที่หยางเฟยเอ๋อร์ ก็เห็นว่า หยางเฟยเอ๋อร์กำลังมองดูเย่อู๋เทียนอยู่อย่างเคลิบเคลิ้ม......
เวลานี้ ถังเสี่ยวไป๋ก็ยากที่จะลุกยืนขึ้นแล้ว จึงคุกเข่าต่อหน้าของเฉียนเป่ยเฉิน และพูดเบา ๆ ว่า: “อาจารย์ที่เคารพ เชิญน้อมรับการคารวะของลูกศิษย์ด้วย”
เฉียนเป่ยเฉินพยักหน้า และพูดว่า: “มีธุระอะไรก็รีบไปจัดการเถอะ ที่จริงแล้วฉันเองก็ไม่มีอะไรที่จะสอนนายเหมือนกัน ครั้งหน้านายก็อัดวีดีโอการฝึกฝนกระบี่ของนายในช่วงกี่ปีมานี้เอาไว้ด้วย หากมีเวลาฉันจะร่ำเรียนบ้าง เวลาที่อัดนั้นจะต้องตั้งใจหน่อย ห้ามมีการปกปิดอะไรเอาไว้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้น......ถึงอย่างไรตอนนี้นายก็คือลูกศิษย์ของฉันแล้ว ไม่ว่าฉันจะลงโทษสั่งสอนนายอย่างไร ก็ถูกต้องตามหลักการทั้งหมด! ”
ถังเสี่ยวไป๋รู้สึกว่า......
ตนเองนั้นหลงกลแล้ว ตนเองถูกบังคับให้เป็นลูกศิษย์!
ในขณะนั้น เฉียนเป่ยเฉินก็โยนยาเม็ดหนึ่งให้กับถังเสี่ยวไป๋ และพูดว่า: “นี่คือยาชำระล้างที่อาจารย์ปู่ให้ไว้กับฉัน นายบาดเจ็บภายใน กินเข้าไปก่อนเถอะ”
ถังเสี่ยวไป๋เบิกตามองไปที่เม็ดยาที่เฉียนเป่ยเฉินมอบให้กับเขา......
ถึงขนาดตกใจจนพูดอะไรไม่ออกเลย
เฉียนเป่ยเฉินเห็นว่าถังเสี่ยวไป๋ทำเป็นไม่สนใจ จึงดุด่าว่า: “รีบกินซะ! ฉันสั่งให้นายกินนายก็รีบกินเข้าไปสิ! ต้องรักษาร่างกายของตนเองให้ดีเข้าไว้ ไม่อย่างนั้นครั้งหน้าเมื่อฉันชกต่อยนาย นายต้านทานไม่ไหวจะทำอย่างไร! ”
ถังเสี่ยวไป๋กลืนกินเข้าไปทั้งน้ำตา
น่าอับอายขายหน้าอย่างที่สุด
แต่ท่ามกลางความอับอายขายหน้านี้ ก็ยังคงมีความสะใจอยู่บ้าง
นี่เป็นถึงยาชำระล้างเชียวนะ!
ที่ตนเองมายังเมืองเจียงหนานนั้น ที่จริงแล้วมีจุดประสงค์ที่จะไปเข้าร่วมงานประมูลฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง
แล้วไปเข้าร่วมงานประมูลฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงเพื่ออะไรล่ะ?
ก็เพื่อซื้อยาชำระล้าง!
ซึ่งเรื่องที่ตนเองคาดหวังและต้องการทำมากที่สุดในชีวิต ก็คือซื้อยาชำระล้าง!
ตอนนี้......
ไอ้หนุ่มเบื้องหน้าที่บังคับให้ตนเองนับถือเป็นอาจารย์นั้น ได้มอบสิ่งของที่ตนเองใฝ่ฝันต้องการมากที่สุดให้กับตนเองแล้ว ซึ่งราวกับว่าโยนลูกอมให้อย่างไรอย่างนั้น!
ตะลึงงัน!
ในขณะเดียวกัน เย่อู๋เทียนก็เดินกลับมายังบริเวณที่ไม่ห่างจากฉาวซิง ตรงด้านข้างของซูชิงหลวนที่อยู่ด้านหลังของเฉิงโม่หนง และถามขึ้นว่า: “ถุงยาชำระล้างที่เฉียนเป่ยเฉินให้นายไว้ล่ะ? ”
ซูชิงหลวนตกใจ จึงรีบหยิบออกมา และเอ่ยปากส่งเสียง: “อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ......”
ความหมายโดยประมาณก็คือ กินเข้าไปจนเหลือไม่มากแล้ว
หลังจากที่เย่อู๋เทียนรับมาแล้ว ก็เดินเข้าไปหาฉาวซิง และพูดว่า: “กินยาเม็ดนี้เข้าไป จากนั้นก็บอกให้แม่นางที่ผสมเหล้าเซียนหลับใหลคนนั้นให้ช่วยผสมเหล้าเซียนหลับใหลในนายดื่มอีก โดยดื่มหนึ่งแก้วต่อวัน ติดต่อกันสามวัน นายก็จะหายดีขึ้นเป็นปกติแล้ว”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เย่อู๋เทียนก็เหมือนกับว่าคิดอะไรขึ้นได้ จึงหันหน้ามองไปที่ผิงเสี่ยวหลิง แล้วพูดเสริมขึ้นว่า: “เหล้าเซียนหลับใหลที่ลูกศิษย์ของนายผสมเอาไว้ก่อนหน้านี้นั้น ธรรมดาจริง ๆ ในอดีตตอนที่ฉันสอนอาจารย์ของนายผิงปู๋จิ้วผสมเหล้านี้ แล้วเขาก็มาสอนนายอีกที หรือว่าได้มีการลดขั้นตอนหรือปรับลดส่วนผสมอะไรลงบ้างแล้ว? ”
ผิงเสี่ยวหลิงพูดขึ้นอย่างเก้อเขินว่า: “อาจารย์ของฉันนั้น ท่านก็รู้ดีอยู่แล้ว ฉันเป็นเพียงแค่ลูกศิษย์ครึ่งหนึ่งของเขาเท่านั้น ตอนที่เขาสอนวิชาให้กับฉัน จะต้องปกปิดบางส่วนเอาไว้แน่นอน ดังนั้น......หลี่จิงหงที่นับถือฉันเป็นอาจารย์ ฉันเองก็ไม่สามารถที่จะถ่ายทอดวิชาทั้งหมดให้กับหล่อนได้ ไม่อย่างนั้นฉันก็คงจะไม่มีวิชาอะไรเอาไว้ทำมาหากินแล้ว”
ใครรู้บ้างว่าหลังจากที่หลี่จิงหงได้ยินการสนทนาระหว่างเย่อู๋เทียนกับผิงเสี่ยวหลิงแล้ว จะมีสภาพจิตใจอย่างไร
หรือว่า เหล้าเซียนหลับใหลที่ตัวเองผสมนั้น ผู้คิดค้นก็คือเย่อู๋เทียน?
หรือว่า คนที่ตัวเองจะนำเหล้าเซียนหลับใหลมอมเมานั้น จะเป็นผู้คิดค้นเหล้าเซียนหลับใหลขึ้นมา?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมนักรบอหังการ
เรื่องนี้อะไรก็ดีหมด เสียอย่างเดียวคือไม่เข้าใจว่าทำไมเหมือนพยายามจะยัดเยียดพระเอกให้มีเมียมากกว่า1? พระเอกเก่งมีเมียคนเดียวไม่ได้?...