“ฟางเหยียน หรือเราจะยอมแพ้แล้วเปลี่ยนห้องอาหาร จริงๆ แล้วจะทานที่ไหนก็ได้” เย่ชิงหยู่มองฟางเหยียนแล้วถามขึ้น
ฟางเหยียนกวาดตามองสายตาของทุกคน ราวกับว่าทุกคนคิดเหมือนกับเย่ชิงหยู่ เพราะตระกูลจางสู้ ลู่หงปอไม่ได้ หนำซ้ำยังมีชื่ออีอีกคน!
แต่ในบรรดาสายตาทั้งหมด ไม่รวมจางซื่อตงเข้าไปในนั้น
ตอนนี้จางซื่อตงอยากให้ฟางเหยียนแข็งข้อต่อไป เพราะถ้าเปลี่ยนที่ คนที่จะลงมือต้องทำพลาดแน่นอน คนที่สามารถอยู่กับพวกนั้นได้ ต้องไม่ใช่คนธรรมดา ถ้าเกิดเรื่องสาวมาถึงตัวเขา แน่นอนว่าจะต้องตายสถานเดียว และเมื่อถึงตอนนั้นไม่ใช่เพียงแค่ตัวเขาที่ต้องตาย ไม่แน่คนในตระกูลจางอาจจะต้องตายทั้งตระกูล!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เหงื่อก็ไหลออกมาเต็มตัว
ดังนั้นเขาจึงพูดแทรกขึ้นมาว่า “ฉันว่าฟางเหยียนพูดถูก ถ้าพวกเราออกไปแบบนี้ ต่อไปเราจะไม่มีหน้าในเมืองจินโจว คนพวกนั้นเห็นว่าตัวเองสูงส่งแล้วจะมากดขี่คนอื่นได้อย่างนั้นเหรอ ถ้าเราออกไปมันจะเสียศักดิ์ศรีนะ”
“ลุงใหญ่พูดถูก!” ฟางเหยียนเงยหน้ามองจางซื่อตง
ทั้งครอบครัวนั่งทานข้าวอย่างไม่เป็นสุข อาหารมื้อนี้ทำให้ทุกคนอกสั่นขวัญแขวน
เจิ้งต้าไห่ที่อยู่ข้างนอก พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เหล่าหลัว นายทำแบบนี้ไม่มีความจริงใจเอาเสียเลย นายก็รู้ไม่ใช่เหรอว่า ท่านลู่ เป็นใคร ถ้าจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ คนที่เดือดร้อนก็คือนายนะ”
สีหน้าของหลัวเทียนเยว่ไม่ดีเป็นอย่างมาก ตอนนี้เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทั้งสองคนเป็นคนที่เขาไม่สามารถไปยั่วโมโหได้ เขายิ้มแหยๆ แล้วพูดว่า “พี่เจิ้ง ผมทำอะไรพี่น่าจะเข้าใจดี คนข้างในไม่ใช่คนธรรมเหมือนกัน”
“ไม่ใช่คนธรรมดาเหรอ!” เจิ้งต้าไห่แสยะยิ้มออกมา “จะเจ๋งสักแค่ไหนเชียว เดี๋ยวนายก็อธิบายเอาเองแล้วกัน”
พูดจบ เจิ้งต้าไห่ก็เดินฟึดฟัดออกไปข้างนอก
ผ่านไปไม่นาน ก็มีคนใหญ่คนโตเดินเข้ามา ในนั้นมีชายวัยกลางคนในชุดสูทสุดเนี๊ยบ เขาคือชื่ออี ชายร่างอ้วนตรงกลางที่ชื่ออีนอบน้อมกับเขาคือลู่หงปอแต่ที่น่าแปลกใจก็คือ คนที่ชื่อ ลู่หงปอเดินกะเผลกและส่งเสียงเหมือนเจ็บออกมาเป็นบางครั้ง
“จัดการเรียบร้อยแล้วใช่ไหมเหล่าเจิ้ง” ชื่ออีถามเจิ้งต้าไห่
เจิ้งต้าไห่ฝืนยิ้มออกมา “อาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ แต่มีคนอยู่ในห้องอาหาร พวกเขาไม่ยอมเปลี่ยนที่ เหล่าหลัวจัดห้องอาหารหมายเลข 666 ให้เราครับ”
“อะไรนะ!” ชื่ออีถามขึ้นด้วยความโมโห “นายไม่ได้บอกเหรอว่าแขกวันนี้เป็นใคร”
“ผมบอกแล้วครับ แต่คนข้างในเขาไม่ยอม” เจิ้งต้าไห่ตอบออกมาอย่างเหนื่อยใจ
“เหอะๆ” ลู่หงปอแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “พวกมันเป็นใครถึงไม่ไว้หน้าฉันขนาดนี้”
เจิ้งต้าไห่พูดอย่างนอบน้อมว่า “คนของตระกูลจางครับ แค่ตระกูลระดับกลางของเมืองจินโจวครับ”
“แค่ตระกูลระดับกลางยังกล้าบังอาจขนาดนี้เลยเหรอ” ชื่ออีเดินเข้าไปด้วยความโมโห
แต่ทว่าเขาโดน ลู่หงปอรั้งเอาไว้ก่อน ลู่หงปอโบกมือไปมาแล้วพูดว่า “เดี๋ยวฉันไปจัดการเอง ฉันกำลังหงุดหงิดใจ ต้องการหาที่ระบายพอดี”
ครั้งก่อนโดนฟางเหยียนจัดการจนหมดสภาพ ตอนนี้ขาของเขายังเจ็บอยู่เลย คนเข้ามาหาเรื่องพอดี เขาจะได้ระบายความโกรธ
คิดได้เช่นนั้น ลู่หงปอก็เดินมาที่ห้องอาหารหมายเลข 888 เขาผลักประตูเข้าไปโดยไม่รีรอ ชื่ออีกับหัวหน้าแต่ละคนต่างพากันเดินตามเข้าไป พวกเขายืนอยู่ข้างหลัง ลู่หงปอ
เย่ชิงหยู่เห็นสีหน้าของฟางเหยียนเปลี่ยนไป เธอรีบคว้าแขนของเขาแล้วพูดว่า “ฟางเหยียน นายอย่าพูดอะไรไร้สาระออกไป ลู่หงปอไม่ใช่คนที่เราจะไปยั่วโมโหได้ เขามีเส้นสายไปทั่ว ขนาดตอนที่พ่อฉันยังอยู่ ยังไม่กล้ายุ่งกับเขาเลย”
เรื่องเส้นสายมากมายของ ลู่หงปอน่าจะมีผู้มีอำนาจใหญ่โตเท่านั้นที่รู้เท่านั้น
เมื่อได้ยินเย่ชิงหยู่พูดเช่นนั้น ฟางเหยียนจึงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอก ผมรู้ว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ”
เขายังไม่ทันได้พูดอะไร จางฉี่เหาพูดขึ้นมาอย่างจริงจังว่า “เราจะเปลี่ยนที่เดี๋ยวนี้ครับท่านลู่ เราไม่ได้มีเจตนาล่วงเกินคุณ ขอโทษนะครับ พวกเราขอโทษ”
เมื่อได้ยินจางฉี่เหาพูด จางซื่อตงอดกลัวขึ้นมาไม่ได้ ถ้าเปลี่ยนที่ต้องจบเห่แน่ อีกเดี๋ยวจะต้องจัดการผิดคนแน่ ถึงตอนนั้นคนที่รับกรรมจะต้องเป็นเขาแน่ๆ
เขามองฟางเหยียนอย่างขอความช่วยเหลือ หวังว่าฟางเหยียนจะหาเรื่องลู่หงปอได้สำเร็จ
แต่ทว่าฟางเหยียนกลับไม่พูดอะไร เขาดื่มน้ำอย่างสบายใจ
ไอ้เลวเอ๊ย เมื่อกี้คนที่บอกว่าจะไม่เปลี่ยนที่คือเขา ตอนนี้ลู่หงปอมาแล้ว เขากลับไม่พูดอะไรสักคำ
ลู่หงปอได้ยินจางฉี่เหาพูดเช่นนั้น เขาจึงหยิบมือถือออกมาอย่างหยิ่งยโส เขาพูดเสียงดังว่า “ฉันขอประกาศว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจะไม่มีตระกูลจางในเมืองจินโจวอีก กิจการของตระกูลจางจะถูกซื้อทั้งหมด”
“หึ! กล้ามาเล่นกับฉัน” พูดพลางเขาจึงกดโทรออก
เขาหยิ่งผยองเป็นอย่างมาก ถ้าฟางเหยียนยังไม่พูดอะไร เขาคงคิดว่าตัวเองจะสามารถกดขี่ตระกูลจางได้ ดังนั้นฟางเหยียนจึงกระแอมออกมา “ลู่หงปอนายแน่ใจแล้วเหรอว่าจะกำจัดตระกูลจาง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมนักรบทรงเกียรติยศ