ฟางเหยียนไม่ได้รบกวนเขา ให้เขาปรับอารมณ์ด้วยตัวเอง ตอนที่ผู้ชายยังมีชีวิตอยู่ สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่มีอะไรมากไปกว่าครอบครัวและผู้หญิง และการเจอกันของเสี่ยวหงเขาไม่มีทางดูถูกตัวเอง เขายากที่จะจินตนาการว่าผู้หญิงที่รักมากคนหนึ่ง ตายด้วยน้ำมือของตัวเอง ต่อให้เป็นนักรบที่แข็งแกร่งดังเหล็ก ความทรมานและการเล่นงานที่ได้เจอคนธรรมดาไม่มีทางเข้าใจได้
เขาฟางเหยียนไม่ถนัดโน้มน้าวใคร ทำได้เพียงให้ตัวเขาเองคิดได้ ให้เวลาเขาสักหน่อยก็ได้แล้ว
เขาไม่กล้าคิด ว่าถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับเขา เขาจะเกรี้ยวกราดมากขนาดไหน!
ถ้าไม่เคยเจอกับความทุกข์แบบคนอื่น ก็อย่านำทางคนอื่นมั่วๆ คำพูดนี้ไม่ล้าสมัยตลอดหาล
แต่เทียนขุยปรับอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว สิ่งนี้ทำให้ฟางเหยียนค่อนข้างเปลี่ยนทัศนคติใหม่ แม้เทียนขุยจะปรับอารมณ์ได้แล้ว แต่น้ำเสียงยังคงสะอึก กล่าวอย่างสะอื้นว่า “เพลิงเสวน แยกเป็นฟ้า ดิน ดำ เหลืองสี่ก๊วน และเสี่ยวหงอยู่ก๊วนเหลือง และฝีมืออ่อนที่สุด และคนที่นำทางทุกอย่างในครั้งนี้ล้วนเป็นเพราะคุณชายที่จะเข้ารับตำแหน่งของเพลิงเสวน จุดมุ่งหมายไม่ดี อายุไม่แน่ชัด ไม่รู้อะไรทั้งนั้น
“ฟ้า ดิน ดำ เหลือง?” ฟางเหยียนพึมพำกับตัวเองแล้วกล่าว “ที่แท้ก็เหมาะสมกับสไตล์ของเพลิงเสวน พูดได้ว่าครอบครองมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศหวาห้าพันปี เพียงแต่คุณชายที่จะเข้ารับตำแหน่ง ทำแบบนี้เพื่ออะไร?”
“จอมพลโผ้จวินครับ นอกเหนือจากนี้ผมไม่ทราบแล้วครับ และการรักษาความลับของเพลิงเสวนไม่ด้อยไปกว่าสำนักเจ็ดพิฆาตเลยครับ” เมื่อนึกถึงจุดนี้ เหมือนเทียนขุยจะนึกรายละเอียดอะไรออก จึงได้พูดต่อว่า “การติดต่อของพวกมันนอกจากใช้อสูรเพลิง นอกจากที่เพลิงเสวนมีสัญลักษณ์พิเศษแล้ว ให้ความสำคัญกับการติดต่อขาเดียว เบื้องบนและด้านล่างแทบจะไม่ติดต่อซึ่งกันและกัน นอกจากมีภารกิจ จึงจะปรากฏวิธีการติดต่อที่พิเศษขึ้น”
ดูๆแล้วนี่เป็นการรายงานที่ใช้งานอะไรไม่ได้เลย แต่อย่างน้อยก็ได้เข้าใจโครงสร้างองค์กร อีกทั้งการแยกสมาชิกของเพลิงเสวนทางอ้อม สิ่งสำคัญที่สุดคือคนหนึ่งที่จะเลี่ยงไม่ได้ นั่นก็คือคุณชายของเพลิงเสวน คนนี้เป็น‘มือมืด’ที่ซ่อนอยู่ในที่ลับ กำลังนำทางและวางแผนเล่ห์กลชั่วร้ายอันยิ่งใหญ่อยู่
และเป็นมือสองข้างนี้ที่กำลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของทั้งหมด และการเปลี่ยนแปลงเป็นการทำให้ประเทศหวาดิ่งลงเหว เมื่อคุณชายของเพลิงเสวนคนนั้นครองตำแหน่งได้สำเร็จ งั้นทั้งประเทศหวาก็จะวุ่นวายครั้งใหญ่จริงๆ ราษฎรเดือดร้อนจนมิอาจใช้ชีวิตอยู่ได้ และจะเป็นการเริ่มต้นของความชั่วร้าย
เขาฟางเหยียนในฐานะที่เป็นผู้พิทักษ์ของประเทศหวา ไม่อยากเห็นเหตุการณ์ที่ราษฎรเดือดร้อนมิอาจมีชีวิตอยู่ได้อยู่แล้ว แต่สำหรับเพลิงเสวนที่ข้อมูลน้อย พูดได้ว่าน้อยมาก ถ้าเทียนขุยไม่จดจ่ออยู่กับการล้วงความลับ ถึงตอนนี้ฟางเหยียนจะรู้แค่เพลิงเสวนอย่างเดียว อย่าว่าแต่คุณชายที่ทำการลับๆเลย
แต่!
ฟางเหยียนยังมีอีกจุดหนึ่งที่ไม่เข้าใจ
ใช่!
เพลิงเสวยมีมาเป็นสองพันกว่าปี มั่นคงถาวรสองพันกว่าปี มันช่างเป็นสัตว์ประหลาดเสียจริงๆ ทำไมพวกเขาต้องขับเคลื่อนทั้งหมดตอนนี้ด้วย?
จากการบันทึก ครั้งแรกที่เพลิงเสวนปรากฏกาย พวกเขาช่วยจักรพรรดิฉินวางแผนการ ธรรมชาติของพวกเขาก็ไม่ได้จะพังราชวงศ์ฉินตั้งแต่แรก แต่ตั้งตัวเป็นกลางอยู่ตลอด ราวกับไม่คิดจะแทรกแซงประเทศแต่อย่างใด แต่ทำไมสองพันกว่าปีให้หลัง พวกเขาทนไม่ได้แล้วล่ะ?
หรือพูดอีกอย่าง เพลิงเสวนเป็นองค์กรที่ทั้งซับซ้อนทั้งฝีมือดังกระฉ่อน ตกตะกอนมาสองพันกว่าปี พื้นเพหรือแม้แต่ความสามารถล้วนชั้นยอด ต่อให้เป็นห้าสำนักใหญ่หรือแม้แต่องค์กรนินจา เกรงว่าล้วนเทียบไม่ติด
แต่!
องค์กรที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ ทำไมต้องเชื่อมความสัมพันธ์กับตระกูลใหญ่หรือแม้แต่สำนักลับๆเพื่อประสิทธิผลด้วยล่ะ?
ถ้าเขาฟางเหยียนเป็นเจ้าสำนักเพลิงเสวน มีแปลนและตำแหน่งที่สูงแบบนี้ ต้องไม่สนใจพวก‘อ่อนแอ’พวกนี้เป็นธรรมดา อย่าว่าแต่เชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลใหญ่เลย ให้พวกเขาแค่ประโยคเดียว
ฟังฉันแล้วจะอยู่ เป็นปรปักษ์กับฉันตาย!
นี่เป็นสิ่งที่ฟางเหยียนคิดไม่ตก พลังอีกทั้งองค์กรของเพลิงเสวน พูดได้ว่าชื่อเสียงดังกระฉ่อน ทำไมต้องทิ้งรูปลักษณ์ตัวเองไปเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลใหญ่อีกทั้งองค์กรเหล่านั้นด้วย ทำไมกัน? ที่ฟางเหยียนคิดแบบนี้นั้นง่ายมาก นั้นก็คือผู้แข็งแกร่งมีศักดิ์ศรีของผู้แข็งแกร่งเอง!
เพลิงเสวนเป็นองค์กรเก่าแก่ ต้องมีเป้าหมายที่สูงส่งแต่ฝีมือไม่ถึงยโสโอหังอยู่แล้ว นี่เป็นความกล้าของมัน แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่เขาใช้สมองทั้งหมดที่มีแล้วแต่ก็ยังคิดไม่ตก
เพลิงเสวนสามารถทำลายทั้งประเทศหวาได้ เพียงใช้วิธีโหดเหี้ยมก็ได้แล้ว ทำไมยังต้องเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลใหญ่ พัฒนาอำนาจของตัวเองให้ยิ่งใหญ่ลับๆ?
ทันใดนั้น ฟางเหยียนนึกถึงประโยคนั้นที่ทำให้ตอนนี้เขาไม่เข้าใจ
“ความเกรี้ยวกราดทำให้คนสูญเสียสติสัมปชัญญะไปได้ง่ายดาย ยิ่งเกรี้ยวกราดยิ่งทำให้เรื่องแย่ลง”
เทียนขุยพยักหน้าอย่างเสียใจ กล่าวอย่างจริงจังว่า “จอมพลโผ้จวินผมไม่ได้วิเคราะห์ถี่ถ้วน หรือให้เพลิงเสวนก่อความวุ่นวายลับๆงั้นเหรอครับ?ผมแอบรู้สึกว่านอกจากสำนักเทียนซือแล้ว ก๊วนอื่นๆของเพลิงเสวนได้เคลื่อนไหวแล้ว สามสำนักใหญ่ที่เหลือก็เป็นที่ที่พวกเขาจะลงมือ เราควรจะเคลื่อนไหวมั้ยครับ?”
“เคลื่อนไหวยังไง?” ฟางเหยียนเยาะเย้ย “สำนักกุ่ยกู๋ สำนักฉิวหลงอีกทั้งแก๊งเก้ามังกรที่เหลือ แต่ล่ะสำนักต่างไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวใดๆ แสดงให้เห็นอย่างหนึ่ง ระดับความลึกลับของสำนักเหล่านี้ไม่ด้อยไปกว่าสำนักเทียนซือ สบายใจได้ ตอนนี้พวกเรามีแค่คำเดียว นั่นก็คือรอ!”
“รอ?” เทียนขุยชะงัก ถามอย่างไม่เข้าใจว่า “รออะไรครับ?”
“รอให้เพลิงเสวนเคลื่อนไหว เราคอยจังหวะลงมือ โจมตีก่อนใช้ไม่ได้ โดยเฉพาะตอนนี้หลังจากที่สำนักเทียนซือถูกถล่มย่อยยับแล้ว บางทีคุณอาจจะลืมคนที่สำคัญไปคนหนึ่ง นั่นก็คือเจ้าสำนักของสำนักเทียนซือ เจ้าสำนักที่ลึกลับคนนี้ตอนนี้ไม่รู้อยู่ไหน และเป็นสิ่งที่เพลิงเสวนควรจะปวดหัว”
สักพัก ฟางเหยียนพูดต่อว่า “ถ้าผมเดาไม่ผิดล่ะก็ ตอนนี้เพลิงเสวนน่าจะพยายามสุดทางเพื่อแย่งตราประทับเทียนซือมา ยังมีอีกเรื่องนั่นก็คือพยายามหาเจ้าสำนักของสำนักเทียนซือให้ได้ จากนั้นก็ถอนรากถอนโคลนทั้งหมด!”
“งั้น ตอนนี้ท่านจอมพลโผ้จวินก็อันตรายมากสิครับ?เรียกประชุมพรรคพวกมาคอยจังหวะลงมือมั้ยครับ?”
“ไม่ต้อง ตอนนี้เพลิงเสวนน่าจะหยุดการเคลื่อนไหวชั่วขณะ”
เทียนขุยชะงักอีกครั้ง เพลิงเสวนไม่ทำกฎก็ช่าง ทำไมจอมพลโผ้จวินก็ไม่ทำตามกฎแล้วล่ะครับ?
“ตอนนี้เรื่องด่วนสำหรับเราคือ เข้าใจเพลิงเสวนมากขึ้นไปอีก ให้ดีที่สุดคือเข้าใจว่าคุณชายท่านนั้นต้องการทำอะไรกันแน่?”
ฟางเหยียนเพิ่งพูดจบ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมื่อเห็นสายนี้ ฟางเหยียนชะงักไปในทันที!
เธอ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมนักรบทรงเกียรติยศ