“จับกุมพวกเขา? พวกคุณจะหวังในตัวผมมากเกินไปแล้ว ถ้าผมมีความสามารถขนาดนั้นโลกนี้คงแม่แต่Peace & Love นะ”
เจ้าหน้าที่ส่ายหัวตอบ
“เพราะอะไรครับ ช่วยบอกเราที”
กู้เจี้ยนกั๋วถามด้วยรอยยิ้ม
“จะถามผมทำไม คุณไปถามคุณหลี่สิ คุณหลี่เป็นสมาชิกในครอบครัวคุณไม่ใช่เหรอ? เขาเป็นถึงคนใหญ่คนโตที่สามารถทำให้ตระกูลซูต้องใช้เส้นสายมาต่อกรด้วย แถมแล้วยังทำให้เราต้องส่งพวกเขามาขอโทษอีกด้วย”
“ผมยังรู้สึกสงสัยในตอนที่ได้รับคำสั่งเลย ตระกูลซูในเมืองเอกเคยวุ่นวายขนาดนี้เมื่อไหร่กัน คุณลองไปถามเพื่อนในเมืองเอกดูเดี๋ยวก็รู้สาเหตุเอง”
เจ้าหน้าที่ถึงขั้นถึงพูดความจริงจากใจ
กู้เจี้ยนกั๋วกอดอกแล้วพูดต่อ “ผมจะไปทราบได้ไงครับ ก็ตั้งใจถามคุณอยู่”
“ทรัพย์สินของตระกูลซูในเมืองเอกถึงอายัดหมด ราคาหุ้นของบริษัทก็ดิ่งลงอย่างไม่หยุด ผมกล้าพูดว่าครอบครัวตระกูลซูต้องตกใจจนฉี่ราดอย่างแน่นอน ซึ่งเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ผมเดาได้ว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับคุณหลี่อย่างแน่นอน”
หลังจากกู้เจี้ยนกั๋วได้ฟังคำพูดนี้สมองของเขาก็ว่างเปล่าทันที เดิมทีที่เต็มไปด้วยคำถามก็หายไปในพริบตา
กู้เจี้ยนเจียงและคนอื่นๆ ที่ได้ยินคำพูดนี้ก็ต้องตกใจเหมือนกู้เจี้ยนกั๋ว สายตาของทุกคนหมดหมองและทำอะไรไม่ถูก
กู้หยุนหลันจับมือหลี่โม่แล้วกระซิบพูดกับเขา “เราไปกันเถอะ ฉันอยากกลับบ้านแล้ว”
“ได้สิ ตามใจภรรยาเลยครับ”
หลี่โม่จุงมือกู้หยุนหลันแล้วเดินผ่านเหล่าไป๋และคนอื่นๆ จากนั้นก็ตรงออกจากห้องประชุม
เหล่าไป๋และคนอื่นๆ ได้แต่มองดูแผ่นหลังของหลี่โม่อย่างขมขื่น ถึงตอนนี้พวกเขายังไม่แน่ใจว่าหลี่โม่ให้อภัยพวกเขาแล้วหรือยัง
เจ้าหน้าที่ทุกคนต่างก็ตกใจ จากนั้นโบกมือส่งสัญญาณแล้วจากไปพร้อมกับเหล่าไป๋และคนอื่นๆ
กู้เจี้ยนกั๋วและคนอื่นๆ ต่างก็มองหน้ากัน ทุกคนนั่งอยู่ที่เดิมด้วยความสิ้นหวัง
ในใจทุกคนเต็มไปด้วยคำถาม พวกเขาคิดว่าคำพูดของคนเมื่อกี้อาจไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้ เพราะเขาก็ฟังมาจากคนอื่นเหมือนกัน
แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องจริงแล้วเหล่าไป๋กับคนอื่นๆ ทำไมต้องมาขอโทษหลี่โม่ถึงที่ด้วย อีกอย่างยังคุกเข่าขอโทษด้วย!
คำถามเหล่านี้เหมือนก้อนเมฆที่ปกคลุมจิตใจของกู้เจี้ยนกั๋วและคนอื่นๆ
“เกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่ คนอย่างหลี่โม่จะทำให้ตระกูลซูในเมืองเอกยอมแพ้ได้ไง”
กู้เจี้ยนกั๋วถามอย่างจนปัญญา
กู้เจี้ยนเจียงประคองคางด้วยมือทั้งสองข้างแล้วส่ายหัวอย่างอาลัยอาวรณ์ “นี่มันเรื่องบ้าบอชัดๆ ไอ้กระจอกอย่างมันจะทำได้ไง หรือว่ามีคนจัดการกับตระกูลซูพอดี จึงทำให้ตระกูลซูคิดว่าเป็นฝีมือของหลี่โม่”
“มันก็อาจจะเป็นไปได้นะ แต่ความเป็นไปได้นั้นต่ำมาก ยิ่งครอบครัวตระกูลซูไม่ใช่ครอบครัวเล็กๆ เรื่องแค่นี้ทำไมจะสืบไม่ได้ล่ะ”
กู้เจี้ยนกั๋วพูดอย่างเหนื่อยใจ จากนั้นหยิบยาระงับประสาทแล้วใส่เข้าปากทันที ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาต้องเซฟตัวเองไว้ก่อน
กู้ซิงเว๋ยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วดูข่าวหุ้นของบริษัทตระกูลซู จากนั้นตะโกนขึ้นเหมือนเห็นผี “หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของตระกูลซูตกลงมาจนแทบจะติดลบแล้ว!”
“หือ!”
กู้เจี้ยนกั๋วหายใจเข้าลึกๆ และรู้สึกอึดอัดใจมาก ในตอนนี้เขาสงสัยขึ้นมาทันทีว่าตระกูลซูต้องสูญเสียไปเท่าไหร่!
“คนกระจอกอย่างหลี่โม่ไม่มีทางทำได้หรอก ต้องมีใครคนอื่นที่คอยบงการอยู่ข้างหลังและทำให้หลี่โม่โชคดีไปด้วยอย่างแน่นอน!”
กู้ชิงหลินพูดอย่างเสียงดัง
เป็นเพราะความโชคดีของหลี่โม่?
ไม่มีใครสามารถการันตีได้ ในเมื่อสถานการณ์ทุกอย่างดูแปลกไปหมด กู้เจี้ยนกั๋วจึงคิดว่ารอดูไปก่อนจะดีกว่า
หวังฟางพูดไปด้วยและสังเกตสีหน้าของกู้หยุนหลันไปด้วย จากนั้นกู้หยุนหลันพยักหน้าแล้วตอบอย่างเฉยเมย “ครอบครัวเราไปพร้อมหน้าพร้อมตาก็ดีเหมือนกันนะ”
“โอเค แต่ไม่ต้องพาไอ้หลี่โม่ไปด้วยนะ อายคุณน้าหลี่เขา เดี๋ยวเสียหน้าแล้วแม่ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนอีก พวกเราพ่อแม่ลูกไปด้วยกัน ส่วนหลี่โม่ก็อยู่บ้านนี่แหละ”
กู้หยุนหลันหยุดชะงักไปสักพักแล้วส่ายหัวตอบ “ไม่ ไม่ได้”
“อ้าว ไอ้เด็กคนนี้ ทำไมไม่ได้ล่ะ เมื่อกี้ยังรับปากแม่อยู่เลย ไอ้หลี่โม่เอายาอะไรให้เธอกินกันแน่!”
หวังฟางเริ่มขึ้นเสียงกับเธอ
“ถ้าหลี่โม่ไม่ไปหนูก็ไม่ไปค่ะ แม่บอกว่าให้เราไปกันทั้งครอบครัว หลี่โม่ก็เป็นครอบครัวของเรานะ”
กู้หยุนหลันพูดอย่างดื้อรั้น
หวังฟางกุมหน้าผากและไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
“เธออยากเห็นแม่ต้องขายหน้าขนาดนั้นเลยเหรอ พาหลี่โม่ไปก็มีแต่เสียกับเสีย ไม่ต้องทำอะไรพอดี! ถ้าเขาเอางานเอาการหน่อยแม่คงไม่ต้องพูดแบบนี้หรอก”
หวังฟางพูดอย่างโกรธเคือง
หลี่โม่ที่ได้ยินเสียงของหวังฟางก็ออกจากห้องนอนและพูดว่า “ผมไม่ไปก็ได้ครับ”
“ไม่ได้ จะไปก็ไปด้วยกัน ถ้าคุณไม่ไปฉันก็ไม่ไปเหมือนกัน”
กู้หยุนหลันยังคงยืนยันคำเดิม
หวังฟางที่อยู่ด้านข้างรู้สึกอึดอัดและครุ่นคิดอยู่สักพัก “หลี่โม่ นายกลับห้องไปก่อน ฉันยังมีเรื่องต้องคุยกับหยุนหลันอีก”
จากนั้นหลี่โม่ก็เดินกลับไปในห้องและกู้หยุนหลันก็หันมองไปที่หวังฟางด้วยความสงสัย
“หยุนหลันเอ๋ย แม่จะบอกตรงๆ กับเธอก็แล้วกันนะ อันที่จริงแล้วฮั่วเจี้ยนเฟิงเป็นคนชวนพวกเราเอง พ่อเธอเป็นคนชอบหินหยกมาก ดังนั้นเราจึงตอบตกลงเขาไป ถ้าเราปฏิเสธตอนนี้ก็คงไม่ดีหรอกนะ แล้วเธอคิดว่า......”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จักรพรรดิมังกร
อ่านมาถึงตอน 263 เน่าสนิท ไอ้คนเขียนก็ช่างมีความอดทน มีแต่เรื่องดูถูกโง่ๆ หลายร้อยรอบ วนอยู่อย่างนั้น กุก็ทนอ่านอยู่ได้...
อ่านสนุกมากเลยครับ...