หลี่โม่ก้มหน้าลงไม่ได้พูดอะไร เหมือนกับไม่ได้ยินคำพูดถากถางของซีเหมินจื้อเผิง
หวังฟางใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มองดูซีเหมินจื้อเผิงที่มีบุคลิกเข้มแข็ง ในใจนึกยินดีเป็นอย่างมาก
“พี่ซูฟาง จื้อเผิงของตระกูลคุณหล่อเหลาเอาการเหมือนกันนะ หยุนหลันรีบไปทำความรู้จักกับจื้อเผิงหน่อยสิ”
พูดจบหวังฟางผลักกู้หยุนหลันเบา ๆ เพื่อให้กู้หยุนหลันไปประจันหน้ากับซีเหมินจื้อเผิง
ซีเหมินจื้อเผิงใบหน้าเผยรอยยิ้มเหมือนดั่งสุภาพบุรุษ: “คุณหยุนหลันตัวจริงนี่สวยกว่ารูปถ่ายมากนะ พบกับคุณเพียงครู่เดียว ฉันก็รู้สึกตกหลุมรักแล้ว”
“ฉันมีสามีแล้ว”
กู้หยุนหลันพูดด้วยสีหน้าเย็นชา
ใบหน้าของหวังฟางบูดบึ้งในทันที อยากจะพูดแทนกู้หยุนหลันกับซีเหมินจื้อเผิงจริง ๆ
ซีเหมินจื้อเผิงมองไปทางหลี่โม่หัวเราะอย่างดูหมิ่นแล้วพูดว่า: “ผมรู้มาว่าสามีของคุณเป็นพวกสวะไร้ประโยชน์ที่เกาะผู้หญิงกิน แต่อีกไม่นานคุณก็ไม่ต้องการสามีสวะคนนั้นแล้ว เพราะคุณมีตัวเลือกที่ดีกว่านั้น นั่นก็คือผม”
ซีเหมินจื้อเผิงนั้นแสดงท่าทีโอหังอวดเบ่งเอามาก ๆ หากไม่มีพ่อแม่ของกู้หยุนหลันอยู่ในเหตุการณ์ ซีเหมินจื้อเผิงคงต้องบังคับผลักกู้หยุนหลันติดผนังเพื่อข่มเหงแล้วล่ะ
“สิ่งที่จื้อเผิงพูดหมายถึง หยุนหลันของพวกเรายังไม่ได้สติ ถูกไอ้สวะคนนั้นทำให้จิตใจตกอยู่ในความหลงใหลไปชั่วขณะ รอให้หยุนหลันรู้สึกตัว จะต้องเขี่ยไอ้สวะนั้นออกไปอย่างแน่นอน”
หวังฟางช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์
กู้หยุนหลันหมุนตัวกลับไปด้านข้างของหลี่โม่ จับมือของหลี่โม่ไว้อย่างแน่น เหมือนจะกังวลใจว่าหลี่โม่จะไปจากตัวเอง
มองดูการกระทำของกู้หยุนหลัน ซีเหมินจื้อเผิงเส้นเลือดที่ขมับปูดขึ้นมา รู้สึกว่าตัวเองถูกเฉยเมย
ซีเหมินจื้อเผิงรู้สึกเดือดดาลขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ รู้สึกต้องการให้กู้หยุนหลันหันมาสนใจตัวเอง จำเป็นต้องจัดการอุปสรรคอย่างหลี่โม่ออกไปก่อน
“ฮึ่ม ไอ้สวะนี่ใส่ชุดแต่งตัวของเวอร์ซาเช่ เสื้อผ้าที่คุณใส่นั้นมันเปล่าประโยชน์จริง ๆ รองเท้าที่คุณใส่ มันไม่เหมาะกับแฟชั่นของเวอร์ซาเช่ ยิ่งกว่านั้นสไตล์การแต่งตัวของคุณก็ไม่เข้ากันกับเสื้อผ้าชุดนี้ คุณรู้จักไหมว่าอะไรคือสไตล์การแต่งตัว?”
“แม้แต่สไตล์ลิสพิเศษอะไรพวกนี้ก็ไม่มี คุณคิดว่าการใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนมชื่อดังระดับโลกก็จะสามารถแสดงบุคลิกที่โดดเด่นออกมาได้เหรอ? กล่าวง่ายๆ ก็คือช่างขาดประสบการณ์จริง ๆ! คุณรู้หรือไม่ว่าหนุ่มใหญ่ที่มีสไตล์เค้ามีเครื่องประดับอะไรกันบ้าง? อย่าอื่นไม่ต้องพูดถึง ต้องมีนาฬิกาแบรนด์ดังดี ๆ สักเรือนหนึ่งจึงจะใช้ได้”
ซีเหมินจื้อเผิงแสดงความคิดเห็นต่อหลี่โม่ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า สะบัดข้อมือเผยให้เห็นนาฬิกาแบรนด์ดังบนข้อมือ
ยื่นนาฬิกาแบรนด์ดังที่ข้อมือให้หลี่โม่กับกู้หยุนหลันดู ซีเหมินจื้อเผิงเชิดหน้าขึ้นแล้วพูดว่า: “เห็นนาฬิกาเรือนนี้ของผมไหม? Patek Philippe รุ่นสั่งทำพิเศษ ตัวเรือนทั้งหมดทำจากแพลตตินั่มและเพชร มูลค่าสิบห้าล้าน”
“ไม่ต้องพูดถึงไอ้สวะอย่างคุณไม่มีทางจะมีปัญญาหานาฬิกาแบรนด์ดังแบบนี้ได้ อย่างน้อยจำเป็นต้องมี Patek Philippe รุ่นพื้นฐานที่สุดสักเรือนหนึ่ง ไม่มีปัญญาซื้อ Patek Philippe ก็ต้องมีโรเล็กซ์รุ่นต่ำสุดสักเรือน คุณจนแบบนี้จะมีอะไรได้บ้าง?”
“ชุดเวอร์ซาเช่ที่คุณใส่อยู่นี่ กลัวว่าคุณหยุนหลันต้องกินต้องใช้อย่างประหยัดเพื่อเก็บเงินซื้อให้คุณหล่ะสิ คนที่เกาะชายกระโปรงผู้หญิงกินอย่างคุณ ยังมีหน้ามีชีวิตอยู่อีกเหรอ? หากผมเป็นคุณ คงไปซื้อเต้าหู้สักก้อนกระแทกหัวให้ตายไปเลย”
ซีเหมินจื้อเผิงพูดรุนแรงกับหลี่โม่อย่างไม่เกรงใจ หวังฟางยังพูดซ้ำเติมอีกว่า: “จื้อเผิงเธอพูดได้ถูกต้องแล้ว ไอ้สวะนี้ควรจะตายไปนานแล้ว”
อย่างไรก็ตาม หลี่โม่ก็ยังมีท่าทีเฉยเมย แต่หางตากลับส่องประกายถมึงทึง
“แค่ก แค่ก”
กู้เจี้ยนหมินกระแอมเล็กน้อยสองคำ แย้มยิ้มแล้วพูดว่า: “พวกเราอย่ามัวยืนอยู่ข้างนอกเลย เข้าไปในบ้านเถอะ มีอะไรค่อยเข้าไปคุยกันในบ้าน”
ยืนบนถนนหากเกิดอะไรขึ้น กู้เจี้ยนหมินรู้สึกอับอายขายหน้า ปัญหาในครอบครัวไม่ควรพูดออกไปภายนอก รอกลับไปถึงบ้านแล้วค่อยตำหนิหลี่โม่อย่างไรก็ได้
หวังฟางก็รู้สึกว่าเหตุการณ์นั้นผิดพลาด พูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า: “ฉันโดนไอ้สวะนั้นทำให้โกรธเสียจนขาดสติ จนลืมเชิญพวกคุณเข้าไปในบ้าน พี่ซูฟาง จื้อเผิงพวกเราเข้าไปนั่งในบ้านกันก่อน”
“ลูกจะให้แม่พูดอย่างไรดี โอกาสวาสนาที่ยิ่งใหญ่มาอยู่ตรงหน้าแล้ว ทำไมลูกถึงได้โง่อย่างนี้นะ”
หวังฟางใช้คำพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ต่อความไม่เอาถ่านของลูกตน อย่างที่ตนเองหวังไว้
“ครั้งก่อนฮั่วเจี้ยนเฟิงมาแม่ก็พูดแบบนี้ ถ้าหากลูกหย่ากับหลี่โม่แล้วมาอยู่กับฮั่วเจี้ยนเฟิง งั้นตอนนี้ซีเหมินจื้อเผิงปรากฏตัวขึ้น แม่ก็จะให้ลูกหย่ากับเขา แล้วมาอยู่กับซีเหมินจื้อเผิงอีกใช่มั้ย ในใจของแม่จริง ๆแล้วเห็นลูกเป็นอะไรกันแน่?”
กู้หยุนหลันโกรธเล็กน้อย ตอบกลับด้วยน้ำเสียงติเตียน
ใบหน้าแก่ชราของหวังฟางแดงก่ำ พูดตอบด้วยความอับอาย: “ความทะเยอทะยานของคน นี้เป็นเรื่องธรรมดามาก เรื่องขี่ลาไปก่อนแล้วพาไปหาม้านี้ไม่มีใครไม่เคยทำกัน!”
กู้หยุนหลันชักสีหน้าเย็นชาหันกลับไปนั่ง แต่กลับไม่ได้นั่งในที่เดิมเหมือนเมื่อครู่ แต่นั่งในจุดที่ห่างจากซีเหมินจื้อเผิง
ใบหน้าของเหอซูฟางและซีเหมินจื้อเผิงไม่สู้ดีนัก เหตุการณ์นี้ทำให้หวังฟาอึดอัดใจพูดขึ้นว่า: “ลูกสาวฉันคนนี้ปากแข็งดื้อรั้น พี่ซูฟางคุณอย่าได้โกรธเลย จื้อเผิงคุณมานั่งทางนี้ มาพูดคุยดี ๆ กับหยุนหลัน”
“ดูแล้วลูกสาวคุณไม่ได้อบรมให้ดี แต่จื้อเผิงของพวกเราเป็นลูกเขยผู้สูงศักดิ์ คนที่จะแต่งงานกับเขานั้นมีไม่มากนัก หากลูกสาวของเธอไม่ได้ฉวยโอกาสนี้ไว้ หวังฟางเธอก็อย่าโทษฉันแล้วกัน”
เหอซูฟางพูดด้วยใบหน้าเย็นชา
หวังฟางสะกิดกู้เจี้ยนหมินเบา ๆ เป็นการส่งสัญญาณให้กู้เจี้ยนหมินช่วยพูดอะไรสักหน่อย
กู้เจี้ยนหมินครุ่นคิดสักครู่ มองไปทางกู้หยุนหลันแล้วพูดว่า: “หยุนหลันเธอลองคิดดูดี ๆ กี่ปีผ่านมานี้หลี่โม่ยิ่งนับวันก็ยิ่งไร้ประโยชน์ เมื่อก่อนยังพอจะมีงานทำอยู่บ้าง แต่ตอนนี้อยู่บ้านทั้งดื่มทั้งกินตลอด ผู้ชายแบบนี้จะพึ่งพาอาศัยได้จริง ๆ เหรอ”
“ตอนที่ฉันถูกลักพาตัวไป เขาฝ่าอันตรายไปช่วยฉันเพียงคนเดียว”
กู้หยุนหลันจ้องมองอย่างแน่วแน่แล้วพูดว่า: “ถ้าหากหลี่โม่พึ่งพาอาศัยไม่ได้ งั้นในโลกนี้ก็ไม่มีผู้ชายคนไหนพึ่งพาอาศัยได้อีกแล้ว!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จักรพรรดิมังกร
อ่านมาถึงตอน 263 เน่าสนิท ไอ้คนเขียนก็ช่างมีความอดทน มีแต่เรื่องดูถูกโง่ๆ หลายร้อยรอบ วนอยู่อย่างนั้น กุก็ทนอ่านอยู่ได้...
อ่านสนุกมากเลยครับ...