“แม่อยากเห็นพวกเจ้าเติบโตเป็นผู้ใหญ่”
“ท่านตาของเจ้าอยู่ที่ชายแดน และเจ้ายังมีลุงอีกสามคน พวกเขาจะต้องมาตามหาเจ้า และดูแลเจ้าแทนแม่เอง ท่านยายของเจ้ามีสุขภาพไม่ค่อยดีตลอดเวลา เมื่อเจ้าโตขึ้นแล้วจำไว้ว่าจะต้องกตัญญูต่อท่านให้มากๆแทนแม่”
“...”
หญิงสาวมองดูลูกน้อยแรกเกิดในอ้อมแขนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน พลางกับพูดกับเด็กน้อยไม่หยุด แม้นางจะรู้ว่าลูกยังฟังไม่เข้าใจ แต่นางก็ยังอยากจะพูดให้ลูกฟัง เพราะนางรู้ว่าอีกไม่นานนางจะไม่มีโอกาสได้พูดกับลูกอีกแล้ว
ซูเย่ว์ในอ้อมแขนก็พอจะทราบชาติกำเนิดที่แท้จริงของตัวเองคร่าว ๆ ในชาตินี้แล้วผ่านการพูดคุยไม่หยุดของนาง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นถึงองค์หญิง แต่นางกลับไม่รู้สึกมีความสุขแม้แต่น้อย ฐานะนางสูงส่งแล้วจะอย่างไร ตอนนี้ไม่ใช่ว่าต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากอยู่หรอกหรือ ส่วนผู้ชายคนนั้นเป็นฮ่องเต้แล้วอย่างไรล่ะ แม้แต่ผู้หญิงและลูกของตัวเองยังไม่สามารถปกป้องได้ น่าเศร้าน่าเวทนาเหลือเกิน
เลือดส่วนล่างของร่างกายหญิงสาวไหลเปื้อนดินโคลน จมูกของหมาป่าขาวขยับเล็กน้อย และก้าวมาข้างหน้าสองก้าว แต่นางกลับมองมันอย่างใจเย็นและไม่ขยับเขยื้อนแต่อย่างใด
ซูเย่ว์มองไปที่หัวของหมาป่าตัวนั่นที่เข้ามาใกล้ ๆ ด้วยความหวาดกลัวในใจ แต่ตอนที่นางจ้องมองไปที่ดวงตาของหมาป่าขาวตัวใหญ่นั่น ไม่รู้อะไรดลใจให้นางยื่นมือเล็กๆ ไปแตะที่หัวของหมาป่าขาว และหมาป่าขาวตัวใหญ่นั้นก็ไม่ขยับเลยสักนิด ถึงกระทั่งที่ยอมก้มหัวให้เสียด้วยซ้ำ
นางกะพริบตาปริบๆ และเอาเด็กพิงไว้กับหมาป่าสีขาว
หมาป่าขาวตัวใหญ่มองไปที่หญิงสาวคนนั้น และครางเสียงต่ำตอบกลับ เหมือนกับว่ากำลังรับปาก
หญิงสาวถอดผ้าผูกเอวออก และผูกเด็กเอาไว้ใต้คอหมาป่าขาว ก่อนจะมองหน้าลูกสาวด้วยสายตาเศร้าสร้อย
ซูเย่ว์ร้อว “แง” สองสามเสียง ไปด้วยกันสิ นางรู้ว่าหญิงสาวต้องการให้หมาป่าขาวพานางไป แต่นางอยากให้ไปด้วยกัน
แต่ทว่าหญิงสาวในเวลานี้เลือดออกจนหมดตัวแล้ว คงไม่สามารถมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้
เมื่อเห็นลูกสาวกำลังร้องไห้ แต่นางกลับไม่สามารถทำอะไรได้ และการขยับตัวเพียงไม่กี่ครั้งเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนจะใช้กำลังทั้งหมดของนางแล้ว นางเอนตัวพิงกับต้นไม้ไม่ขยับเขยื้อนอีก และสายตาก็จ้องมองไปที่ซูเย่ว์ จากนั้นก็ยิ้มให้และหลับตาลงช้าๆ
ซูเย่ว์ร้องไห้ร้องเรียกแต่หญิงสาวก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว
มือเล็ก ๆ อยากจะยื่นไปสัมผัสแต่ก็สัมผัสไปไม่ถึง หมาป่าขาวก้มตัวลงไปใกล้ๆหญิงสาวที่ไม่มีลมหายใจเหลือแล้วสักนิดนั้น มือเล็ก ๆ ของซูเย่ว์สัมผัสไปที่ใบหน้าของหญิงสาว และก็ลองตรวจสอบลมหายใจที่จมูกดู จากนั้นดวงตาก็ร้อนผ่าว
“โฮกก~” “บรู้ววว~”
หมาป่าขาวตัวใหญ่ได้ยินเสียงร้องของสัตว์ป่าหลายตัว จึงค่อยๆลุกขึ้นยืนช้าๆ และก็หันหลังพาซูเย่ว์วิ่งเข้าไปยังส่วนลึกของป่าทึบ
บนยอดเขาไป๋อวิ๋น ภายในอาศรมไป๋อวิ๋น
มีเด็กอายุราวสามขวบสวมเสื้อคลุมลัทธิเต๋านอนพิงตัวอยู่ข้างหน้าต่าง และมองนกบนต้นไม้นอกหน้าต่างก่อนจะพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านว่าแม่ของเสี่ยวไป๋เมื่อไรจะกลับมาเหรอ ถ้ายังไม่กลับมาอีก เสี่ยวไป๋มันจะอดตายแล้วนะ”
“เมื่อวานฝนตกหนักตลอดทั้งคืน ผักพวกนั้นยังต้องรดน้ำอีกทำไมกัน ข้าไม่ได้โง่สักหน่อย” เด็กน้อยที่ดูน่ารักตะมุตะมิบ่นพลางกับทำปากยื่นอย่างไม่พอใจ
“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง กินข้าวได้แล้ว” และก็มีเด็กผู้ชายตัวเล็กๆรีบวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนด้วยผมที่ยุ่งเหยิง และที่ใบหน้าก็เปื้อนเลอะเทอะดำปี๋ไปหมด หน้าตาดูน่าเวทนาจนทนดูไม่ได้
“ฮ่า ๆ ๆ ศิษย์พี่สาม หน้าของท่าน ฮ่า ๆ ๆ ๆ ดำเหมือนก้นหม้อเลย”
“ไปให้พ้นเลย ข้าทำเพื่อใครล่ะ ถ้าเจ้าเก่งมากอีกสักพักเจ้าก็ไม่ต้องกิน ปล่อยให้หิวไปซะ” ขณะที่พูดก็อุ้มเจ้าเด็กน้อยเดินไปที่โรงอาหาร และบีบหน้ากลมๆ อวบๆ ของเขาขณะที่เดินไป
“ช่วงนี้เจ้าอ้วนขึ้นหรือเปล่านะ ทำไมข้ารู้สึกว่าเนื้อบนหน้าเจ้ามีมากยิ่งขึ้น”
หนูน้อยรีบปิดหน้าตัวเองทันที “ไม่ใช่สักหน่อย ศิษย์พี่สามท่านเก่งแต่รังแกข้า ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านดูเขาสิ” ขณะที่พูดอยู่ก็โวยวายว่าจะลงมา ไม่ต้องการให้คนปากร้ายอย่างศิษย์พี่สามอุ้มเขา เขาเดินเองได้ เชอะ
“เสี่ยวซาน อย่าได้เอาแต่รังแกเสี่ยวซื่อเลย เจ้าเองก็เป็นศิษย์พี่นะ” เด็กหนุ่มที่สุขุมคนนั้นเดินออกจากห้องมาและกล่าวอย่างใจเย็น
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านอย่าเรียกข้าว่าเสี่ยวซานได้หรือไม่” เด็กชายทำสีหน้าอึมครึม
ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รองล้วนมีชื่อเป็นของตัวเอง เขาเป็นเด็กกำพร้าจึงไม่มีชื่อ หลังจากถูกอาจารย์รับมาเลี้ยง เพราะว่าตามลำดับโตเป็นคนที่สาม จึงถูกเรียกว่าเสี่ยวซาน แม้ว่าเสี่ยวซื่อจะถูกอาจารย์รับมาเลี้ยงเหมือนกัน และชื่อเรียกก็ถูกตั้งเหมือนกัน แต่ชื่อเสี่ยวซานมักจะรู้สึกว่าแปลก ๆ อยู่ดี เฮ้อ ต้องโทษอาจารย์ที่ทำอะไรง่ายๆ สบายๆมากเกินไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่ไร้เทียมทานในต่างโลก
มีต่อไหม...