ภายในสถานที่ทดสอบของนิกายจูเซียน
บานประตูสีทองค่อยๆสลายเป็นละอองแสงอย่างช้าๆ ร่างของเหยียนซืออู่ก็ปรากฏแทนตำแหน่งของประตูบานนั้น ตามตัวของเขามีบาดแผลเลือดออกอยู่เล็กน้อย
“ เสียใจด้วย…เธอไม่ผ่านการทดสอบ ”
!!
คำพูดหยวนตี้สร้างความตกใจให้พวกจ้าวเทียนทุกคน ฝีมือของเหยียนซืออู่นั้นทุกคนต่างก็รู้ดี ทั้งยังมีเคล็ดวิชาเทวะอีกด้วย แล้วจะไม่ผ่านการทดสอบได้อย่างไร
“ ท่านตา…เกิดอะไรขึ้น ” จ้าวเทียนถามขึ้นด้วยความสงสัย
เหยียนซืออู่หันไปมองหยวนตี้เล็กน้อย เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าอนุญาตเขาจึงเล่าออกมา
“ ตาพ่ายแพ้ต่อจิตมารของตัวเอง…ในการทดสอบด่านที่สี่” เหยียนซืออู่พูดออกมาด้วยความผิดหวัง
หลังจากนั้นเขาก็อธิบายรายละเอียดการทดสอบให้ทุกคนฟัง ซึ่งในสองด่านแรก ก็เหมือนกับที่จ้าวเทียนเจอมา เขาสามารถผ่านมาได้อย่างไม่ยากเย็น
ส่วนด่านที่สามจะเป็นการทดสอบด้านไหวพริบการตัดสินใจ ด้วยการจำลองสถานการณ์ในอดีต ทำให้ต้องใช้เวลานาน แต่เหยียนซืออู่ก็สามารถผ่านมันมาได้
แต่ในด่านที่สี่นั้น เป็นการต่อสู้กับจิตมารของตัวเอง ซึ่งบททดสอบได้แปลงกายเป็นลูกสาวของเขาเอง ทำให้ต้องพ่ายแพ้ในที่สุด
ในช่วงชีวิตของเหยียนซืออู่ที่ผ่านมานั้น เขารู้สึกผิดต่อลูกสาวที่สุด ตั้งแต่ภรรยาของเขาตายไป ลูกสาวก็เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจมาโดยตลอด
แต่ภายหลังเขากลับวุ่นวายอยู่แต่สำนัก จนละเลยลูกสาวไป สุดท้ายแล้วก็เกิดเหตุเมื่อ 8 ปีก่อนขึ้น ทำให้ตอนนี้เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าลูกสาวยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ในใจของเขาเองก็กังวลกับเรื่องนี้ทุกเวลา
ในการต่อสู้กับจิตมารที่พลังเท่าเทียมกันทุกอย่าง การลังเลเพียงเสี้ยววินาทีก็สามารถตัดสินผลแพ้ชนะได้เลย
เมื่อได้ยินรายละเอียดการทดสอบ จ้าวเทียนก็มีแววตาจริงจังขึ้น ในใจเขาครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ในอดีต
‘ ฉันจำได้ว่าในชาติที่แล้วตอนจะบรรลุขอบเขตเทพโลกา ก็ต้องกำจัดจิตมารของตัวเอง การทดสอบนี้จัดว่ายากเป็นอย่างมาก ’
‘ ไม่แน่ว่า…ตอนจะบรรลุขอบเขตเซียนทิพย์ก็คงเหมือนกัน คงต้องเตรียมตัวเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆจะดีกว่า ’
ผ่านไปไม่นาน
พวกจ้าวเทียนก็บอกลาหยวนตี้ แล้วออกมาจากคลังสมบัติลับ วันนี้การเดินทางมาที่นี่ของพวกเขาถือว่าได้ผลตอบรับดีมาก ทั้งอาวุธ สมุนไพร และคัมภีร์จำนวนมาก อีกทั้งยังได้ข้อมูลที่สำคัญมาอีกด้วย
ในขณะที่จ้าวเทียวก้าวเท้าออกมาจากมิติลับนั้น โทรศัพท์ของเขาก็ส่งสัญญาณแจ้งเตือนมาไม่หยุด
หืม
‘ เกิดอะไรขึ้น…ใครโทรมาหลายสายขนาดนี้ ’
“ (11) สายไม่ได้รับ เฉินจิ้ง ”
!!
จ้าวเทียนรีบโทรกลับไปทันที หลังจากคุยไปประมาณสิบนาที ทำให้เขาพอจะเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นในที่สุด
‘ ข้อมูลลับของหน่วยรบพิเศษผิดพลาดไปเยอะมาก…ฉันไม่คิดว่าปีศาจสาวพวกนั้นจะสร้างขุมกำลังขึ้นมาได้ใหญ่โตขนาดนี้ ’
‘ โชคดีที่ศิษย์พี่หญิงได้จัดการปัญหาเบื้องต้นให้แล้ว กลับไปฉันต้องเอาเรื่องนี้เข้าที่ประชุมกับผู้อาวุโสต้วนมู่อีกครั้ง ’
“ พวกเรา…กลับกันเถอะ ” จ้าวเทียนหันไปบอกกับทุกคน
ย้อนกลับไปประมาณ 1 ชั่วโมงก่อน
ณ ทะเลสาบมรกต เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้าเกือบหมื่นเมตร ชายชราชุดขาวยืนอยู่บนก้อนเมฆอย่างใช้ความคิด ด้านหน้าเขามีแผนผังแปดทิศหมุนทวนเข็มอย่างรวดเร็ว
ชายชราผู้นี้ก็คือ เทพมังกรอ๋าวเฟิง เขาได้มาถึงสถานที่แห่งนี้นานแล้ว แต่เหตุผลที่ยังไม่ได้ลงไปเพราะ เขาสัมผัสได้ว่ามียอดฝีมือระดับสูงสุดถึงสามคนเฝ้าอยู่ แม้ว่าเขาจะมั่นใจในฝีมือของตัวเองว่าสามารถเอาชนะพวกนั้นได้
แต่เขาก็ไม่ต้องการเปิดเผยพลังของตัวเอง อีกอย่างการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องบุญคุณความแค้นของมนุษย์มันผิดหลักการของเขา
‘ ตอนนี้ยอดฝีมือสามคนนั้นออกไปแล้ว…เหลือแต่ตัวผู้ที่รู้ศาสตร์ทำนายเพียงคนเดียว แม้ว่าอีกฝ่ายจะใช้อำพรางสวรรค์ทำให้ฉันไม่รู้ตัวตน แต่การบอกสถานที่ให้ฉันรู้นั้นถือว่าพลาดมหันต์ ’
‘ ในอาณาเขตร้อยกิโลเมตรรอบพื้นที่ตรงนี้…ไม่มีใครซ่อนตัวจากฉันได้เด็ดขาด ’
!!
ตรงนั้น!
เพียงพริบตาเดียว ร่างของอ๋าวเฟิงก็มาปรากฏตัวอยู่ในห้องทำงานของจ้าวเทียน โดยที่พวกบอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ด้านนอกไม่ได้รู้สึกตัวแม้แต่น้อย
หลังจากที่หลินซูซินพาไป๋ซู่เจินและซูต๋าจี่ออกไปแล้ว ในทะเลสาบมรกตตอนนี้ ก็เหลือเพียงโม่ซินหยานที่มีพลังต่อสู้ทัดเทียมกับขอบเขตเซียน
แต่เนื่องจากเธอถูกจัดเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ ไม่ได้ฝึกฝนสัมผัสวิญญาณมาก่อน จึงไม่รู้ถึงตัวตนของอ๋าวเฟิง
ภาพที่อ๋าวเฟิงมองเห็นในตอนนี้คือมีช่องว่างมิติที่ถูกบิดเบือนอยู่ตรงด้านหลังชั้นหนังสือขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยอีกด้วย
‘ ที่แท้ก็หลบอยู่ตรงนี้เอง…อีกฝ่ายน่าจะรู้ตัวแล้ว แต่ก็แค่นั้นแหละ ’
หลังจากเตรียมตัวอีกเล็กน้อย เขาก็สลายเขตแดนผนึกทั้งหมด แล้วเดินเข้าประตูมิติไป ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนวางแผนล่อให้เขาออกมา ย่อมไม่คิดหลบหนีแน่นอน
ภาพทุ่งดอกไม้และสิ่งปลูกสร้างด้านในช่องว่างมิติ ไม่ได้สร้างความแปลกใจให้อ๋าวเฟิงนัก เพราะเขาเองก็ทำได้เช่นกัน
หลังจากที่เดินมานั่งลงตรงโต๊ะน้ำชา ที่หลินซินเยว่จัดเตรียมเอาไว้ อ๋าวเฟิงก็สังเกตหญิงงามที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยดวงตาที่เปล่งแสงสีขาวจางๆออกมา
“ ร่างจำแลง…ที่สร้างจากเสี้ยวดวงวิญญาณงั้นเหรอ ดูจากกระแสพลังในร่าง คงจะอยู่ในขอบเขตเทพโลกา ”
“ ใช่แล้ว…คุณเองก็เป็นร่างจำแลงเหมือนกันสินะ ถ้าฉันคำนวณไม่ผิดคุณสามารถดึงดูดพลังจากร่างต้นมาได้ตลอดเวลา ”
“ พลังที่คุณสำแดงออกมาได้ในพื้นที่ปิดกั้น ก็คงจะประมาณขอบเขตเทพโลกาเช่นกัน ”หลินซินเยว่พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม เธอเองก็มองตัวตนของอ๋าวเฟิงออกเช่นกัน
“ เอาล่ะ…บอกจุดประสงค์มาได้แล้ว ทำไมถึงใช้ศาสตร์ทำนายกับฉัน ทั้งที่พวกเราไม่ได้เรื่องขัดใจกันมาก่อน ” อ๋าวเฟิงเปิดประเด็นอย่างจริงจัง
แม้ว่าเขาจะมีบุคลิกเป็นมิตรที่สุดในบรรดาร่างแยกดวงวิญญาณทั้ง 9 ตัว แต่การกระทำของหญิงสาวตรงหน้ามันทำให้เขาโมโหมาก ถ้าอีกฝ่ายไม่ให้เหตุผลที่ดีพอ คงได้ต่อสู้กันแน่
แต่ผ่านไปครู่หนึ่ง หลินซินเยว่ก็ไม่ได้ตอบอะไรออกมา
แถมเธอยังยกแก้วน้ำชาขึ้นมาจิบเล็กน้อยอย่างสบายใจ แม้ว่าสีหน้าและท่าทีของเธอทำให้อ๋าวเฟิงรู้สึกแปลกๆ
แต่เขาเองก็ไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย เพราะหากอยู่ในขอบเขตเดียวกัน เผ่าพันธุ์มังกรจะแข็งแกร่งกว่ามนุษย์มากนัก
ทันใดนั้นเอง
ครืนนน!
ช่องว่างมิติทั้งหมดก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จากนั้นทุ่งดอกไม้และตัวตึกที่เห็นในตอนแรกก็สลายกลายเป็นละอองแสง รวมทั้งประตูที่อ๋าวเฟิงใช้เข้ามาก็หายไปด้วย
วิ้งง!
ตรงพื้นใต้โต๊ะน้ำชา ถูกวาดเป็นเขตอาคมขนาดเล็กทับซ้อนกันอย่างหนาแน่น มันถูกแอบซ่อนเอาไว้ไม่ให้ใครสังเกตเห็น
!!
“ นี่มัน…อาคมเคลื่อนย้ายมิติ ! ” อ๋าวเฟิงลุกขึ้นร้องออกมาด้วยความตกใจ พลังของเขาระเบิดออกมาอย่างรุนแรง เพื่อที่จะลงมือขัดขวางเอาไว้
แต่มันก็สายไป…
แวบบ
แสงสีขาวได้สว่างจ้าขึ้น จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดก็หายไป ตอนนี้ห้องลับหลังชั้นหนังสือได้ถูกย้ายไปที่อื่นแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
ดีๆๆเดินเรื่องดี...
ต่อๆไป...
ขอบคุณทีมงานที่นำเรื่องดีๆมาลงให้อ่าน...