หลังจากที่ได้ตัดสินใจแล้ว คังหลินก็เริ่มหลอมรวมกับร่างชายหนุ่มที่จ้าวเทียนไปหามา ซึ่งมันต้องใช้เวลาซักพัก ในระหว่างนี้จ้าวเทียนจึงเริ่มสำรวจบริเวณโดยรอบดู เพราะเขาพบว่าสถานที่แห่งนี้เพิ่งการต่อสู้กันขึ้น
ไม่สิ…ต้องเรียกว่าการฆ่าสังหารเพียงฝ่ายเดียวมากกว่า
ภาพที่อยู่ตรงหน้าจ้าวเทียน คือซากศพชายสวมหน้ากากปีศาจสีดำ นอนตายอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ละศพเต็มไปด้วยบาดแผลของอาวุธมีคมมากมาย
มีเพียงห้าศพเท่านั้นที่มีการแต่งกายด้วยชุดสวมใส่ที่ต่างออกไป ซึ่งดูเหมือนมาจากกองกำลังฝ่ายตรงข้ามของชายสวมหน้ากาก
‘ กองกำลังที่สวมหน้ากากทั้งหมดสามสิบศพ…เหมือนกับโดนซุ่มโจมตีด้วยกองกำลังที่มีจำนวนมากว่าหลายเท่า ดูจากรอยบาดแผลแล้ว ฝ่ายศัตรูคงมีจำนวนมากว่าเกือบสามเท่า ’
‘ ส่วนระดับพลังฝีมือน่าจะทัดเทียมกัน คือขอบเขตผู้เชี่ยวชาญขั้นสูง แต่ฝ่ายตรงข้ามอาจจะมีปรมาจารย์นำทัพด้วยตนเอง ทำให้คุมความได้เปรียบ ’
จากนั้นจ้าวเทียนก็เดินมาตรงจุดที่เขาพบร่างของชายหนุ่มชุดดำที่ศิษย์พี่รองกำลังหลอมรวมอยู่
‘ ดูจากรูปการแล้ว...ชายสวมหน้ากากคงเป็นผู้คุ้มกันของชายหนุ่มคนนั้น ทุกคนยอมต่อสู้จนตัวตายเพื่อให้เจ้านายหนีรอด แต่สุดท้ายมันกลับล้มเหลว เพราะศัตรูได้วางแผนมาล่วงหน้าทั้งยังรู้ข้อมูลจำนวนผู้คุ้มกันเป็นอย่างดี ’
ทันใดนั้นจ้าวเทียนก็สังเกตเห็นซากศพหนึ่ง ซึ่งดูแตกต่างจากคนอื่น หน้ากากที่เขาสวมใส่มีสัญลักษณ์ขีดสีทองตรงกลางหน้าผาก
หมับ!
จ้าวเทียนเลยหยิบหน้ากากอันนั้นออกมาดูด้วยความสนใจ
!!
‘ นี่มัน…ทำไมใบหน้าของเขาถึงถูกกรีดจนยับเยิน ดูจากรอยแผลน่าจะผ่านมาหลายปีแล้ว อย่าบอกนะว่าชายสวมหน้ากากทุกคนล้วนมีหน้าตาแบบนี้ ’
ในเวลาเดียวกันที่สำนักง้อไบ๊
หลังจากที่พวกจ้าวเทียนหนีรอดออกไปได้ ท่ามกลางเศษซากของสิ่งปลูกสร้างที่ถูกทำลาย แม้แต่ไพ่ตายป้องกันสำนักอย่างค่ายกลเก้าอิม ก็ยังถูกคังหลินหาช่องโหว่โจมตีจนได้รับความเสียหายอย่างหนัก
นี่เป็นความอัปยศในรอบห้าร้อยปีของสำนักง้อไบ๊ ที่พวกเขาจะต้องจดจำไปอีกนาน อีกทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้กระทบต่อความเชื่อมั่นของเหล่าศิษย์ภายในสำนักทุกคนอย่างรุนแรง
ศัตรูมีเพียงชายหนุ่มรุ่นเยาว์แค่สองคนเท่านั้น แต่กลับสามารถทลายวงล้อมของพวกเขาหนีออกไปได้ เรื่องเช่นนี้ต่อให้อยากปกปิดแค่ไหนก็คงไม่มีทางทำได้ หลังจากนี้สำนักง้อไบ๊คงได้กลายเป็นตัวตลก ให้บรรดาสำนักอื่นดูถูกแน่นอน
“ รายงานความเสียหายทั้งหมด…มาเดี๋ยวนี้ ” ผู้อาวุโสสองถามขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ภายในใจของเธอรู้สึกร้อนรน และอับจนปัญญา ในขณะที่เจ้าสำนักและผู้อาวุโสใหญ่ไม่อยู่ ตัวเธอถือเป็นผู้นำของสถานที่แห่งนี้
แน่นอนว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ย่อมเป็นความรับผิดชอบของเธอโดยตรง นอกจากชื่อเสียงจะถูกทำลายแล้ว บางทีตำแหน่งเดิมอาจจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วจะไม่ให้เธอกังวลได้อย่างไร
“ เรียนผู้อาวุโสสอง…การต่อสู้ครั้งนี้ ผู้อาวุโสเซียนขั้นสูงสองคนเสียชีวิต อีกสามคนบาดเจ็บสาหัส ส่วนผู้อาวุโสเซียนขั้นกลางทั้งเจ็ดคน ไม่มีใครรอดชีวิตค่ะ ”
บูมมม!
พลังของผู้อาวุโสสองปะทุออกมาอย่างรุนแรง มือซ้ายของเธอกำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ ทำให้มีเลือดไหลซึมออกมา
‘ เลวมาก…การโจมตีครั้งสุดท้ายของจ้าวเทียนถึงกับสังหารเซียนไปเก้าคน เราจะปล่อยให้มันมีชีวิตรอดไปจากโลกแห่งนี้ไม่ได้เด็ดขาด ’
‘ จากข้อมูลที่ได้รับมา…ชายคนนั้นมีอายุเพียงแค่ยี่สิบปีเท่านั้น เขายังไม่เติบโตจนเต็มที่เลยด้วยซ้ำ แม้แต่ต้วนมู่เฉียนก็ยังไม่มีศักยภาพที่น่ากลัวถึงเพียงนี้ ’
‘ หากรอจนจ้าวเทียนบรรลุถึงขอบเขตครึ่งก้าวเซียนนภา พวกเราเหล่าสำนักโบราณคงไม่มีใครหยุดเขาได้แน่นอน ’
เมื่อแม่ชีวัยกลางคนที่เข้ามารายงาน เห็นผู้อาวุโสสองกำลังพยายามสงบสติอารมณ์อยู่ เธอจึงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะรายงานต่อ
“ ส่วนเหล่าศิษย์ระดับปรมาจารย์…เพราะได้ผู้อาวุโสเหล่านั้นปกป้อง เลยไม่มีใครเสียชีวิต ทางด้านค่ายกลเก้าอิมที่ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง จำเป็นต้องใช้เวลาซ่อมแซมหนึ่งเดือน และหินวิญญาณระดับกลางสองพันก้อน ”
“ ว่าไงนะ…หินวิญญาณระดับกลางสองพันก้อนงั้นเหรอ ” ผู้อาวุโสสองพูดออกมาด้วยเสียงอ่อนแรง
‘ แม้แต่เหมืองขนาดใหญ่ที่เรายึดครองอยู่ ยังผลิตได้เพียงปีละห้าร้อยก้อนเท่านั้น อีกทั้งมันยังเป็นทรัพยากรที่จำเป็น สำหรับการบ่มเพาะยอดฝีมือขอบเขตเซียน ’
‘ มันคงไม่สามารถแบ่งมาใช้ซ่อมแซมค่ายกลเก้าอิมได้หรอก…นี่หมายความว่าพวกเราจะต้องขอความช่วยเหลือจากสำนักอื่น และคงต้องทนรับเงื่อนไขที่เสียเปรียบแน่นอน ’
ทันใดนั้น
!!
ส่วนนักพรตชราอีกคนก็คือเฮ้งหยวนจือ ซึ่งเป็นเจ้าสำนักสำนักช้วนจินก่า อยู่อันดับที่สี่ในสมาพันบู๊ลิ้ม และยังดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดตำหนักลงทัณฑ์แห่งสมาพันธ์อีกด้วย
ภายในโลกแห่งนี้ ได้มีการขนานนามห้ายอดฝีมือแห่งยุคว่า "ห้าเสาหลัก" อันได้แก่
อันดับหนึ่ง สมณะคิ้วขาว แห่งวัดเส้าหลิน
อันดับสอง อั้งฮวงหลง แห่งพรรคกระยาจก
อันดับสาม นักพรตฮวยเหล็ง แห่งสำนักบู๊ตึ๊ง
อันดับสี่ เฮ้งหยวนจือ แห่งสำนักช้วนจินก่า
อันดับห้า จินเก็งซือไท่ แห่งสำนักง้อไบ๊
ถึงแม้ว่าจะไม่เคยมีใครเห็นการประลองกันเองของทั้งห้าเสาหลักมาก่อน แต่เนื่องจากการจัดอันดับนี้มีมานานเกือบสามร้อยปีแล้ว และตัวของห้าเสาหลักเองก็ไม่ได้โต้แย้งใดๆ ทำให้ทุกคนในสมาพันธ์บู๊ลิ้มยอมรับการจัดอันดับนี้โดยปริยาย
ตอนนี้ ยกเว้นวัดเส้าหลินและพรรคกระยาจก เจ้าสำนักใหญ่ทั้งสามก็ได้มารวมตัวกันที่สำนักง้อไบ๊เรียบร้อยแล้ว ส่วนชายวัยกลางคนชุดดำก็คือ ประมุขนิกายหมื่นภูติ เจ้าของธงวิญญาณแค้น ที่ถูกจ้าวเทียนแย่งชิงไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลังจากที่ได้ฟังเหตุการณ์ทั้งหมดจากผู้อาวุโสสอง เจ้าสำนักทั้งสามจึงปรึกษากันเองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ นับว่าเรามาช้าไปเพียงก้าวเดียวเท่านั้น…ตอนนี้อีกฝ่ายคงหนีไปไกลแล้ว ชายคนที่มาพร้อมกับจ้าวเทียนน่าจะมีความสามารถด้านมิติและค่ายกลระดับสูง ถึงสามารถใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายทะลวงผ่านม่านคุ้มกันของค่ายกลเก้าอิมได้ ” เฮ้งหยวนจือพูดขึ้นอย่างผิดหวัง
เมื่อได้รับข่าว พวกเขาอุตส่าห์เร่งเดินทางเต็มกำลัง ไม่นึกว่าสุดท้ายก็ยังคงช้าไปอยู่ดี แต่เรื่องนี้จะโทษพวกเขาก็ไม่ได้
เพราะกฎเกณฑ์ของโลกใบเล็กได้จำกัดการเหาะเหิน และสัมผัสวิญญาณของขอบเขตเซียนเอาไว้
ในโลกแห่งนี้ สามารถเหาะได้สูงเพียงสามพันเมตรเท่านั้น อีกทั้งความเร็วที่ใช้ได้ก็เพียงหนึ่งส่วนของความเร็วปกติ สัมผัสวิญญาณเองก็เช่นเดียวกัน มันถูกลดอาณาเขตเหลือเพียงหนึ่งส่วนเท่านั้น
นี่เป็นสิ่งที่เทพผู้สร้างได้กำหนดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อห้าร้อยปีก่อน ไม่มีผู้ใดสามารถฝ่าฝืนได้ ไม่อย่างนั้นจะถูกขับไล่ออกไปทันที ซึ่งมันก็ไม่ต่างไปจากการฆ่าตัวตาย
เพราะโลกใบนี้ตั้งอยู่ในช่องว่างมิติ ใครที่ถูกขับไล่ออกไป ก็จะถูกพายุมิติอันน่าหวาดกลัวฉีกกระชากร่างกายออกเป็นชิ้นๆทันที
“ จากที่ได้ฟังมา…เพื่อที่จะฝืนสำแดงกระบวนท่าที่แข็งแกร่งแบบนั้น ป่านนี้อีกฝ่ายคงยังได้รับบาดเจ็บอยู่ พวกเราต้องไม่ปล่อยให้เขาฟื้นตัวได้ ” นักพรตฮวยเหล็งพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง
วูป!
แผ่นป้ายสีทองได้ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเจ้าสำนักบู๊ตึ๊ง มันเปล่งออร่าอันลี้ลับออกมา ทำให้ปราณฟ้าดินรอบๆปั่นป่วนขึ้นทันที
“ ป้ายประกาศิตบู๊ลิ้ม! ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
ดีๆๆเดินเรื่องดี...
ต่อๆไป...
ขอบคุณทีมงานที่นำเรื่องดีๆมาลงให้อ่าน...