จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน นิยาย บท 213

หลังจากเก็บแหวนมิติวงนั้นเรียบร้อย จ้าวเทียนก็หันไปมอง ชายวัยกลางคนในชุดผู้อาวุโสที่เพิ่งมาถึง เขารู้สึกแปลกใจที่จับความรู้สึกไม่เป็นมิตรจากอีกฝ่ายได้

‘ พ่อของเล่งซิงอี่…คงไม่ได้โกรธฉันที่ขายป้ายตัวแทนไปใช่ไหม แต่ของที่องค์หญิงเสนอมาให้ มันก็เป็นสิ่งที่ฉันต้องการจริงๆ ’

‘ ช่างเถอะ…ถ้าเขาไม่อยากให้ฉันร่วมงานชุมนุมกระบี่เพราะเรื่องนี้ ก็ไม่เป็นไร วันนี้ถือว่าฉันบรรลุจุดประสงค์ที่มาแล้ว ’

เหตุผลที่จ้าวเทียนมาร่วมงานชุมนุมกระบี่ ก็เพื่อสังเกตเคล็ดวิชากระบี่ของสำนักโบราณต่างๆ อีกทั้งยังต้องการศึกษาดูสี่กระบวนท่าแรกของเคล็ดวิชาระดับสูงอย่างเก้ากระบี่เดียวดาย เพราะมันจะช่วยเขาในการตระหนักรู้ขอบเขตขั้นต่อไป ของเจตน์แห่งกระบี่

สิ่งที่อยู่ในแหวนมิติขององค์หญิงจูม่านฉีก็คือ คัมภีร์เคล็ดวิชากระบี่เกือบร้อยเล่ม ทั้งจากของสำนักโบราณและของโลกหมิงหลงเอง ซึ่งมันเหนือกว่าที่ตระกูลฉินเก็บเอาไว้มาก

ต้องรู้ก่อนว่า ตระกูลฉินเมืองเหล็กดำเป็นเพียงเจ้าของเมืองชายแดนเท่านั้น คัมภีร์เคล็ดวิชาที่พวกเขารวบรวมมาได้ ย่อมต้องด้อยกว่าหอคัมภีร์ของเมืองหลวงประจำแคว้นอยู่แล้ว

ฐานะที่จ้าวเทียนใช้อยู่ตอนนี้เป็นเพียง ผู้อาวุโสของกองกำลังเงาปีศาจ เขาย่อมไม่มีโอกาสเข้าไปในหอคัมภีร์ลับของแคว้นต้าฉินแน่นอน

‘ บางที…แหวนมิติหยกม่วงขององค์หญิงแคว้นต้าหมิง อาจจะเป็นคลังลับเคล็ดวิชาของทั้งแคว้นเลยก็ได้ ที่เธอทำก็คือการแบ่งเอาเฉพาะเคล็ดวิชากระบี่มามอบให้ฉัน ’

‘ จากที่ตรวจดูเมื่อครู่…ในนั้นมีเคล็ดวิชาส่วนแรกของเพลงกระบี่ตั๊กม้ออยู่ด้วย นี่เป็นเคล็ดวิชาลับของวัดเส้าหลิน ที่มีชื่อเสียงเทียบเท่ากับคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นเลยทีเดียว ’

‘ เมื่อรวมกับเพลงกระบี่ไท่เก๊กที่ฉันเพิ่งได้เรียนรู้ไป ก็จะเท่ากับว่าฉันมีเคล็ดวิชากระบี่สูงสุดของทั้งพุทธและเต๋าไว้ในครอบครอง ขอเพียงให้เวลาฉันศึกษาสองวิชานี้อย่างถ่องแท้ ก็น่าจะสามารถบรรลุขอบเขตขั้นต่อไปได้ ’

ในขณะที่จ้าวเทียนกำลังครุ่นคิดถึงศาสตร์กระบี่จนลืมตัว ผู้อาวุโสเล่งซูหยินก็เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าเย็นชา

“ ลูกชายฉันอยู่ที่ไหน ”

!!

หืม..

‘ เขาถามหาลูกชายงั้นเหรอ… ’

จ้าวเทียนอึ้งไปครู่หนึ่ง ด้วยความสับสน เขาไม่รู้ว่าจะตอบอีกฝ่ายอย่างไรดี แต่ดูจากท่าทางโมโหแบบนี้ เขาน่าจะไม่อยากให้ลูกชายไปใกล้ชิดกับคนตระกูลฉินแน่นอน

ซึ่งจะโทษจ้าวเทียนก็ไม่ได้ เพราะไม่มีใครเล่าเรื่องน้องสาวคังหลินให้เขาฟัง จึงไม่รู้ว่าพ่อลูกตระกูลเล่งทะเลาะกันใหญ่โตเพราะเรื่องนี้

อีกทั้งเล่งซิงอี่เองก็สัญญากับพ่อของเขาไว้ ว่าจะกลับมาเข้าร่วมงานชุมนุมกระบี่ แต่สุดท้ายกลับส่งจ้าวเทียนมาแทน แล้วจะไม่ให้ผู้อาวุโสเล่งซูหยินโมโหได้อย่างไร

“ ถ้าคุณหมายถึงเล่งซิงอี่…ตอนนี้เขากำลังตรวจสอบเรื่องบางอย่างอยู่ที่เมืองเหล็กดำ เพราะเมื่อวานได้มีเซียนจากสำนักซงซาน บุกเข้ามาเข่นฆ่าสังหารผู้คนในจวนเจ้าเมือง ” จ้าวเทียนตอบกลับไปด้วยเสียงทางลมปราณเพื่อให้ได้ยินกันสองคน เขาแอบพูดช่วยเล่งซิงอี่เล็กน้อย

จ้าวเทียนรู้ดีว่า เรื่องที่มีเซียนสองคนถูกฆ่าตาย อีกไม่นานก็คงแพร่กระจายไปทั่วอย่างแน่นอน ก็เลยชิงเล่าให้อีกฝ่ายฟังก่อน จะได้สังเกตดูท่าทีของสำนักหัวซานว่ามีส่วนรู้เห็นด้วยหรือไม่

‘ ถ้าฉันทำให้สำนักอื่นๆจับตามองสำนักซงซานเป็นพิเศษ พวกเขาคงจะไม่กล้าลงมือกับเมืองเหล็กดำเร็วๆนี้แน่นอน ’

“ ว่าไงนะ…ไหนเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉันฟังสิ ” ผู้อาวุโสเล่งซูหยินมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

จ้าวเทียนดูออกว่า ท่าทีของผู้อาวุโสเล่งซูหยินไม่ได้แกล้งทำ แสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับสำนักหัวซาน

ดังนั้นจ้าวเทียนจึงเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้ฟัง โดยปิดบังเรื่องเหมืองวิญญาณระดับสูงกับรายละเอียดของการต่อสู้เอาไว้ เขาบอกเฉพาะผลการต่อสู้ ที่เซียนจากสำนักซงซานสองคนถูกสังหารเท่านั้น

เนื่องจากพวกเขาทั้งสองคนพูดคุยกันด้วยเสียงทางลมปราณ ทำให้คนอื่นที่อยู่รอบๆ มองเห็นจ้าวเทียนและผู้อาวุโสเล่งซูหยิน ยืนมองหน้ากันเงียบๆไม่ทำอะไรมาหลายนาทีแล้ว

“ สหายฉินหวง…งั้นพวกฉันเข้าไปก่อนนะ ไว้เจอกันในงาน ” องค์หญิงจูว่านฉีหันมาบอกจ้าวเทียน ก่อนจะพาคนของเธอจากไป

จ้าวเทียนที่ได้ยินก็พยักหน้าเบาๆ เพราะเขาอาจจะต้องอยู่คุยกับผู้อาวุโสเล่งซูหยินอีกพักใหญ่ เพราะดูแล้วอีกฝ่ายยังไม่ค่อยเชื่อเรื่องราวที่เขาเล่ามากนัก

“ ผู้อาวุโสเล่ง…คุณจะจัดการยังไง ฉินหวงได้ขายป้ายตัวแทนให้คนอื่น ต่อหน้าผู้คนมากมาย เรื่องนี้มันจะทำให้สำนักหัวซานของพวกเราเสียชื่อเสียงไปได้ ” เซียวคงอู่พูดเปิดประเด็นขึ้น

“ คารวะ…ผู้อาวุโสเซียวเฉิน ”

ผู้คุมการทดสอบทั้งหมดรีบทำความเคารพทันที เพราะชายคนนี้คือผู้อาวุโสสองฝ่ายลมปราณ มีพลังสูงกว่าเล่งซูหยินหนึ่งขั้น

“ พ่อต้องจัดการเรื่องนี้ให้ฉันนะ ” เซียวคงอู่รีบพูดออกมาทันที เขาเป็นคนใช้แผ่นหยกสื่อสารเรียกพ่อของเขาออกมาเอง

“ ผู้อาวุโสเซียว…คุณหมายความว่ายังไง ชายคนนี้เป็นคนที่ฉันเลือกเอง เขามีคุณสมบัติเหนือล้ำกว่าคนอื่นแน่นอน ” ผู้อาวุโสเล่งซูหยินพูดออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ฝ่ายกระบี่กับฝ่ายลมปราณนั้น เป็นเสมือนคู่อริกันมาโดยตลอด

แม้ว่างานครั้งนี้จะมีฝ่ายกระบี่เป็นหัวเรือใหญ่ แต่เนื่องจากเจ้าสำนักหัวซานเป็นคนจากฝ่ายลมปราณ ทำให้นโยบายต่างๆเอนเอียงเข้าข้างฝ่ายลมปราณตลอด สังเกตง่ายๆจากงานครั้งนี้ ที่มีคนของฝ่ายลมปราณเกือบครึ่งเป็นผู้ดูแล

“ ฉันทำตามกฎ…การกระทำเมื่อครู่ของเขา ทำให้สำนักของเราเสียชื่อเสียง ดังนั้นเขาจึงไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมงาน ” ผู้อาวุโสเซียวเฉินพูดออกมาด้วยท่าทีเฉยชา

“ เรื่องนั้นฉันรู้ดี…แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็เป็นของจริงเช่นกัน งานชุมนุมครั้งนี้เปิดรับผู้มีความสามารถทุกคนอยู่แล้ว ” ผู้อาวุโสเล่งซูหยินพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง

“ ผู้มีความสามารถงั้นเหรอ…คุณล้อฉันเล่นหรือเปล่า สุนัขที่ตระกูลฉินเลี้ยงเอาไว้เนี่ยนะ ก็ได้ฉันยอมรับว่าเขามีพลังฝีมือเหนือกว่าปรมาจารย์ปกติ แต่คงสู้อัจฉริยะที่แท้จริงของพวกเราไม่ได้หรอก ”

“ ต่อให้เขาสามารถผ่านการทดสอบขั้นพื้นฐานได้ แต่การที่เขาซื้อขายป้ายอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ มันเป็นการไม่ให้เกียรติสำนักของพวกเรา ”

“ ดังนั้น…ฉันขอตัดสินว่าเขาขาดคุณสมบัติ ” ผู้อาวุโสเซียวเฉินพูดขึ้นอย่างมีเหตุผล ทำให้ทุกคนที่ได้ยินเริ่มคล้อยตาม

“ เรื่องนี้… ” ผู้อาวุโสเล่งซูหยินหยุดคิดเล็กน้อย จากนั้นเขาก็คิดวิธีขึ้นมาได้

‘ ทำไมฉันไม่ใช้โอกาสนี้…ตรวจสอบความสามารถที่แท้จริงของเขาล่ะ’

เมื่อคิดได้ ผู้อาวุโสเล่งซูหยินก็หันไปถามจ้าวเทียนด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ นายอยากเข้ารับการทดสอบระดับสูงสุดของพวกเราไหม โดยการต่อสู้กับหุ่นเหล็กทั้งสามตัวพร้อมกัน ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน