จ้าวเทียนที่ได้ยินเสียงร้องห้าม เขาก็หยุดมือทันที
ผู้ที่มาใหม่คงจะเป็นระดับเจ้าสำนักหรือไม่ก็ผู้อาวุโสสูงสุดแน่นอน เพราะจ้าวเทียนสัมผัสได้ถึงขอบเขตเซียนขั้นสูงสุด จากความกดดันที่ปลดปล่อยลงมา
จุดประสงค์ของเขาอยู่ที่การเข้าร่วมงานชุมนุมกระบี่ ไม่ได้มาก่อเรื่องวุ่นวายให้สำนักหัวซาน หากเขาทำอะไรลงไปโดยไม่คิดให้ดีเสียก่อน มันจะกลายเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว
หุ่นเหล็กที่แข็งแกร่ง และมีความสามารถในการคิดคำนวณการต่อสู้ด้วยตัวเองแบบนี้ มูลค่าของมันย่อมมหาศาลแน่นอน ถ้าต้องเสียพวกมันไป สำนักหัวซานก็เหมือนถูกเฉือนเนื้อไปชิ้นหนึ่ง
แถมจ้าวเทียนก็ได้ทำลายหุ่นเหล็กไปแล้วหนึ่งตัว หากเขายังทำลายสองตัวที่เหลือไปด้วย แล้วสำนักหัวซานไม่มีตัวอื่นมาเปลี่ยนแทน คนที่มารอรับการทดสอบคงสาปแช่งเขาในใจแน่นอน
หลังจากการต่อสู้หยุดชะงักลง หุ่นเหล็กทั้งสองตัวก็ได้ถอยกลับไปยืนสงบนิ่งอยู่ที่เดิม ดวงตาของมันได้กลับมาเป็นสีดำ ข้อจำกัดห้ามสังหารมนุษย์ได้ถูกเปิดใช้อีกครั้ง
ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของผู้อาวุโสเซียวเฉิน เหมือนกับว่าเขารู้จักเจ้าของเสียงเป็นอย่างดี จึงรีบจัดการหุ่นพวกนั้นด้วยท่าทีร้อนรน
ไม่เฉพาะเพียงผู้อาวุโสเซียวเฉิน ที่ทำตัวแปลกไป หลังจากได้เสียงของเซียนคนนั้น เซียนคนอื่นๆเองก็เช่นกัน พวกเขาบางคนมีสีหน้าแสดงออกถึงความเคารพบูชาเจ้าของเสียง
แต่ก็มีบางคนที่มีสีหน้าเคร่งเครียดเพราะได้ทำความผิดมา ซึ่งคนพวกนั้น ก็คือผู้อาวุโสเซียวเฉินกับเซียนที่กับลูกชายของเขา
บนท้องฟ้า ชายคนหนึ่งได้เดินเหยียบอากาศลงมาอย่างช้าๆ แต่เพียงพริบตาเดียวเขาก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าจ้าวเทียนอย่างไร้ร่องรอย
“ คารวะ เทพกระบี่ ”
พวกสำนักหัวซานทุกคนก้มหัวพูดขึ้นพร้อมกัน ด้วยความเคารพ โดยเฉพาะอาวุโสเล่งซูหยินนั้นหัวของเขาก้มต่ำลงกว่าคนอื่นมาก เนื่องจากอีกฝ่ายมีความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีกับขุมกำลังของเขา
สำหรับผู้ที่อยู่ในฝ่ายกระบี่ทุกคน ต่างก็เคารพนับถือฟงอู๋หยางดุจเทพเจ้า น่าเสียที่ตลอดเวลาห้าสิบปีที่ผ่านมา เทพกระบี่แทบจะไม่ปรากฏตัวให้ใครเห็นเลย ซึ่งก็แน่นอนว่า ไม่มีใครกล้าไปรบกวนด้วย
‘ เทพกระบี่? หรือว่าจะเป็นฟงอู๋หยาง ’
จ้าวเทียนคิดขึ้นด้วยความตกใจ ถ้าถามว่าในสำนักห้าขุนเขากระบี่ทั้งหมด มีใครที่เขายังคงตึงมืออยู่บ้าง คำตอบก็คือเทพกระบี่คนนี้นี่เอง
จากข้อมูลที่กองกำลังเงาปีศาจรวบรวมไว้ พลังฝีมือที่แท้จริงของเทพกระบี่ฟงอู๋หยางนั้นอยู่ระดับเดียวกับเจ้านักใหญ่ทั้งห้า ซึ่งด้อยกว่าต้วนมู่เฉียนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ คารวะผู้อาวุโส…คุณมีธุระอะไรกับฉันหรือเปล่า ” จ้าวเทียนเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน อย่างไรตอนนี้เขาก็อยู่ในตัวตนของฉินหวง ซึ่งเป็นเพียงปรมาจารย์ขั้นกลางเท่านั้น ศักดิ์ฐานะของเขาอยู่ห่างจากอีกฝ่ายราวฟ้ากับดิน
“ นี่คุณ…. ” เทพกระบี่ฟงอู๋หยาง ไม่ได้พูดอะไรต่อ สายตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของจ้าวเทียน เหมือนสามารถมองทะลุหน้ากากที่เขาสวมอยู่ได้
แวบ!
ดวงตาของฟงอู๋หยางเปล่งประกายเฉียบคม ดุจกระบี่ที่หลุดออกจากฝัก
‘ แย่แล้ว! เขามีเจตจำนงกระบี่อันแข็งแกร่ง ทำให้เคล็ดวิชาอำพรางของศิษย์พี่รองใช้ไม่ได้ผล ’
ในตอนที่จ้าวเทียนปลอมตัวเป็นฉินหวง คังหลินได้มอบเคล็ดวิชาใช้ปิดปังโฉมหน้าจากการถูกสัมผัสวิญญาณตรวจสอบให้กับเขา
เนื่องจากตอนที่คังหลินอยู่บนแดนสวรรค์มักจะก่อเรื่องเป็นประจำ เขาจึงเชี่ยวชาญวิชาพวกนี้เป็นพิเศษ
จ้าวเทียนดูออกว่า ฟงอู๋หยางได้บรรลุขอบเขตเจตน์แห่งกระบี่ไปแล้วครึ่งขั้น แม้จะไม่อาจเทียบกับจ้าวเทียนได้ แต่เขาก็สามารถใช้เจตจำนงกระบี่อันคมกล้า ทำลายเคล็ดวิชาปลอมตัวและภาพลวงตาต่างๆได้สบาย
ทันใดนั้น
แววตาของจ้าวเทียนก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา
หากรอจนอีกฝ่ายเปิดโปงตัวจริงของเขา แล้วต้องถูกเซียนมากมายรุมสังหาร สู้ให้เขาเป็นฝ่ายเปิดฉากการต่อสู้เองดีกว่า มันอาจจะมีโอกาสให้พลิกสถานการณ์ได้
ครืนน!
ออร่าอันน่าสะพรึงกลัวระเบิดออกมาจากร่างของจ้าวเทียน มันแตกต่างจากที่เขาใช้ในตอนแรก สำหรับคู่ต่อสู้อย่างเทพกระบี่ หากจ้าวเทียนยังคงปิดบังพลังฝีมือไว้ คงต้องจบสิ้นแน่นอน
“ ช้าก่อนสหายน้อย…ฉันไม่ได้มีเจตนาที่จะเป็นศัตรูกับเธอ ” ฟงอู๋หยางส่งเสียงลมปราณบอกจ้าวเทียน พร้อมกับท่าทีแสดงความเป็นมิตร
“ คุณรู้ตัวจริงของฉันแล้วไม่ใช่หรือ ” จ้าวเทียนเองก็ส่งเสียงลมปราณถามกลับไปเช่นกัน
เลือดสายหนึ่งไหลออกมาจากมุมปากของผู้อาวุโสเซียวเฉิน ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บภายใน อาจจะต้องรักษาตัวอีกหลายเดือนทีเดียว อีกทั้งมันยังกระทบต่อการบรรลุขั้นพลังของเขาในอนาคตอีกด้วย
“ นี่…คุณลงมือกับฉันจริงๆ ” ผู้อาวุโสเซียวเฉินพูดออกมาด้วยใบหน้าซีดขาว นี่มันแตกต่างจากสิ่งที่เขาคิดไว้มาก
“ ทำไมฉันจะลงมือไม่ได้…คนผิดก็ต้องถูกลงโทษเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว แต่บทลงโทษของพวกแกยังไม่จบ หลังจากนี้เป็นเวลาสามปี แกกับลูกชายจะต้องไปนั่งสำนึกผิดต่อหน้ากำแพงที่ตำหนักลงทัณฑ์ ” เทพกระบี่ฟงอู๋หยางพูดออกมาด้วยท่าทีเฉยชา เหมือนกับสิ่งที่เขาทำมันไม่มีอะไรแปลก
“ คุณไม่ใช่เจ้าสำนักอีกต่อไปแล้ว…คุณไม่มีสิทธิ์มาทำกับฉันแบบนี้ ” ผู้อาวุโสเซียวเฉินเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ เขาคิดว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังหลงลืมตัวตนอยู่
“ หืม…แกนี่ฝึกวิชามากเกินไปจนสมองพังแล้วหรือ กฎข้อเดียวของโลกใบนี้ก็คือ ผู้เข้มแข็งกลืนกินผู้อ่อนแอ คนที่แพ้ก็เป็นได้แค่ขั้นบันไดให้คนที่ชนะเหยียบขึ้นไปเท่านั้น ”
“ ตำแหน่งเจ้าสำนักอะไรนั่น…สำหรับฉันมันเป็นแค่ภาพลวงตาไร้ประโยชน์ เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังที่แท้จริงแล้ว ทุกอย่างล้วนไม่มีคุณค่าให้พูดถึง ”
“ แกจะขอความช่วยเหลือจากเจ้าสำนักของแกก็ได้นะ…ถ้าเขามีความกล้าพอ ก็ให้มาเจอฉันได้เลย คงจะรู้อยู่แล้วว่าฉันอยู่ที่ไหน ” เทพกระบี่ฟงอู๋หยางพูดด้วยท่าทีเย้ยหยัน
“ ฉันจะบอกแน่…เจ้าสำนักจะต้องจัดการเรื่องนี้ให้ฉัน ตอนนี้มันไม่เหมือนกับยุคสมัยของคุณเมื่อห้าสิบปีก่อนอีกต่อไปแล้ว ” ผู้อาวุโสเซียวเฉินพูดด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น
“ ดูเหมือนแกจะมั่นใจมากสินะ…งั้นให้ฉันบอกความเป็นจริงให้แกรู้อย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะปัจจุบัน หรือในอดีต กระบี่ในมือของฉันนี่แหละคือกฎของสำนักหัวซาน ” เทพกระบี่ฟงอู๋หยางพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง ดวงตาของเขาเปล่งประกายเจิดจ้า ทำให้ผู้อาวุโสเซียวเฉินต้องเสียวสันหลังด้วยความหวาดกลัว
ผู้อาวุโสเล่งซูหยินมองภาพเหตุการณ์ทั้งหมด ด้วยความปลื้มปิติ นี่แหละคือตัวตนที่แท้จริงของเทพกระบี่ที่พวกเขาเคารพบูชา
“ ซูหยิน…จัดการเรื่องตรงนี้ให้เรียบร้อย ให้คนของเราพาคนผิดพวกนี้ไปลงโทษ แล้วค่อยตามไปหาฉันที่ยอดเขาเย้ยเมฆา ” เทพกระบี่ฟงอู๋หยางพูดทิ้งท้ายเอาไว้ ก่อนที่จะเดินไปหาจ้าวเทียน
“ รับทราบครับ…ผมจะรีบจัดการให้เร็วที่สุด ” ผู้อาวุโสเล่งซูหยินตอบรับด้วยท่าทีจริงจัง จากนั้นเขาก็รีบทำตามทันที
“ สหายน้อย…พวกเราไปหาที่พูดคุยกันเถอะ ” เทพกระบี่ฟงอู๋หยางพูดขึ้นด้วยท่าทางเป็นกันเอง แตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด สิ่งนี้ทำให้คืออื่นๆที่ได้ยินรู้สึกแปลกใจมาก
ฉินหวงคนนี้เป็นใครกัน เหตุใดเทพกระบี่จึงต้องให้เกียรติเขาเช่นนี้…
“ ตกลง ฉันก็มีเรื่องอยากถามคุณเช่นกัน ” จ้าวเทียนตอบรับด้วยแววตาเป็นประกาย
‘ ฉันไม่นึกเลย…ว่าเจ้าของเคล็ดวิชาเก้ากระบี่เดียวดาย จะเป็นฝ่ายเข้ามาหาฉันด้วยตัวเอง ’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
ดีๆๆเดินเรื่องดี...
ต่อๆไป...
ขอบคุณทีมงานที่นำเรื่องดีๆมาลงให้อ่าน...