จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน นิยาย บท 255

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เปียนเจียวเมิ่งและแม่ทัพรักษาเมืองยิ้มอ่อนออกมา พวกเขารู้ดีว่าจ้าวเทียนต้องการถ่วงเวลา แต่ก็เริ่มรู้สึกสงสารศัตรูเล็กน้อย คนพวกนั้นเหมือนถูกตบหน้าแล้วสาดด้วยน้ำกรดไม่มีผิด

แม้แต่พวกทหารบนกำแพงเมืองที่กำลังส่งเสียงเชียร์จ้าวเทียน ยังอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ทุกคนต่างก็คาดคิดกันไปต่างๆนาๆ

หรือนี่จะเป็นกลศึกของโลกภายนอก ใช้กำลังก่อนแล้วค่อยเจรจากันทีหลัง มันช่างเป็นวิธีการที่เหนือความคาดหมายจริงๆ

ทางด้านสองแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นต้าฉิน พวกเขาปรึกษากันด้วยท่าทีจริงจัง สายตาที่พวกเขามองดูจ้าวเทียน เหมือนพบศัตรูตัวฉกาจ

“ ชายหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ…เขาสามารถช่วงชิงสภาวะผู้กำหนดทิศทางของสงครามได้ตั้งแต่เริ่ม ตอนนี้สมาพันธ์บู๊ลิ้มได้ตกเป็นรองแล้ว ”

“ ไม่ว่าสมาพันธ์บู๊ลิ้มจะเลือกเจรจาหรือไม่…แต่ชื่อเสียงและความเชื่อมั่นของพวกเขา ก็ได้ถูกกระบี่ของชายคนนั้นทำลายไปหมดแล้ว ” แม่ทัพใหญ่ทิศบูรพา พูดขึ้นด้วยท่าทีชื่นชม

“ เหอะ…นี่แหละคือจุดอ่อนของพวกสำนักเซียน พวกเขาคร่ำครึเกินไป ยกโขยงกันมาตั้งขนาดนี้โดยไม่เตรียมการป้องกันตัวเอง คิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะทำตามธรรมเนียมเสมอไปงั้นเหรอ ”

“ หรือพวกเขาไม่เคยได้ยินสำนวนที่ว่า…การศึกสงครามไม่เคยหน่ายกลอุบาย หากเป็นฉัน ก็คงใช้วิธีการแบบชายคนนั้นเช่นกัน ขอเพียงยึดครองความได้เปรียบไว้ตั้งแต่แรก ย่อมมีโอกาสกำหนดผลแพ้ชนะได้ทันที ” แม่ทัพใหญ่ทิศประจิมพูดออกมาตามความคิดของตัวเอง

“ จริงด้วย…ท่านแม่ทัพพูดถูก ”

“ เซียนพวกนั้น…ก็มีดีแค่ขั้นฝึกตนที่สูงส่งเท่านั้นแหละ ”

พวกรองแม่ทัพและนายกองคนอื่นๆต่างก็ส่งเสียงสนับสนุนคำพูดของแม่ทัพทิศประจิม พวกเขานั้นเป็นทหารแกร่งที่ผ่านศึกสงครามมามากมาย

แม้แต่ตอนเข้านอนยังต้องกุมอาวุธเอาไว้ เพื่อให้ตนเองสามารถรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่เกิดขึ้นได้

เรื่องที่พุ่งเข้าไปหาศัตรูโดยประมาทนั้น เป็นการกระทำที่โง่มาก…

เสียงพูดคุยของพวกทหารจะว่าดังก็ไม่ดัง จะว่าเบาก็ไม่เชิง แต่ด้วยประสาทสัมผัสของเซียนทุกคน ทำให้พวกเขาสามารถได้ยินอย่างชัดเจน

ทำให้ตอนนี้ใบหน้าของเซียนทุกคนแดงก่ำด้วยความอับอาย พวกเขาเพิ่งโดนลอบโจมตีจนได้รับบาดเจ็บ แต่กลับได้รับคำดูถูกเหยียดหยามจากพวกเดียวกัน

ความยุติธรรมมันอยู่ที่ไหน…

“ ท่านผู้นำสังหารมันเลย ”

“ ใช่แล้ว…พวกเราไม่ต้องเสียเวลาเจรจากับมันหรอก ”

ไม่รู้ใครเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เซียนทั้งหมดที่ยืนอยู่บนพื้น ต่างพากันร้องตะโกนขึ้นเสียงดังแล้วบินขึ้นไปบนฟ้า เผชิญหน้ากับจ้าวเทียนด้วยแววตากระหายเลือด

จ้าวเทียนที่เห็นแบบนั้นก็ยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา เขาแกล้งฟันกระบี่ออกไปด้านหน้าหนึ่งครั้งแบบไม่ได้ตั้งใจ

!!

“ ระวัง! ”

“ หลบเร็ว! ”

เซียนเกือบครึ่งที่วางท่าอวดดีเมื่อครู่ ต่างพากันถอนหนีด้วยความหวาดกลัว โดยเฉพาะเซียนขั้นต่ำและเซียนขั้นกลาง พวกเขาเพิ่งได้รับบาดเจ็บมา ยังคงจำฝังใจถึงความเจ็บปวดที่ได้รับ

แต่ทว่า

มันกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีทั้งรังสีกระบี่ขนาดยักษ์และเปลวเพลงสีทองที่พวกเขาหวาดกลัว

“ ฉันล่ะ…รู้สึกสิ้นหวังกับพวกแกจริงๆ ” จ้าวเทียนพูดขึ้นอย่างเฉยชา เขาแค่ลองแกล้งอีกฝ่ายดูเท่านั้น ไม่คิดว่าจะกลัวกันขนาดนี้

‘ หากตัดพวกที่ใช้การไม่ได้ออกไป…พวกที่เหลืออีกสามสิบกว่าคนนี่เป็นของจริง เมื่อครู่นี้ตอนที่ฉันแกล้งฟันกระบี่ออกไป สายตาของพวกเขากลับค้นหาจุดอ่อนของฉันอย่างจริงจัง ’

‘ ขอเพียงฉันเปิดเผยช่องโหว่ออกมาเพียงเล็กน้อย…พวกเขาก็พร้อมระเบิดกระบวนท่าสังหารออกมาทันที ’

สิ่งที่จ้าวเทียนคิดนั้นถูกแล้ว เพราะเซียนทั้งสามสิบคนนี้เป็นถึงกองกำลังผู้คุมกฎและหน่วยล่าสังหาร ซึ่งถูกนักพรตฮวยเหล็งคัดเลือกมาจัดการกับจ้าวเทียนโดยเฉพาะ

หากพวกเขาลงมือพร้อมกัน…ต่อให้เป็นถึงระดับห้ายอดมือแห่งยุค ก็คงทำได้แค่หลบหนีเอาตัวรอดเท่านั้น

“ พวกที่ไม่เกี่ยวข้อง ถอยออกไปซะ! ”

นักพรตฮวยเหล็งพูดเสียงเย็นชา ทำให้ตัวแทนจากสำนักต่างๆพากันถอยออกไปนอกอาณาเขตต่อสู้ทันที

เมื่อต้องมาเจอกับจ้าวเทียน คนพวกนี้นอกจากจะช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ยังสร้างความอับอายให้พวกเดียวกันอีก ดูจากเสียงเยาะเย้ยที่ดังมาจากพวกทหารบนกำแพงเมืองได้

ตอนนี้สมาพันธ์บู๊ลิ้มก็ไม่ต่างไปจากตัวตลกดีๆนี่เอง

‘ จากความแข็งแกร่งที่อีกฝ่ายแสดงออกมา…แค่คนที่ฉันเตรียมไว้ก็สามารถจัดการได้สบายมาก ’

‘ แต่ถ้าเขาคิดหลบหนีโดยไม่สู้ขึ้นมา…ด้วยเคล็ดวิชาที่เขาเคยใช้หลบหนีจากสำนักง้อไบ๊ โอกาสที่ฉันจะสังหารเขาได้คงจะลดน้อยลงไปหลายส่วน ’

เมื่อคิดได้แบบนี้ นักพรตฮวยเหล็งก็แอบสั่งการบางอย่างออกไปเป็นการลับ ทำให้เซียนบางส่วนที่ยืนอยู่รอบนอก แยกตัวกันออกไปสร้างเขตอาคมปิดผนึกทันที

“ ฉันเห็นด้วย…เรามาเริ่มกันเถอะ ” พูดจบเฮ้งหยวนจือเจ้าสำนักช้วนจินก่า ก็เรียกกระบี่ออกมาทันที

นอกจากนี้ยังมีกองกำลังเซียนผู้คุมกฎและหน่วยล่าสังหาร พวกเขาทั้งสามสิบคนรีบกระจายตัวกันปิดล้อมจ้าวเทียนเอาไว้

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสามยอดฝีมือแห่งยุค เซียนขั้นสูงสุดสิบคน และเซียนขั้นสูงอีกยี่สิบคน ในเขตแดนปิดผนึกที่ไม่มีทางหลบหนี

หากเป็นคนอื่นคงทิ้งอาวุธลง แล้วยอมรับชะตากรรมด้วยความสิ้นหวังไปแล้ว…

แต่ทว่า

จ้าวเทียนเพียงกวาดตามองศัตรูทุกคนด้วยสายตาเย็นชา แล้วพูดขึ้น

“ ใครบอกว่าฉันจะสู้กับพวกแกคนเดียวล่ะ ”

วูป!

กระบี่ไม้อันเล็กปรากฏขึ้นในมือของจ้าวเทียน มันเปล่งแสงสีฟ้าอันเจิดจ้าออกมา ในตอนที่ทุกคนกำลังมองมาด้วยความแปลกใจ

จ้าวเทียนก็ประสานเจตน์แห่งกระบี่ลงไปในกระบี่ไม้ แล้วฟันออกไปตรงพื้นที่ด้านหน้า

เปรี้ยงง!

เกิดเป็นรอยแยกมิติสีขาวขึ้น แตกต่างไปจากช่องว่างมิติปกติที่เป็นสีดำ

แคว่กก!

มือคู่หนึ่งได้ยื่นออกมาจากรอยแยก และฉีกมันออกไปด้านข้าง จากนั้นชายคนหนึ่งก็ก้าวออกมาช้าๆ

ใบหน้าที่หล่อเหลาคมคายเหมือนถูกสลักจากหยก พร้อมกับคิ้วพาดเฉียงดุจกระบี่และบุคลิกสง่างาม

แผ่นหลังที่ยืดตรงของเขาแฝงสภาวะไม่ยอมสยบต่อสรรพสิ่งรวมทั้งฟ้าดิน

ครืนนน!

เขาปลดปล่อยพลังขอบเขตครึ่งก้าวเซียนนภาออกมา มันเกรี้ยวกราด ดุดันและเฉียบคมดุจกระบี่ เจตจำนงของเขาได้ประสานเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน

เทพกระบี่ฟงอู๋หยาง…ได้มาถึงแล้ว

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน