ย้อนกลับไปเมื่อสิบนาทีก่อน
ณ จวนแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองเหล็กดำ จ้าวเทียนที่ปลอมตัวเป็นฉินหวง ได้ก้าวออกมาจากเขตอาคมเคลื่อนย้ายของกองทัพ ซึ่งมีแต่ชนชั้นสูงและผู้มีอำนาจเท่านั้นที่ใช้ได้
หลังจากสมาพันธ์บู๊ลิ้มถอนตัวออกไปจากเมืองหยกเขียวแล้ว เขาก็ขอใช้ช่องทางนี้กลับมายังเมืองเหล็กดำ เนื่องจากปลอดภัยกว่า ทั้งยังทำให้พวกสายลับของสมาพันธ์ไม่สามารถติดตามร่องรอยของเขาได้
‘ ถ้าคำนวณจากเวลา…ตอนนี้แม่กับพวกเด็กๆคงจะอยู่ที่จวนตระกูลฉินแล้ว ฉันก็จะตามไปสบทบกับพวกเขาที่นั่นเลยแล้วกัน ’
เนื่องจากเหยียนซือหนิงและเด็กทั้งสองคน ต้องหลบซ่อนตัวออกจากวงล้อมของสมาพันธ์ ทำให้พวกเขาไม่สามารถใช้เขตอาคมเคลื่อนย้ายจากเมืองใกล้ๆได้ ระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทาง จึงมากกว่าจ้าวเทียนหลายเท่า
ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน ช้ากว่าเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
“ คารวะ ผู้อาวุโสฉินหวง ” แม่ทัพรักษาเมืองรีบเข้ามาทำความเคารพจ้าวเทียนทันทีที่ได้รับรายงาน สำหรับชายที่ได้ชื่อว่าเป็นเสาหลักของตระกูลฉินคนนี้ เขาไม่กล้าละเลยเด็ดขาด
“ ทำตัวตามสบายเถอะ…ในช่วงที่ฉันไม่อยู่เกิดปัญหาอะไรขึ้นไหม ” จ้าวเทียนหันไปถามอีกฝ่าย ในขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินไปด้วยกัน
“ คารวะ ผู้อาวุโสฉินหวง ”
“ คารวะ ผู้อาวุโสฉินหวง ”
ตลอดเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นทหารคนใดที่ได้พบจ้าวเทียน ก็รีบหยุดยืนทำความเคารพด้วยสีหน้าจริงจัง แววตาของพวกเขาเปล่งประกายเหมือนได้เจอไอดอลในดวงใจ
จะว่าไปท่าทีที่พวกเขาปฏิบัติต่อจ้าวเทียนนั้น ยิ่งกว่าแสดงต่อแม่ทัพรักษาเมืองซึ่งเป็นเจ้านายของพวกเขาเสียอีก
“ เรียนผู้อาวุโส…สถานการณ์ในเมืองเหล็กดำตอนนี้ปกติดี นอกจากกองทหารจากเมืองหลวงที่มาประจำการตรงสุสานบรรพชนตระกูลฉินแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาก่อความวุ่นวาย ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นจ้าวเทียนก็พยักหน้าเล็กน้อยอย่างเข้าใจ ดูเหมือนเรื่องที่เขาเป็นผู้ชนะในงานชุมนุมกระบี่จะเริ่มแพร่กระจายออกไปแล้ว
ใครที่คิดจะมาก่อเรื่องในเมืองเหล็กดำ ก็ต้องชั่งน้ำหนักดูให้ดีว่าตนเองมีความสามารถพอไหม
ในขณะที่จ้าวเทียนกำลังจะเดินออกพ้นจวนแม่ทัพไป เขาก็สังเกตว่าอีกฝ่ายเหมือนมีบางสิ่งที่อยากพูด จึงถามขึ้นก่อน
“ นายมีอะไรก็พูดมาเถอะ ”
“ คือเรื่องนี้…ฉันเพิ่งได้รับรายงานมาเมื่อครู่ ว่าพรุ่งนี้องค์ชายใหญ่และท่านผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์จะมาเป็นแขกที่เมืองของเรา ”
“ ผู้อาวุโสคงทราบดี…ว่าฝ่ายขององค์ชายใหญ่และองค์หญิงฉินฟ่านเออร์กำลังช่วงชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทกันอยู่ ฉันกลัวว่ามันอาจจะเกิดปัญหาขึ้นหรือเปล่า ” แม่ทัพรักษาเมืองพูดขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวล
เพราะสถานการณ์บีบบังคับ ทำให้ตอนนี้ตัวเขาได้ยืนอยู่ข้างเดียวกับองค์หญิงฉินฟ่านเออร์ และฝ่ายองค์ชายใหญ่ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับองค์หญิง ก็กุมอำนาจของขุนนางและกองทัพไปเกือบเจ็ดส่วนแล้ว
หากตัดพวกที่ยังเป็นกลางอยู่ออกไป ก็เท่ากับว่าทางฝ่ายขององค์หญิงมีขุมกำลังเพียงสองส่วนเท่านั้น นับว่าอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงเป็นอย่างมาก
การมาถึงขององค์ชายใหญ่ในวันพรุ่งนี้ อาจจะมีจุดประสงค์เพื่อตัดไฟตั้งแต่ต้นลมก็ได้ หากย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ในอดีต ฝ่ายที่พ่ายแพ้ในศึกชิงราชบัลลังก์มักจะมีจุดจบที่ไม่ดีซักคน
“ เรื่องนี้ นายรายงานท่านเจ้าเมืองหรือยัง ” จ้าวเทียนถามขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย เรื่องช่วงชิงอำนาจแบบนี้ หากเลือกได้เขาเองก็ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวเท่าไหร่
แต่ถ้าอีกฝ่ายคิดมาสร้างความยุ่งยากให้กับแผนการของเขา ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“ ยังเลย…ฉันเพิ่งได้รับรายงานมา ขณะที่กำลังจะไปรายงาน ผู้อาวุโสก็มาถึงเสียก่อน ”
“ งั้นเหรอ…ถ้าแบบนั้นฉันจะเป็นคนพูดเรื่องนี้เอง นายกลับไปปฏิบัติหน้าที่ต่อเถอะ ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยท่าทีผ่อนคลาย อย่างไรเขาก็จะไปที่จวนเจ้าเมืองอยู่แล้ว
“ รับคำสั่ง! ” แม่ทัพรักษาเมืองตอบรับ แล้วเดินกลับไปทำงานต่อทันที ตอนนี้เขารู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง ด้วยความแข็งแกร่งของจ้าวเทียน ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นองค์ชายใหญ่ก็คงจัดการได้ไม่มีปัญหา
จ้าวเทียนที่เห็นแบบนั้นก็ส่ายหน้าเล็กน้อย เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายแค่ต้องการคำยืนยันจากเขาเท่านั้น ว่าจะช่วยเหลือฝ่ายขอวองค์หญิงหรือไม่ เพราะในอดีตพวกเขากับองค์หญิงเคยมีเรื่องขัดแย้งกันมาก่อน
‘ ตอนนี้ไม่รู้ศิษย์พี่จะเป็นยังไงบ้าง…แต่ด้วยความสามารถของเขา แผนการทุกอย่างน่าจะไม่มีปัญหา ’
ผ่านไปไม่นาน จ้าวเทียนก็ได้มาถึงห้องรับรองของจวนเจ้าเมือง ซึ่งวินาทีแรกที่เหยียนซือหนิงได้พบลูกชายอีกครั้ง เธอก็ได้พุ่งเข้ามากอดทันที ตอนนี้ในห้องไม่มีคนนอกอยู่ เธอจึงไม่จำเป็นต้องสงวนท่าทีไว้
‘ หรือ…จะเกิดปัญหาขึ้น ’
เมื่อคิดได้แบบนั้นเขาก็รีบพาทุกคนไปหาคังหลินทันที ด้วยตำแหน่งของจ้าวเทียนในตอนนี้ เขาสามารถไปได้ทุกที่ในตระกูลฉินโดยที่ไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวาง
จนกระทั่งเมื่อจ้าวเทียนเดินมาถึงหน้าห้องของคังหลิน ก็เห็นชายคนหนึ่งยืนมองไปรอบๆด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เหมือนจะป้องกันทุกคนไม่ให้เข้าใกล้ที่ตรงนี้
“ นายมายืนทำอะไรตรงนี้ ” จ้าวเทียนถามขึ้น ถ้าเขาจำไม่ผิดชายคนนี้ก็คือหัวหน้าองครักษ์ของตระกูลฉิน การที่อีกฝ่ายมายืนเฝ้าอยู่ตรงนี้มันน่าแปลกอยู่บ้าง
เสียงของจ้าวเทียนทำให้หัวหน้าองครักษ์สะดุ้งเล็กน้อย จากนั้นเมื่อเขาได้เห็นว่าผู้ที่พูดเป็นใคร ก็มีสีหน้ายินดีขึ้นมาทันที
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรออกไป ก็ได้มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังออกมาจากในห้องด้วยความโมโห
“ ฉินหนาน! แม่จำได้ว่าไม่เคยสอนลูกให้เป็นคนแบบนี้ ต่อให้เรื่องทั้งหมดจะเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจหรือเป็นแผนการขององค์หญิงฉินฟ่านเออร์ก็ตามที ”
“ แต่ลูกผู้ชายกล้าทำก็ต้องกล้ารับ องค์หญิงทั้งสองคนได้หลับนอนกับลูกแล้ว หากพวกเธอไม่แต่งงานกับลูก จะรักษาชื่อเสียงเอาไว้ได้อย่างไร ”
“ ตระกูลฉินของเราเป็นตระกูลแม่ทัพอันทรงเกียรติ ไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเด็ดขาด ลูกไม่ต้องโต้แย้งอะไรแล้ว แม่จะรีบปรึกษาเรื่องนี้กับพ่อเอง พวกเราจะจัดงานแต่งงานขึ้นให้เร็วที่สุด ”
!!
‘ ห๊ะ…แต่งงานกับองค์หญิงสองคน ศิษย์พี่ไปหลับนอนกับพวกเธองั้นเหรอ ’
สิ่งที่ได้ยินทำให้จ้าวเทียนแทบอยากจะยกมือขึ้นมาก่ายหน้าผากไว้ หากไม่ใช่เพราะมีแม่และพวกน้องๆอยู่ด้วย เขาคงจะตะโกนออกมาดังๆแล้ว
“ แม่ครับ…ดูเหมือนศิษย์พี่ของผมจะมีปัญหานิดหน่อย แม่กับพวกน้องๆยืนรออยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มแบบฝืนๆ แล้วก้มลงวางเด็กหญิงลงบนพื้น
“ ตกลง…ลูกไปจัดการธุระเถอะ แม่กับน้องๆจะรออยู่ตรงนี้เอง ” เหยียนซือหนิงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม เธอเองก็พอจะรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน
‘ จะว่าไปลูกเทียนเองก็ถึงวัยที่จะมีคู่ครองแล้วนี่…ไม่ได้การละ ฉันเองก็ต้องมองหาลูกสะใภ้แล้วเหมือนกัน’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
ดีๆๆเดินเรื่องดี...
ต่อๆไป...
ขอบคุณทีมงานที่นำเรื่องดีๆมาลงให้อ่าน...