จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน นิยาย บท 283

ห่างออกไปจากสนามรบประมาณยี่สิบกิโลเมตร บนเนินเขาสูงที่ถูกปกปิดไปด้วยป่าไม้อันรกทึบ สถานที่แห่งนี้สามารถมองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเมืองเหล็กดำได้อย่างชัดเจน

แต่ผู้คนที่อยู่ด้านล่างไม่สามารถมองเห็นผู้ที่อยู่ด้านบนได้ เนื่องมาจากค่ายกลอำพรางระดับสูงที่ถูกจัดเตรียมไว้

“ ดูเหมือนไอ้เศษสวะที่สมควรตายนั่น จะทรยศจริงๆสินะ ” หญิงงามสูงศักดิ์ในชุดคลุมฉลองพระองค์สีทองหรูหรา พูดขึ้นด้วยท่าทีโกรธแค้น

เธอคนนี้ก็คือพระชายาหลักแห่งแคว้นต้าฉิน ซึ่งตอนนี้ได้สถาปนาตนเองเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ขึ้นปกครองแคว้นต้าฉินแทนองค์ฮ่องเต้ที่ทรงประชวรอยู่

“ กับผู้หญิงสารเลวแบบเธอ…ใครมันจะไปจงรักภักดีด้วยใจจริงล่ะ ” คังหลินมองอีกฝ่ายด้วยท่าทีรังเกียจ แม้ผู้หญิงคนนี้จะมีหน้าตางดงาม แต่นิสัยกลับไม่ต่างไปจากนางงูพิษที่แว้งกัดคนอื่นไปทั่ว

บริเวณรอบๆตัวคังหลินตอนนี้ เต็มไปด้วยศพมากมายนอนเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น คนพวกนี้เป็นหน่วยกล้าตายที่อีกฝ่ายเลี้ยงดูไว้คอยทำเรื่องสกปรกให้ เขาจึงไม่จำเป็นต้องปราณี

“ บังอาจ!...เจ้าคนชั้นต่ำกล้าดียังไงใช้วาจาสามหาวแบบนี้ ” ขันทีชุดดำตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาล เขาเป็นผู้นำขันทีของฝ่ายในทั้งหมด รวมไปถึงกองกำลังลับของวังหลวงด้วย

“ ใจเย็นๆสิว่านกงกง…สำหรับคนใกล้ตายอย่างพวกมัน ต่อให้พูดอะไรไปฉันก็ไม่ถือหรอก ” พระชายาหลักพูดออกมาอย่างเฉยชา แม้เธอจะรู้สึกแค้นคังหลินมากแต่ก็ยังคุมสติของตัวเองเอาไว้อยู่

จากนั้นสายตาของเธอก็กวาดมองไปยังฉินฟ่านเออร์แล้วพูดต่อ

“ แกนี่…ยิ่งโตก็ยิ่งเหมือนนางจิ้งจอกนั่นเข้าไปทุกทีนะ ไม่แปลกใจเลยที่ลูกชายของฉันหลงแกจนโงหัวไม่ขึ้น ”

“ หุบปากไปซะ!…ผู้หญิงสารเลวแบบแก อย่ามาดูถูกแม่ของฉัน ” ฉินฟ่านเออร์พูดเสียงเย็นชา ศัตรูที่อยู่ตรงหน้าเป็นต้นเหตุที่ทำให้แม่ของเธอต้องตาย และยังคอยวางแผนชั่วทำร้ายเธอกับน้องชายตลอดหลายปีที่ผ่านมา

ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต วันนี้เธอก็ต้องสังหารอีกฝ่ายเพื่อแก้แค้นให้ได้

“ ไม่ต้องเสียเวลาพูดคุยกับคนแบบนี้หรอก…รีบจัดการให้เสร็จแล้วรีบกลับไปช่วยป้องกันเมืองเหล็กดำกันเถอะ ” คังหลินพูดขึ้นด้วยแววตาจริงจัง

ตอนนี้หน่วยเงาปีศาจและพวกปรมาจารย์ที่ติดตามเขามาด้วย กำลังรับมือกับทหารองครักษ์สองพันคนของอีกฝ่ายอยู่ เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขาบุกเข้ามาสังหารผู้นำศัตรู

จะมามัวเสียเวลาไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอาจเกิดการสูญเสียขึ้นได้

ฉินฟ่านเออร์ที่ได้ยินแบบนี้ก็พยักหน้าเบาๆ สายตาเธอจ้องมองไปที่ศัตรูคู่แค้นด้วยความเย็นชา เหตุผลที่เธอฝึกฝนอย่างหนักเสมอมา ก็เพื่อจะสังหารอีกฝ่ายด้วยตัวเอง

‘ ฉันไม่มีทางแพ้ ให้กับคนที่เอาแต่เสวยสุขแล้ววางแผนชั่วไปวันๆแน่นอน ’

หลังจากคังหลินกำจัดพวกผู้คุ้มกันไปหมดแล้ว ที่แห่งนี้ก็เหลือเพียงพวกเขาสี่คนเท่านั้น ขอเพียงเขาแยกขันทีชุดดำออกไปได้ ก็จะเหลือพระชายาหลักตัวคนเดียว

ฟุ่บ!

ร่างของคังหลินเหมือนกับสายลมหอบหนึ่ง ไปปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าขันทีชุดดำ พัดในมือกางออกฟันใส่อีกฝ่ายเหมือนกับดาบอันแหลมคม

ฉัวะ!

คลื่นปราณสีเขียวรูปพระจันทร์เสี้ยวพุ่งเข้าใส่เป้าหมายในพริบตา

แต่ทว่า

เปรี้ยงงง!

เกิดม่านพลังสีฟ้าใสต้านทานการโจมตีของคังหลินเอาไว้ โดยที่ฝ่ายตรงข้ามไม่จำเป็นต้องขยับตัวแม้แต่น้อย

!!

“ ค่ายกลป้องกันระดับห้า งั้นเหรอ ” คังหลินสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขารีบถอยกลับไปยืนข้างฉินฟ่านเออร์เหมือนเดิม แล้วกวาดสายตามองไปรอบๆเหมือนกำลังค้นหาใครอยู่

“ หืม…รู้ตัวแล้วรึ ”

เสียงปริศนาดังขึ้น เหมือนกำลังรู้สึกแปลกใจที่คังหลินมองวิชาของเขาออก จากนั้นชายชราคนหนึ่งในชุดเก่าขาดซอมซ่อก็ปรากฏตัวออกมาจากความว่างเปล่า

เขายืนอยู่ข้างพระชายาหลักตั้งแต่ต้น และใช้ค่ายกลอำพรางร่องรอยตัวเองเอาไว้ ทำให้ฝ่ายตรงข้ามสัมผัสถึงตัวตนไม่ได้

“ นี่มัน…ผู้อาวุโสหยางกง ” ฉินฟ่านเออร์ตกใจมากที่เห็นอีกฝ่ายอยู่ตรงนี้ เธอจึงรีบส่งเสียงทางลมปราณหาคังหลินทันที

“ นายท่านระวังตัวด้วย…ชายชราคนนี้เป็นเซียนขั้นกลางของพรรคกระยาจก ซึ่งมีความสามารถโดดเด่นทางด้านค่ายกลเป็นอย่างมาก ไม่นึกเลยว่าพระชายาหลักจะเชิญเขาออกมาได้ ”

“ ค่ายกลป้องกันทั้งหมดในเมืองหลวง ก็เป็นผลงานของชายชราคนนี้นี่แหละ ”

ฝ่ายคังหลินที่ได้ยินก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา แต่เขาถามกลับทันทีว่าพลังฝีมือของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร

“ ฉันไม่เคยเห็นเขาต่อสู้มาก่อน…แต่จากข้อมูลที่สืบมาดูเหมือนเขาจะไม่ถนัดในการต่อสู้ระยะประชิด แต่ถนัดใช้ค่ายกลเอาชนะมากกว่า ”

เมื่อได้ยินแบบนี้คังหลินก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วยิ้มขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก หากฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งจริงๆเขาจะพาฉินฟ่านเออร์หลบหนีทันที

แต่ในเมื่ออีกฝ่ายมีดีแค่ค่ายกล ก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง

‘ คิดจะมาแข่งด้านค่ายกลกับผู้เชี่ยวชาญอย่างฉันงั้นเหรอ…เจ้าเด็กน้อยเอ๋ย แกชะตาขาดแล้วล่ะ ’

ทางด้านสนามรบ หลังจากที่ทัพแกร่งแห่งแคว้นต้าฉินออกศึก ก็ได้เพิ่มความกดดันให้จ้าวเทียนขึ้นหลายส่วน มันทำให้เขาต้องเสียเวลาไปมากจนเริ่มจะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา

‘ นี่ก็ผ่านไปสามสิบนาที…ตามที่ฉันตกลงไว้กับพวกปรมาจารย์แล้ว แต่ฉันยังเข้าไปไม่ถึงตัวแม่ทัพใหญ่ทั้งสี่เลย ’

ตอนนี้ยังเหลือทหารม้าของศัตรูอีกสี่พันคน พวกเขาเปลี่ยนมาใช้วิธีการกระจายกันโอบล้อมแทน ตามกลศึกของแม่ทัพทิศบูรพา ทำให้จ้าวเทียนไม่สามารถจัดการได้หลายคนในทีเดียว

เปรี้ยงงง!

ปราณกระบี่ขนาดใหญ่ฟันกวาดออกไป ม้าศึกหลายสิบตัวกระเด็นไปกระแทกพื้นพร้อมกับเจ้านายของมัน

“ พอกันที! ถ้ายังคิดถ่วงเวลาอีก ฉันจะสังหารไม่ละเว้นแล้ว ”

บูมมม!

ฉัวะ!ๆ

รังสีกระบี่ที่ฟันกวาดออกไปรอบตัวถึงสองครั้ง ทำให้ทหารเกือบสองร้อยคนถูกฟันจนขาดออกเป็นสองท่อนทั้งคนทั้งม้า แม้จะมีบางคนยกอาวุธขึ้นมาป้องกันไว้ได้ทัน แต่มันก็เป็นการดิ้นรนที่ไร้สาระ

ตุบๆๆๆ

กองเศษเนื้อและอวัยวะกระเด็นไปทั่วทุกทิศทาง แม้แต่คนที่มีจิตใจเข้มแข็งยังต้องเบือนหน้าหนีด้วยความสะอิดสะเอียน

“ ใครกล้ามาขวางอีก ฉันจะสังหารมันให้หมด! ” จ้าวเทียนพูดเสียงเย็นชา ร่างของเขาพุ่งตรงเข้าใส่พวกแม่ทัพใหญ่ทั้งสี่ทันที

แม้การโจมตีเมื่อครู่จะสังหารทหารไปมากมายหลายร้อยคน แต่ก็ถือเป็นส่วนน้อยเมื่อเทียบกับทหารอีกสามพันคนที่เหลืออยู่

ปัญหาคือ…พวกเขาไม่มีความกล้าเหลืออยู่อีกแล้ว

ไม่ว่าเป็นผู้ใด ที่เผชิญหน้ากับจ้าวเทียนที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร ต่างพากันถอยหนีอย่างหวาดกลัวทั้งสิ้น สภาพของสหายพวกเขาที่ตกตายไปมันน่าอนาถจนเกินไป

“ ดูเหมือน…แกจะเป็นพวกเดียวกับผู้หญิงเสียสติคนนั้นสินะ ” จ้าวเทียนจ้องมองแม่ทัพทิศประจิมด้วยแววตาเย็นชา ตอนนี้เขาได้มายืนอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายแล้ว

“ แก…แกคิดจะทำอะไร ฉันเป็นแม่ทัพใหญ่ของแคว้นนะ หากเกิดอะไรขึ้นกับฉัน แคว้นต้าฉินจะต้องได้รับผลกระทบแน่นอน ” แม่ทัพประจิมพูดขึ้นอย่างร้อนรน เขาดูออกว่าที่จ้าวเทียนไม่ยอมสังหารใครในทีแรก เพราะเห็นแก่สถานการณ์ของบ้านเมือง

“ มาพูดเอาตอนนี้…ไม่คิดว่ามันจะสายไปหน่อยเหรอ ” จ้าวเทียนยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา พวกแม่ทัพคนอื่นที่เห็นแบบนี้ได้แต่ก้มหน้าลงด้วยความหนักใจ

แม้พวกเขาจะไม่ชอบขี้หน้าแม่ทัพทิศประจิม แต่สิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาก็เป็นเรื่องจริง

“ เรื่องนี้… ” แม่ทัพทิศบูรพาต้องการจะพูดบางอย่างออกมา แต่เมื่อโดยจ้าวเทียนเหลือบตามองพร้อมจิตสังหาร เขาก็พูดไม่ออกในทันที

“ ฉันให้เวลาแกสามลมหายใจ…มีอะไรจะสั่งเสียไหม ” จ้าวเทียนพูดกดดันขึ้น

แม่ทัพทิศประจิมที่เห็นแบบนั้น ก็ต้องงัดเอาไม้ตายสุดท้ายออกมา เขารีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ พวกนายลืมไปแล้วเหรอ…ชีวิตของฮ่องเต้อยู่ในมือพระชายาหลักนะ ถ้าไม่อยากให้เขา ”

แต่ยังไม่ทันที่แม่ทัพทิศประจิมจะพูดจบ

ตูมมมม!

เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว มาจากเนินเขาที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เปลวไฟสีฟ้าพุ่งสูงขึ้นมาหลายสิบเมตร

“ ตรงนั้นมัน…พระชายาหลัก! ” แม่ทัพทิศประจิมพูดได้เพียงเท่านี้ ก็ถูกกระบี่ในมือจ้าวเทียนฟันขาดเป็นสองเสี่ยง ซีกซ้ายและขวาของเขาแยกออกไปคนละทาง

“ หมดเวลาแล้ว ” จ้าวเทียนพูดออกมาอย่างเฉยชา เขาเก็บกระบี่เข้าไปในฝักแล้วมองไปยังจุดที่เกิดการระเบิดด้วยรอยยิ้ม

‘ ดูเหมือน พวกศิษย์พี่รองจะจัดการธุระเสร็จแล้วเช่นกัน ’

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน