จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน นิยาย บท 297

ณ เขตหวงห้ามของพระราชวังแคว้นฉู่หนึ่งในห้าแคว้นใหญ่

สิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนลานกว้างที่มีพื้นหลายพันเมตร ที่นี่ได้รับดูแลรักษาสภาพเป็นอย่างดี มีเสาหินยักษ์ทั้งแปดค้ำยันมหาวิหาร ที่มีลักษณะคล้ายแท่นบูชาเทพเจ้า

ทางเข้ามหาวิหารทั้งสองด้าน มีป้ายหินสองป้ายสูงประมาณยี่สิบเมตร แกะสลักเป็นรูปร่างมังกรและพญาหงส์ดูยิ่งใหญ่อลังการ

ตัวอักษรที่ถูกแกะสลักอยู่ตรงป้ายทั้งสอง จะเป็นการบรรยายถึงคุณงามความดีของปฐมฮ่องเต้ราชวงศ์ฉู่ ที่ในอดีตเคยเป็นใหญ่เหนือแคว้นทั้งหมด

ตรงบันไดทางขึ้นที่ทอดยาวขึ้นไปสู่ด้านในของวิหาร จะมีภาพแกะสลักของกองทัพทหารม้ากำลังเคลื่อนที่เข้าไปด้านหน้าอย่างห้าวหาญ เหมือนกำลังจะบุกเข้าไปเข่นฆ่าศัตรู

เมื่อขึ้นบันไดมาแล้ว จะพบกับพรมสีแดงที่ถูกปูไว้เป็นเส้นทางเดิน โดยที่มีรูปปั้นแม่ทัพทหารม้าสวมชุดเกราะเต็มยศข้างละสองตัว ซึ่งอยู่ในทวงท่าที่มือของพวกเขาวางอยู่บนด้ามกระบี่ ราวกับจะสามารถชักกระบี่ออกมาได้ตลอดเวลา

ผู้ที่ได้พบเห็น ล้วนสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของรูปปั้นทั้งสี่ เหมือนกับว่ามันมีชีวิตและสามารถสังหารผู้ใดก็ตามที่ฝ่าฝืนเจ้านายของตน

“ ช่างเป็นการสิ้นเปลืองจริงๆ…ดูวัสดุพวกนี้สิ รูปปั้นแม่ทัพขี่ม้าแต่ละตัว ถึงกับถูกแกะสลักมาจากหินวิญญาณระดับกลางก้อนใหญ่ หนักเกือบหนึ่งตันเลยทีเดียว ” ชายสวมหน้ากากพยัคฆ์ พูดขึ้นด้วยความแปลกใจ

“ เหอะ!…ก็แค่หินวิญญาณชั้นต่ำ ไม่มีค่าแม้แต่จะให้ฉันใช้ขัดรองเท้าด้วยซ้ำ ” ชายสวมหน้ากากกิเลนแค่นเสียงออกมาอย่างดูถูก

“ ฮ่า ฮา…นายก็อย่าเอาไปเปรียบเทียบกับแดนสวรรค์สิ สำหรับพวกชาวพื้นเมือง หินวิญญาณพวกนี้ล้ำค่ามากเลยนะ ” ชายสวมหน้ากากพยัคฆ์หัวเราะออกมาด้วยความขบขัน ทำให้สหายของเขาที่อยู่ด้านข้างพูดขัดขึ้นด้วยความคับข้องใจ

“ พวกเราจะต้องทนอยู่แบบนี้อีกนานแค่ไหนกัน…นี่มันก็ผ่านมาแปดปีแล้ว ฉันอยากจะรีบกลับไปที่สำนักเร็วๆ ป่านนี้พวกศิษย์น้องคนอื่นๆ คงจะแซงหน้าฉันไปหมดแล้ว ”

เมื่อได้ยินแบบนั้น ชายที่สวมหน้ากากพยัคฆ์ก็ถอนหายใจยาว เพราะตัวเขาเองก็อยากกลับไปที่สำนักเช่นกัน

บนโลกระดับต่ำแบบนี้ ขาดทั้งทรัพยากรและพลังวิญญาณ ทำให้พวกเขาไม่สามารถฝึกฝนได้ แม้ตอนแรกจะพอใช้หินวิญญาณระดับสูงทดแทนได้บ้าง

แต่ปริมาณที่พวกเขาใช้ในแต่ละครั้งมันเยอะเกินไป แค่เดือนเดียวหินวิญญาณระดับสูงหลายสิบก้อน ที่ถูกเก็บไว้ในคลังสมบัติแคว้นหลี่ก็ถูกใช้ไปจนหมด

ถ้าจะให้ไปแย่งชิงมาจากสมาพันธ์บู๊ลิ้ม ก็จะถือเป็นการเปิดเผยตัวตนก่อนเวลาอันควร อาจทำให้ภารกิจที่สำคัญของสำนักล้มเหลวได้ สุดท้ายที่ทำได้ก็มีเพียงการอดทนรอต่อไปเท่านั้น

“ ว่าแต่…ทูตตัวแทนที่พวกเราส่งไปอีกสามแคว้นที่เหลือกลับมาหรือยัง ฮ่องเต้พวกนั้นยอมรับข้อเสนอไหม ” ชายสวมหน้ากากพยัคฆ์พูดขึ้นเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ

“ ไม่มีปัญหา…พวกเขาตอบรับหมดแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่ประตูมิติของโลกนี้เปิด แล้วกำลังเสริมของสำนักเราเข้ามา ก็พร้อมเริ่มสงครามได้ทันที ” ชายสวมหน้ากากกิเลนพูดขึ้นอย่างมั่นใจ

แท้จริงแล้ว ชายสองคนนี้เป็นศิษย์สายในของสำนักจตุเทวะบนแดนสวรรค์ ซึ่งเป็นสำนักเก่าแก่ระดับสูง ที่มีอำนาจปกครองโลกระดับต่ำและระดับกลางหลายสิบใบ

ซึ่งสำนักจตุเทวะก็ได้ปกครองโลกที่อยู่ในอาณาเขตของตน มาเป็นเวลายาวนานเกือบแสนปี ทำให้พวกเขาได้รับทรัพยากรวัตถุและทรัพยากรบุคคลจำนวนมาก แน่นอนว่าโลกมนุษย์เองก็เป็นหนึ่งในนั้น

แต่ทว่าเมื่อหนึ่งหมื่นสองพันปีก่อน บนโลกมนุษย์กลับปรากฏสำนักจูเซียนขึ้น ด้วยเวลาสั้นๆเพียงแค่สองพันปี สำนักนี้กลับสามารถยกระดับตนเอง จนเหนือกว่าสำนักจตุเทวะซึ่งเป็นผู้ปกครอง

เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะการที่ผู้ฝึกตนบนโลกระดับต่ำจะเหนือกว่าผู้ฝึกตนบนแดนสวรรค์นั้น มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

แต่สุดท้ายเมื่อมันเกิดขึ้นจริงๆ สำนักจตุเทวะก็ทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับ ทั้งยังต้องยอมส่งโลกที่ปกครองอยู่ครึ่งหนึ่ง ให้เป็นเครื่องบรรณาการเพื่อผูกมิตรอีกด้วย

เนื่องจาก พวกเขาไม่สามารถต่อกรกับสำนักจูเซียนได้…

เมื่อเวลาผ่านไป สำนักจูเซียนก็สามารถเอาชนะทุกกองกำลังบนแดนสวรรค์ และให้กำเนิดจักรพรรดิเทพองค์ใหม่ขึ้น นี่ถือเป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดของโลกมนุษย์เลยทีเดียว

น่าเสียดายที่ช่วงเวลานั้นคงอยู่ได้เพียงไม่ถึงร้อยปี อยู่มาวันหนึ่งจักรพรรดิเทพก็หายสาบสูญไป จากนั้นสำนักจูเซียนบนแดนสวรรค์ก็ได้ถูกกวาดล้างจนหมด

แน่นอนว่า ที่โลกมนุษย์เองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เพราะเป็นรากฐานและต้นกำเนิดของสำนักจูเซียน โดยผู้ที่ลงมือกับโลกมนุษย์เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน ก็คือสำนักจตุเทวะ

ที่ตรงกลางห้อง มีรูปสลักของปฐมฮ่องเต้แคว้นฉู่ นั่งอยู่บนหลังม้าสูงประมาณสิบเมตร มือข้างซ้ายจับบังเหียนม้าเอาไว้ ในขณะที่มือข้างขวานั้นชี้กระบี่ขึ้นไปบนท้องฟ้า

มุมปากของรูปสลักนั้นโค้งเป็นรอยยิ้มอย่างเยือกเย็นและน่าเกรงขาม ผ้าคลุมด้านหลังเหมือนกำลังจะลอยไปตามสายลม นี่เป็นลักษณะของจอมราชันผู้อยู่เหนือคนทั้งแผ่นดิน

ที่สำคัญที่สุด…รูปสลักนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากหินวิญญาณระดับสูงหนักเกือบห้าตัน

“ บัดซบ…พวกนายมีของแบบนี้ทำไมถึงไม่บอกฉัน ” ชายสวมหน้ากากพยัคฆ์ตะโกนใส่ชายสองคนที่นั่งอยู่ในห้องด้วยความโกรธ ซึ่งทั้งสองคนนี้ได้สวมหน้ากากมังกรและเต่าดำเอาไว้

“ พวกฉันต้องทนลำบากขาดแคลนทรัพยากรมาตั้งแปดปี แต่ดูพวกนายสิ มีหินวิญญาณระดับสูงมากขนาดนี้กลับเก็บไว้ใช้กันแค่สองคน ” ชายสวมหน้ากากกิเลนพูดอย่างตัดพ้อ ขอแค่แบ่งมาให้เขาแค่หนึ่งกิโลกรัม ก็พอจะใช้ไปได้ทั้งปีแล้ว

“ พวกนายใจเย็นๆก่อนได้ไหม…เรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างที่พวกนายคิดนะ การคงอยู่ของรูปสลักนี้ สมาพันธ์บู๊ลิ้มเองก็รู้ ทุกปีพวกเขาจะส่งคนมาตรวจสอบมันโดยเฉพาะ พวกฉันไม่กล้าเสี่ยงให้ภารกิจล้มเหลวเพราะเรื่องแค่นี้หรอก ”

“ ลองมองดูดีๆสิ…เห็นไหม รูปสลักนี้ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่มีรอยตัดออกไปแม้แต่นิดเดียว ” ชายสวมหน้ากากมังกรพยายามพูดให้สหายใจเย็นลง

ซึ่งสิ่งที่เขาพูดมาก็ดูน่าเชื่อถือมาก เพราะรูปสลักนั้นไม่มีร่องรอยถูกตัดแบ่งไปจริงๆ ทั้งอาวุธชุดเกราะ หรือแม้กระทั่งขนทุกเส้นบนแผงคอม้าก็ยังอยู่ครบ

“ หืม…จะว่าไปมันก็จริงนะ ” ชายสวมหน้ากากกิเลนพูดออกมาเบาๆ เขาตรวจสอบดูแล้วก็หาข้อตำหนิของรูปสลักไม่ได้

ชายสวมหน้ากากพยัคฆ์ที่ได้ยินแบบนั้น ก็แค่นเสียงออกมา “ เหอะ…อย่าไปเชื่อพวกเขา ลองดูตรงนั้นสิ”

นิ้วของเขาชี้ตรงไปที่ตำแหน่งส่วนล่างของรูปสลัก

“ ขนาดม้าของแม่ทัพทั้งสี่ยังเป็นตัวผู้…แล้วม้าของปฐมฮ่องเต้แคว้นฉู่จะเป็นตัวเมียได้อย่างไร ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน