ภาพที่เห็นทำให้สีหน้าของจ้าวเทียนเปลี่ยนเป็นเย็นชา เสี้ยววินาทีนั้นจิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวของเขาก็ระเบิดออกมาอย่างรุนแรง
วูป!
“ ผู้อาวุโส…คุณ ” หยางถิงเฟิงรีบถอยหลบออกไปด้วยท่าทีหวาดกลัว
เขารู้สึกเหมือนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์แห่งความเป็นความตายอีกครั้ง เพียงแต่มันรุนแรงกว่าในอดีตหลายเท่า
“ อธิบายมา…ทำไมดวงวิญญาณของกงเสี่ยวเหมยถึงหายไป ” จ้าวเทียนกัดฟันพูดขึ้นด้วยความโกรธ
กงม่านเออร์ที่เห็นแบบนั้นก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมา ไม่ใช่ว่ากงเสี่ยวเหมยมีความสัมพันธ์กับฉินหวงหรือ แล้วทำไมผู้อาวุโสเทียนถึงแสดงอาการแบบนี้
“ สหายเซียนใจเย็นๆก่อน…ดวงวิญญาณของกงเสี่ยวเหมย กำลังเข้ารับการทดสอบอยู่ในโลกแห่งจิตวิญญาณของบรรพชนผู้ก่อตั้ง ” กงม่านเออร์อธิบายอย่างใจเย็น
แม้จะนึกสงสัยในท่าทีของจ้าวเทียน แต่เธอก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ควรถาม ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดเหตุการณ์เข้าใจผิดจนต้องต่อสู้กันเองก็ได้
“ โลกแห่งจิตวิญญาณ งั้นเหรอ ” จ้าวเทียนมีท่าทีครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ใช้สัมผัสวิญญาณตรวจสอบดูอีกครั้งอย่างละเอียด
‘ อืม…เธอพูดถูก มีการเชื่อมโยงบางอย่างระหว่างหญิงสาวที่นอนบนเตียงหยกกับกงเสี่ยวเหมยจริงๆ ’
“ มีเพียงศิษย์อัจฉริยะที่โดดเด่นของสำนักสุสานโบราณเท่านั้น…ถึงจะได้โอกาสเข้ารับการทดสอบจากท่านบรรพชน ”
“ ซึ่งในชีวิตหนึ่งจะสามารถทำได้เพียงแค่ครั้งเดียว…ในตอนแรกฉันก็เตือนกงเสี่ยวเหมยแล้ว ว่ามันยังเร็วจนเกินไป การเข้ารับการทดสอบในขอบเขตปรมาจารย์ มีโอกาสล้มเหลวถึงหกส่วน ควรรอให้บรรลุขอบเขตเซียนขั้นสูงเสียก่อน ถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด”
“ แต่ทว่า…กงเสี่ยวเหมยกลับดื้อรั้นเป็นอย่างมาก เธอขอให้กงหมิงยู่ช่วยเปิดประตู แล้วแอบผู้อาวุโสเข้ารับการทดสอบด้วยตนเอง ” กงม่านเออร์พูดขึ้นด้วยท่าทีอับจนหนทาง
การทดสอบนี้จะเข้าได้ครั้งละคนเท่านั้น และเมื่อเริ่มไปแล้วก็ต้องทำให้จบ ไม่สามารถหยุดกลางคันได้ ไม่อย่างนั้นจะเป็นอันตรายถึงชีวิต
เมื่อได้ยินแบบนั้น จ้าวเทียนก็ถอนหายใจออกมา เขารู้จุดประสงค์ที่กงเสี่ยวเหมยต้องการแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วดี
‘ ที่กงเสี่ยวเหมยทำแบบนี้…คงเป็นเพราะเรื่องสงครามในอนาคตที่ฉันเล่าให้ฟัง เพราะเธอไม่ต้องการจะเป็นตัวถ่วง จึงยอมเสี่ยงทุกอย่างเพื่อให้ได้พลังมา ’
“ เธอจะตื่นขึ้นมาตอนไหนเหรอ ” จ้าวเทียนถามออกมาเบาๆ
“ เท่าที่ได้มีการบันทึกไว้…อย่างเร็วสุดก็หนึ่งวันและนานที่สุดก็สามวัน ยิ่งผู้รับการทดสอบสามารถอดทนได้นานแค่ไหน ผลตอบแทนก็ยิ่งมาก ”
“ ส่วนเรื่องที่ว่ากงเสี่ยวเหมยจะฟื้นขึ้นตอนไหนนั้น…ฉันเองก็บอกไม่ได้เหมือนกัน เพราะตอนนี้มันก็ผ่านมาห้าวันแล้ว นับตั้งแต่ที่เธอได้รับการเข้าทดสอบ ”
!!
“ นี่มัน…คุณหมายความว่าเธออยู่ในสภาพนี้มาห้าวันแล้วงั้นเหรอ แบบนี้ร่างกายของเธอจะทนไหวได้อย่างไร ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
กงเสี่ยวเหมยเป็นเพียงปรมาจารย์ขั้นสูงสุดไม่ใช่เซียน การปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำและอาหารเป็นเวลานาน เป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก
“ ไม่ต้องกังวล…ช่วงเวลาที่ผ่านมาฉันถ่ายทอดพลังเซียนให้ร่างกายของเธอตลอด เพื่อไม่ให้เธอได้รับผลกระทบในตอนที่ฟื้นขึ้นมา ”
“ ไม่มีวิธีอื่น…ที่จะปลุกเธอขึ้นมาได้เลยเหรอ ” จ้าวเทียนถามขึ้นด้วยท่าทีจริงจัง
“ วิธีอื่นนั้นมีแน่นอน…และก็เป็นเหตุผลเดียวกับ ที่ฉันค้นหาผู้ที่บรรลุขอบเขตเจตน์แห่งกระบี่แบบคุณ ”
พูดจบ กงม่านเออร์ก็เดินเข้าไปทำความเคารพหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงหยก จากนั้นก็หยิบหน้ากากที่ปกปิดใบหน้าออกมา
หญิงสาวคนนั้นเหมือนกับเป็นเทพธิดาที่จุติลงมาบนโลกมนุษย์ เธอมีใบหน้ารูปไข่ที่งดงามหมดจด ริมฝีปากแดงดุจผลเชอรี่ ผมสีดำเป็นประกายดุจแพรไหม หากวัดกันที่รูปโฉมเธอดูเยาว์วัยกว่ากงม่านเออร์เสียอีก
” นี่มัน…ช่างงดงามจริงๆ ” หยางถิงเฟิงพูดออกมาอย่างลืมตัว แม้แต่คนที่หมกมุ่นในวิถีกระบี่มาทั้งชีวิตแบบเขา ยังอดรู้สึกหวั่นไหวไม่ได้
จ้าวเทียนเองก็มีท่าทีแปลกไปเช่นกัน เพียงแต่เป็นคนละแบบกับหยางถิงเฟิง สายตาของจ้าวเทียนตอนนี้หยุดอยู่ที่ตำแหน่งตรงกลางหน้าผากของหญิงสาวคนนั้น
“ นั่นคือ…เศษคมกระบี่งั้นเหรอ ” จ้าวเทียนค่อนข้างมั่นใจ ว่ารอยขีดตรงกลางหน้าผากของหญิงสาวคนนั้น ไม่ใช่สัญลักษณ์ที่ถูกวาดขึ้นมา
แต่มันคือบาดแผลจากคมกระบี่ อีกทั้งยังมีเศษชิ้นส่วนฝังอยู่อีกด้วย
“ บางทีคุณคงจะสังเกตเห็นแล้ว…ที่กลางหน้าผากของท่านบรรพชนได้มีเศษกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ฝังอยู่ นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องหลับใหลมานานนับหมื่นปี ”
“ มีเพียงผู้ที่บรรลุขอบเขตเจตน์แห่งกระบี่เท่านั้น…ถึงจะมีโอกาสนำเศษกระบี่นี้ออกมาได้ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เคยมีคนมาทดลองแล้วสามครั้ง แต่ก็ล้มเหลวทุกครั้ง ”
“ ถ้าคุณต้องการช่วยกงเสี่ยวเหมยให้ตื่นขึ้น…ก็มีแต่ต้องปลุกท่านบรรพชนขึ้นมาเพียงอย่างเดียว ไม่มีหนทางอื่นอีก ” กงม่านเออร์มองมาทางจ้าวเทียนด้วยความคาดหวัง เพราะเธอรู้สึกได้ว่าจ้าวเทียนนั้นแตกต่างจากคนอื่น
บางทีครั้งนี้มันอาจจะสำเร็จจริงๆก็ได้…
“ เรื่องนี้…ต้องให้ฉันตรวจสอบดูก่อน ” จ้าวเทียนรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ สิ่งที่ทำให้เทพโลกาขั้นกลางต้องหลับใหลมาเป็นเวลาถึงหมื่นปี มันไม่ใช่สิ่งที่เซียนขั้นสูงสุดแบบเขาจะจัดการได้อย่างง่ายดาย
หลังจากที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเตียงหยกเหมันต์ จ้าวเทียนก็ยื่นมือออกไปสัมผัสตรงบาดแผลที่กลางหน้าผาก ของบรรพชนสำนักสุสานโบราณ แล้วปลดปล่อยเจตน์แห่งกระบี่ของเขาออกมาทีละน้อย
“ บัดซบ…เจตจำนงจักรพรรดิเทพ ”
จ้าวเทียนร้องตะโกนออกมาด้วยความตกใจ สรรพสิ่งรอบกายเปลี่ยนเป็นดำมืด ก่อนที่สติของเขาจะดับวูบลง เหมือนถูกดึงดูดเข้าไปยังสถานที่อื่น
แวบ!
“ ที่นี่คือ…สุสานดวงดาวงั้นเหรอ ” สายตาของจ้าวเทียนกวาดมองไปยังเศษซากดวงดาวมากมายที่อยู่รอบๆ
ตัวเขาตอนนี้กำลังลอยอยู่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพรศาล…
‘ ความรู้สึกแบบนี้…หรือว่าจะเป็นโลกแห่งจิตวิญญาณในเศษชิ้นส่วนอาวุธเทพเจ้า ’
เมื่อรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน จ้าวเทียนก็รู้สึกผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด สายตาของเขากวาดมองไปยังทิศทางหนึ่งแล้วพูดขึ้น
“ ออกมาเถอะ…ดึงฉันเข้ามาในนี้ คงไม่ได้คิดที่จะแอบดูเฉยๆหรอกนะ ”
ครืนนนน!
คำพูดประโยคนั้นของจ้าวเทียน ทำให้จักวาลทั้งหมดสั่นสะเทือนทันที จากนั้นดวงดาวนับร้อยได้ถูกดึงดูดให้มารวมตัวกันในพริบตา
ถือกำเนิดเป็น…ร่างของชายคนหนึ่งที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ยิ่งกว่าดวงตะวันสิบดวงรวมกัน กลิ่นอายความแข็งแกร่งที่ชายคนนี้ปลดปล่อยมา เหนือกว่าท่านอาจารย์ของจ้าวเทียนหลายเท่า
วูป!
เจตจำนงแห่งจักรพรรดิได้ปกคลุมไปทั่วจักรวาล ตรึงทุกสรรพสิ่งเอาไว้แม้แต่ผู้บรรลุกฎเกณฑ์แห่งมิติและเวลา ก็ไม่อาจต่อต้านได้
“ ที่อยู่ตรงหน้าฉันตอนนี้…เป็นจักรพรรดิเทพองค์ไหนงั้นเหรอ ” จ้าวเทียนถามขึ้นเสียงดัง ไร้ซึ่งความเกรงกลัวแม้แต่น้อย
!!
ใบหน้าขนาดยักษ์สวมมงกุฎจักรพรรดิสีทอง ก้มมองจ้าวเทียนที่ไม่ต่างจากเศษฝุ่นเบื้องหน้า แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ ตัวเราคือ…มหาเทพจูเซียน ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
ดีๆๆเดินเรื่องดี...
ต่อๆไป...
ขอบคุณทีมงานที่นำเรื่องดีๆมาลงให้อ่าน...