เพียงเวลาแค่สามชั่วโมง จ้าวเทียนพร้อมกับพวกเซียนหลิงอีกสี่คน ก็มายืนอยู่ตรงใจกลางท้องพระโรงอันกว้างใหญ่ ของพระราชวังจักรพรรดิสีทอง
เหตุผลที่จ้าวเทียนนำหุ่นเชิดจิตวิญญาณมาเพียงแค่สี่คน เนื่องจากเขามองออก ว่าพวกศัตรูจะไม่ลงมือจนกว่าประตูมิติจะเปิด
หากไม่กังวลว่าครอบครัวจะเป็นห่วง ก็คงพามาเพียงแค่คนเดียว เพื่อใช้ในติดต่อสื่อสารเท่านั้น
ที่อยู่ตรงหน้าจ้าวเทียนเวลานี้ คือมหาเทพจูเซียนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สีทอง แม้อีกฝ่ายอยู่บนตำแหน่งที่สูงกว่า แต่ก็ไม่ได้ทำให้จ้าวเทียนดูด้อยกว่าแต่อย่างไร
เขายังคงสบตามหาเทพจูเซียนด้วยสายตาหยิ่งทะนง ไร้ซึ่งความหวาดกลัว
ด้วยศักดิ์ศรีและฐานะของทั้งสองฝ่ายนั้นเท่าเทียมกัน ทั้งมหาเทพในอดีตและมหาเทพในอนาคต หากมีผู้ใดแสดงความอ่อนแอออกมาก่อน ก็จะสูญเสียเจตจำนงของตนเอง ในอนาคตข้างหน้า เมื่อเกิดการต่อสู้กันขึ้นก็จะสูญเสียความมั่นใจและพ่ายแพ้ได้
“ ข้าได้เห็นการต่อสู้ของเจ้ากับหยวนไป่เฉียนแล้ว เคล็ดวิชาหมื่นตะวันช่างสมกับเป็นเคล็ดวิชาระดับสูงสุดในยุคบรรพกาลจริงๆ ” มหาเทพจูเซียนเป็นฝ่ายพูดชมขึ้นก่อน
เมื่อได้ยินเช่นนั้นจ้าวเทียนก็แปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า เขารู้ได้ทันทีว่าน่าจะเป็นเพราะป้ายแห่งราชัน ทำให้อีกฝ่ายรู้ความเคลื่อนไหวของตนเอง
‘ ช่างเถอะ ยังไงซะตอนนี้พวกเราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นกับฉัน มหาเทพจูเซียนเองก็ต้องได้รับผลกระทบเช่นกัน ’
‘ เป็นธรรมดา ที่อีกฝ่ายจะต้องวางมาตรการป้องกันเอาไว้ก่อน ’
“ ที่ฉันมาวันนี้ เพราะต้องการหลอมรวมแก่นแท้แห่งกระบี่ เพื่อใช้รับมือกับการต่อสู้ในอนาคต ” จ้าวเทียนตัดสินใจพูดเข้าประเด็นทันที จากนั้น เขาก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับขุมกำลังลึกลับจากแดนสวรรค์ให้อีกฝ่ายฟัง
ซึ่งตลอดเวลา มหาเทพจูเซียนก็รับฟังแบบเงียบๆ ไม่ได้มีท่าทีแปลกใจแต่อย่างใด เหมือนกับคาดการณ์เอาไว้หมดแล้ว ทำให้จ้าวเทียนครุ่นคิดขึ้นในใจ
‘ แสดงว่า ยังมีเรื่องราวบางอย่างที่มหาเทพจูเซียนไม่ได้บอกให้ฉันรู้ แต่ก็ไม่เป็นไร จากสถานการณ์ในปัจจุบัน ก็ถือว่าเขาให้การช่วยเหลือฉันมากพอแล้ว ’
“ เรื่องกำลังเสริมจากสำนักจตุเทวะ ข้าคงยื่นมือเข้าไปช่วยไม่ได้ เพราะหากข่าวเรื่องตัวตนของข้าหลุดออกไป เต๋าสวรรค์คงจะลงมือเร็วกว่ากำหนดแน่นอน ” มหาเทพจูเซียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
คำพูดประโยคนี้ ก็ไม่ได้อยู่นอกเหนือจากการคาดการณ์ของจ้าวเทียนแม้แต่น้อย เขาเพียงต้องการหยั่งเชิงดูเท่านั้น ว่ามหาเทพจูเซียนกำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่
แต่จากท่าที ที่อีกฝ่ายแสดงออกมา แสดงว่าได้เตรียมกองกำลังหุ่นเชิดไว้ใช้ในสถานการณ์อื่น ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องสงครามที่จะเกิดขึ้นในโลกหมิงหลง
ก่อนหน้านี้จ้าวเทียนคิดว่า มหาเทพจูเซียนจะใช้กองกำลังของเขา กวาดล้างสำนักจตุเทวะบนแดนสวรรค์เพื่อแก้แค้น ซึ่งถ้าทำแบบนั้น จะถือเป็นการเปิดเผยร่องรอยออกไปทันที
“ ไม่เป็นไร…ฉันได้เตรียมการเอาไว้รับมือแล้ว ” จ้าวเทียนคิดไปถึงพวกพ้องคนอื่นๆที่อยู่โลกภายนอก ตอนนี้คงจะจัดการเรื่องทุกอย่างที่เขาบอกไปใกล้เสร็จแล้ว
“ งั้นก็ดี…เรื่องสำนักจตุเทวะยังไม่ต้องไปสนใจในตอนนี้ พวกมันก็แค่พวกโง่เง่าที่ถูกล่อให้ลงมาติดกับเท่านั้น ที่สำคัญที่สุดก็คืออย่าลืมสิ่งที่เจ้าเคยรับปากข้า ”
“ ตำหนักเทวะต้องถูกกวาดล้าง…ห้ามปล่อยให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้น ที่ห้ามผิดพลาดเด็ดขาด ” มหาเทพจูเซียนจงใจเปิดเผยข้อมูลบางอย่างออกมา และพูดย้ำถึงคำสัญญาที่จ้าวเทียนเคยให้ไว้
“ ฉันรักษาคำพูดแน่นอน ” จ้าวเทียนตอบออกมาเบาๆ
หลังจากนั้น พวกเขาก็พูดคุยกันถึงเทคนิคการต่อสู้ต่างๆ และเคล็ดวิชาที่เจ้าตำหนักเทวะใช้ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์และมุมมองซึ่งกันและกัน สำหรับใช้ประโยชน์ในการต่อสู้กับศัตรูในอนาคต
ซึ่งเรื่องนี้ มันก็ได้สร้างความตกใจให้พวกเซียนหลิงที่เฝ้าดูอยู่เป็นอันมาก เพราะพวกเขารู้จักตัวตนของเจ้านายเป็นอย่างดี
การที่จ้าวเทียน สามารถสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้กับมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ได้อย่างเท่าเทียม มันถือเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง
‘ เห็นทีหลังจากนี้ พวกเราคงต้องปฏิบัติกับจ้าวเทียนด้วยความระมัดระวังกว่าเดิม ’
นี่เป็นความคิดที่ปรากฏขึ้นในใจของหุ่นเชิดจิตวิญญาณทั้งสี่ตัว และถูกส่งผ่านไปหาหุ่นเชิดตัวอื่นที่ไม่ได้อยู่ในสถานที่แห่งนี้
“ ข้ามีสถานที่หนึ่ง ที่เหมาะสำหรับความต้องการของเจ้าพอดี ” พูดจบมหาเทพจูเซียนก็โบกมือขึ้นเบาๆ
วูปปป!
ร่างของจ้าวเทียนและมหาเทพจูเซียน ได้ถูกเคลื่อนย้ายมายังสถานที่แห่งใหม่ มันเป็นห้องหินสีขาวที่ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย
ซึ่งนอกจากชุดโต๊ะน้ำชา และต้นไม้ขนาดเล็กที่งอกออกมาจากผลึกคริสตัลสีรุ้งตรงกลางห้องก็ไม่มีสิ่งใดอยู่อีก
!!
ไม่มีผู้ฝึกตนคนใดจะทนการยั่วยวนของผลไม้ลูกนี้ได้…แม้แต่จ้าวเทียนก็ยังยอมรับว่าเขาเองก็รู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อยเหมือนกัน
กว่าที่เทพโลกาจะบรรลุเป็นจักรพรรดิเทพได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ตัวอย่างเช่นท่านอาจารย์ของจ้าวเทียนที่อยู่ในขอบเขตเทพโลกาขั้นเก้าสูงสุดมาหมื่นกว่าปีแล้ว ก็ยังไม่อาจสัมผัสถึงขอบเขตนั้นได้เลย
‘ จำได้ว่า…ในตอนนั้นกว่าที่ฉันจะสร้างมหามรรคาได้สำเร็จ มันก็กินเวลาไปเกือบห้าพันปีแล้ว ทั้งยังต้องผ่านการต่อสู้ช่วงชิงทรัพยากรกับเทพโลกาขั้นเก้าคนอื่นอย่างดุเดือดอีก ’
“ หากเป็นคนอื่นข้าคงไม่ทำแบบนี้หรอก…แต่กับเจ้านั้นแตกต่าง พวกเราล้วนเคยขึ้นสู่จุดสูงสุดมาก่อน และก็ตองสูญสิ้นทุกอย่างเพราะเต๋าแห่งสวรรค์เหมือนกัน ”
“ ในอีกห้าปีข้างหน้า ถ้าแผนการของข้าล้มเหลว ก็มีเพียงแค่เจ้าผู้เดียว ที่ข้าไว้วางใจฝากฝังอนาคตของโลกมนุษย์เอาไว้ได้ ”
“ ถ้าข้าพ่ายแพ้ให้เต๋าสวรรค์อีกครั้งและต้องดับสูญไป ทังพระราชวังจักรพรรดิและผลไม้แห่งเต๋าก็ขอมอบให้กับเจ้าทั้งหมด ”
มหาเทพจูเซียนพูดขึ้นด้วยความจริงใจ ตอนนี้เขาไม่เหลือใครแล้วทั้งครอบครัวและนิกายล้วนทำถูกทำลายจนหมดสิ้น ผลไม้แห่งเต๋าที่ต้องใช้เวลาสุกงอมมากกว่าพันปี เก็บเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์
จ้าวเทียนที่ได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจออกมา เขารู้ดีว่า เรื่องความล้มเหลวของมหาเทพจูเซียนในอนาคตที่เขาเล่าให้ฟัง มันสร้างความสิ้นหวังให้อีกฝ่ายเป็นอย่างมาก
เพราะแม้แต่แผนการที่เตรียมการมาถึงหมื่นปียังไร้ประโยชน์ แล้วเวลาเพียงห้าปีมันจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้
“ ฉันขอสัญญา…ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกห้าปีนับจากนี้ ฉันจะปกป้องโลกมนุษย์อย่างเต็มความสามารถ รากฐานของเผ่าพันธุ์พวกเราจะต้องไม่ถูกทำลาย ” นี่เป็นคําปฏิญาณที่จ้าวเทียนให้ไว้กับมหาเทพจูเซียนและตนเองด้วย
“ประเสริฐมาก! ได้ยินเช่นนี้ข้าก็วางใจ สิ่งที่อยู่ในกาน้ำชาบนโต๊ะนั่น คือของเหลวต้นกำเนิดวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเทียบเท่ากับหินวิญญาณระดับเทพหนึ่งหมื่นก้อน นี่เป็นของกำนัลเล็กน้อยจากข้า เจ้าสามารถนำไปใช้ได้เต็มที่ ” มหาเทพจูเซียนพูดขึ้นอย่างใจกว้าง
เขามองออก ว่าจ้าวเทียนต้องการทรัพยากรจำนวนมาก เพื่อเพิ่มความสมบูรณ์ให้โลกภายใน ถ้าไม่ติดที่กำลังสร้างกองทัพหุ่นเชิดจิตวิญญาณอยู่ ก็คงมอบให้มากกว่านี้แน่นอน
‘ หินวิญญาณระดับเทพหนึ่งหมื่นก้อน….นี่ของกำนัลเล็กน้อยงั้นเหรอ’
จ้าวเทียนรู้สึกพูดไม่ออก ยังไม่ทันไรอีกฝ่ายก็โยนทรัพยากรที่เทียบเท่ากับหินวิญญาณระดับสูงหนึ่งล้านก้อนมาให้เขาเสียแล้ว
นี่สินะ…ที่เขาเรียกกันว่าเอาเงินฟาดหัว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
ดีๆๆเดินเรื่องดี...
ต่อๆไป...
ขอบคุณทีมงานที่นำเรื่องดีๆมาลงให้อ่าน...