จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน นิยาย บท 339

หยวนอวี้ถงคือเจ้าตำหนักเทวะรุ่นที่สิบสาม เป็นพ่อแท้ๆของหยวนไป่เฉียนเจ้าตำหนักเทวะรุ่นปัจจุบัน และก็เป็นเขาเองที่เป็นผู้เริ่มต้นแผนการทุกอย่าง

ตั้งแต่การเข้าพบกับผู้นำของห้าสำนักใหญ่เมื่อห้าร้อยปีก่อน และเชื้อเชิญให้ทุกสำนักเข้ามาอาศัยอยู่ในโลกหมิงหลง นอกจากนี้เขายังเป็นคนสร้างประกาศิตบู๊ลิ้มขึ้น และมอบมันให้กับห้ายอดฝีมือแห่งยุคเพื่อใช้ปกครองยุทธภพ

อีกทั้ง ผู้ที่เอาชนะและช่วงชิงสุดยอดเคล็ดวิชา จากห้ายอดฝีมือแห่งยุคในสมัยนั้นได้ก็เป็นตัวเขาเช่นกัน

เรียกได้ว่า ทุกเหตุการณ์สำคัญในยุทธภพตลอดระยะเวลาห้าร้อยปีที่ผ่านมา ล้วนมีหยวนอวี้ถงคอยผลักดันอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น

แน่นอนว่า ผู้ที่ลงมือจัดการกับหุ่นเชิดจิตวิญญาณที่จ้าวเทียนส่งมาเป็นสายลับ ก็คือหยวนอวี้ถงเอง

ส่วนเหตุผลที่เขาเพิ่งจะปรากฏตัว ก็เพราะก่อนหน้านี้ ตัวเขากำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญในการทะลวงขอบเขตแม่ทัพเทพ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้พลังฝีมือของเขาพุ่งสูงกว่าเดิมมาก

โดยปกติแล้วขอบเขตแดนเทพ จะถูกแบ่งออกเป็นสามระดับ คือทหารเทพ แม่ทัพเทพ และขุนพลเทพ

สำหรับเจ้าตำหนักเทวะรุ่นอื่นๆ พวกเขาอยู่ในระดับทหารเทพเท่านั้น มีเพียงหยวนอวี้ถงและเจ้าตำหนักเทวะรุ่นแรกที่สามารถทะลวงขอบเขตแม่ทัพเทพได้สำเร็จ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาทั้งคู่ได้รับความเคารพจากเจ้าตำหนักรุ่นอื่นๆ

‘ หากแผนการของพวกเราสำเร็จ แล้วโลกหมิงหลงยกระดับขึ้น ฉันเองก็น่าจะทะลวงขอบเขตแม่ทัพเทพได้เช่นกัน ’

เจ้าหนักเทวะรุ่นที่สามรู้สึกอิจฉาในพรสวรรค์ของหยวนอวี้ถงมาก อีกฝ่ายเป็นคนรุ่นหลังที่ถือกำเนิดมาในช่วงเวลาที่พลังฟ้าดินเจือจาง แต่กลับสามารถฝึกฝนจนล้ำหน้าเขาได้ในเวลาไม่กี่ร้อยปี

เรื่องนี้ มันได้ทำลายความเชื่อมั่นของเขาจนแทบไม่มีเหลือ ก่อนที่จะเลือกผนึกตัวเองไว้ในโรงศพ เจ้าตำหนักเทวะรุ่นที่สามก็อยู่ในขอบเขตแดนเทพขั้นสูงแล้ว ถึงแม้จะเหลือเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น แต่เขาก็ไม่อาจทำมันได้สำเร็จ

ตอนนี้เขาไม่มีหนทางให้ถอยหลังกลับอีกต่อไป เพราะจากอายุขัยที่เหลืออยู่ เขามีเวลาเพียงแค่สิบปีเท่านั้น

การผนึกตนเองจะทำได้เพียงแค่ครั้งเดียว ซึ่งเขาก็ได้ใช้โอกาสนั้นไปแล้ว ตั้งแต่ที่เลือกคลายผนึกออกมาในยุคนี้ ก็มีแต่ต้องเอาชนะขีดจำกัดของตนเองให้ได้ เพื่อที่จะอยู่รอดต่อไปในอนาคต

แต่ในขณะที่หยวนอวี้ถงกำลังจะใช้เขตอาคมเคลื่อนย้ายออกไป

สีหน้าของทุกคนในห้องก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันที เนื่องจากพวกเขาเพิ่งได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากเจ้าตำหนักเทวะรุ่นที่หกและรุ่นที่สิบ

“ ถึงกับเอาชนะสองคนนั้นได้พร้อมกันในเวลาไม่นาน เห็นทีฉันต้องประเมินความแข็งแกร่งของฝ่ายศัตรูใหม่อีกครั้ง ” หยวนอวี้ถงพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

“ ท่านพ่อ เรื่องนี้จะทำอย่างไรดี ” หยวนไป่เฉียนถามออกมาด้วยสีหน้ากังวล เดิมทีพวกเขาวางแผนจะไปช่วยเหลือรุ่นที่หกกับรุ่นที่สิบจัดการศัตรูก่อน แล้วค่อยสังหารจ้าวเทียนภายหลัง

แต่ตอนนี้ ผู้ช่วยทั้งสองคนของพวกเขากลับพ่ายแพ้ไปก่อนแล้ว ถ้าจะให้เขากับพ่อออกไปเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามเพียงแค่สองคน มันก็ดูเป็นการกระทำที่สิ้นคิดเกินไป

“ จับภาพการต่อสู้ของรุ่นที่หกกับรุ่นที่สิบได้ไหม ” หยวนอวี้ถงหันไปถามลูกชาย

“ ไม่ได้ครับ พวกเขาขึ้นไปต่อสู้กันบนฟ้า ไม่มีที่ให้หลบซ่อนกาย ถ้าสายลับของผมตามขึ้นไปด้วย คงถูกพบตัวตั้งแต่แรกแน่นอน ”

เมื่อได้ยินแบบนี้ หยวนอวี้ถงก็หยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจพาทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ ออกไปช่วยเหลือพรรคพวกและจัดการศัตรูไปพร้อมกัน

ถ้าพวกเขาทั้งหกคนอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะวางแผนอะไรไว้ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวล เพราะเมื่ออยู่ต่อหน้าพลังที่แท้จริง กลอุบายใดๆล้วนไร้ความหมาย

แกร่ก! ครืนนน!

แผ่นหยกที่อยู่ในมือของหยวนไป่เฉียนถูกบดขยี้จนแตกละเอียด จากนั้นช่องว่างมิติที่เชื่อมต่อเส้นทาง ไปยังจุดที่พวกสายลับอยู่ก็เปิดออก

“ ตามฉันมา…ไปแสดงให้พวกมันเห็น ว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้ปกครองที่แท้จริงของโลกใบนี้ ”

ย้อนกลับไปในช่วงเวลาห้านาทีก่อนหน้านี้

ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและกองซากศพ กลุ่มชายชุดดำตอนนี้เหลือเพียงแค่สามสิบคนเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่

พวกเขาถูกจ้าวเทียนจับให้นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าสิ้นหวัง เพราะตลอดเวลายี่สิบนาทีที่ผ่านมา จ้าวเทียนได้สังหารพวกที่ปากแข็งไปทีละคนอย่างต่อเนื่อง

หากใครไม่ยอมตอบคำถามของเขา ก็จะต้องนอนทอดร่างเป็นศพอยู่บนพื้นไม่มีข้อยกเว้น แน่นอนว่ายังมีพวกที่คิดต่อต้านหรือพยายามหลบหนีอยู่เหมือนกัน

เป็นเรื่องจริงที่ ผู้นำทั้งสองของพวกเขากำลังกลับมา แต่ทว่าพวกเขาไม่ได้มาด้วยตัวเอง แต่กลับถูกหิ้วมาไม่ต่างไปจากสุนัขข้างถนน

“ เหอะ…ไร้ชื่อเสียงงั้นหรอ นี่พวกแกไม่ได้ออกมาโลกภายนอกกี่ปีแล้ว ถึงไม่รู้จักผู้อาวุโสต้วนมู่เฉียนกัน ” แต่ถึงแม้จ้าวเทียนจะบอกชื่อต้วนมู่เฉียนออกไปแล้ว

แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับไม่มีสักคนที่รู้จัก เนื่องจากพวกเขาคือกองกำลังที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างลับๆ ไม่เคยออกสู่โลกภายนอกมาก่อน ทำให้ไม่ค่อยรู้เรื่องความเปลี่ยนแปลงในโลกมากนัก

ตุบ!ๆ

ต้วนมู่เฉียนโยนร่างที่สิ้นสติของชายชราทั้งคู่ลงบนพื้นแบบไม่ใส่ใจนัก

จากนั้นเขาก็หยิบเอาเสื้อผ้าสำรองในแหวนมิติออกมาเปลี่ยน เนื่องจากชุดเดิมของเขาเต็มไปด้วยรอยฉีกขาดมากมายไม่ต่างไปจากผ้าขี้ริ้ว

เคล็ดวิชารักษาของออโรร่า จำกัดเพียงฟื้นฟูร่างกาย ไม่ได้รวมไปถึงเสื้อผ้าด้วย ทำให้ต้วนมู่เฉียนต้องทนอับอายอยู่ในสภาพไม่ต่างจากขอทานตลอดการต่อสู้

“ เอาล่ะ ทีนี้ก็บอกฉันมาได้แล้ว ว่าพวกแกจับตัวประกันไปไว้ที่ไหน ” จ้าวเทียนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ ตกลงฉันจะบอก พวกเราขังตัวประกันทุกคนเอาไว้ที่… ” แต่ยังไม่ทันที่ชายคนนั้นจะพูดจบ ลำแสงสีทองก็พุ่งออกมาจากป่าด้านหลัง เล็งตรงไปยังศีรษะของเขาพอดี

หมับ!

บูมมมม!

จ้าวเทียนคว้าจับไปยังสิ่งที่กำลังพุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว คลื่นพลังที่ระเบิดออกมารอบด้าน ทำให้พวกที่นั่งคุกเข่าอยู่ถึงกับกระเด็นออกไปอย่างไร้ต้านทาน

ซึ่งเมื่อลองสังเกตดู ก็จะพบว่าของสิ่งนั้น เป็นเพียงใบไม้ธรรมดาใบหนึ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป

แต่ด้วยใบไม้ธรรมดาใบนี้เอง ที่ถึงกับทำให้ฝ่ามือของจ้าวเทียนสั่นเทาเล็กน้อย และมีเลือดหยดหนึ่งใหลซึมออกมาโดยไม่รู้ตัว

‘ ใบไม้นี้ ฉันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเคล็ดวิชากายาอมตะ และเจตจำนงแห่งกระบี่อันเกรี้ยวกราด ดูเหมือนแผนการล่อเสือออกจากถ้ำของฉันจะได้ผลสินะ ’

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน